I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Isekai Mahou wa Okureteru! ตอนที่ 33 บทส่งท้ายเล่มสอง

| Isekai Mahou wa Okureteru! | 1320 | 2363 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

“เหนื่อยชะมัด”

‘ซุยเมย์’ เหยียดแขนขาออกขณะที่จ้องมองสายฟ้าที่หายไปกับความมืด เขารู้สึกถึงความแข็งของพื้นดินที่อยู่ด้านหลัง ขณะที่ถอนหายใจ สิ่งที่เขาใช้ออกไปก่อนหน้านี้

เข้าต้องเดิมพันกับความเป็นไปได้ที่จะสามารถกำจัดปีศาจเลย แต่ดูเหมือนมันจะไม่มากพอที่จะกำจัดราจัด สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องใช้ อับเรค อัด ฮาบรา ออกไป

ดูเหมือนว่า ‘ราจัส’ จะมีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจมาก เวทมนตร์ของเขาจึงไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรมากนัก จนเขาเกือบจะให้เวทมนตร์ที่ทรงพลังที่สุดของเขาออกไปแล้ว แต่เขามีมานาไม่พอ เพราะงั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้  ‘ซุยเมย์’ คิดขณะที่มองไปยังท้องฟ้าตรงที่ราจัสหายไป

“…….แค่โชคดีงั้นเหรอ?”

บอกตามตรงเลยว่า เขาไม่คิดว่าเวทศักดิ์สิทธิ์จะมีผลกับปีศาจขนาดนั้น จากที่พูดคุยกับเลฟิลเลียมา เขาสงสัยว่าพวกมันมีส่วนเกี่ยวข้องกับปีศาจที่ถูกเรียกว่า

“เทพเจ้าแห่งการทำลาย”

ดูเหมือนว่าเขาจะคิดถูก มันชัดเจนที่ว่าความมืดต้องพ่ายแพ้ให้กับแสงสว่าง ความชั่วร้ายต้องยอมจำนนให้กับเทพเจ้า แต่สำหรับผู้ใช่เวทอย่างเขามันก็เป็นเหมือนกับจุดบอด

สมมติง่ายๆได้ว่า ปีศาจคือสิ่งมีชีวิตที่ชั่วร้าย และเป็นความจริงที่ว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตที่พิเศษของโลกนี้ นั่นทำให้ครั้งแรกเขารับรู้ถึงกลิ่นอายที่น่าอึดอัดของพวกมันจากในป่า มันเป็นเวลาหลายชั่วโมงนับต้องแต่การต่อสู้ครั้งแรก

ตามความคิดของผู้ใช้เวท ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดหรือการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตประเภทใดก็ตาม พวกเขาจะพยายามหาจุดอ่อนโดยมองข้ามเรื่องง่ายๆอย่างอารมณ์และความรู้สึกไป แต่เขาโชคดีที่เวทศักดิ์สิทธิ์ เป็นเวทมนตร์ที่มีผลกับปีศาจโดยตรง มีผลมากยิ่งความความแข็งแกร่งใดๆของโลกใบบี้และทำให้ราจัสเสียเปรียบ

มันมีที่มาจากพิธีกรรมลับของแคว้นยูดาห์ ศาสตร์ลึกลับของคับบาลาห์ เวทอับรา เมริน อับราฮัมถูกใช้เป็นเวทสำหรับป้องกันปีศาจและต่อต้านศาสตร์มืดในยุคปัจจุบัน ความลี้ลับของเวทมนตร์จากพระเจ้าบทนี้มีคุณสมบัติที่จะสามารถปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายได้ทุกชนิด หากมีมานามากพอแล้ว มันจะจะทำได้ถึงขนาดเรียก ‘เทพผู้พิทักษ์’ ออกมาและมอบพลังวิญญาณชั่วขณะหนึ่ง

แถมเป็นเวทมนตร์ที่สามารถใช้ได้โดยไม่จำกับพื้นที่ซึ่งแตกต่างจากวิชาโหราศาตร์ซึ่งต้องใช้อิทธิของพื้นที่นั้นๆอีกต่างหาก มันคือความต่างกันของโครงสร้างในแต่ละดินแดน แต่พลังศักดิ์สิทธิ์ที่อัครเทวดาของพระเจ้าซึ่งเป็นจิตวิญญาณที่ไม่ได้แตกต่างจากเทพของโลกนี้มากนัก

มันจึงไม่เป็นปัญหาที่จะใช้เวทมนตร์นั้นในโลกนี้ มันคือความโชคดีจริงๆที่เขาสามารถใช้เวทมนตร์ทั้งหมดของเขาในโลกนี้ได้ และที่โชคดีกว่านั้นคือมันทรงพลังกว่าราจัส แต่ถ้าเทพเจ้าแห่งการทำลายมอบพลังให้ปีศาจได้มากกว่านี้ หรือถ้าหากราจัสแข็งแกร่งมากกว่านี้ บางทีมันอาจจะไม่จบง่ายๆแบบนี้ก็ได้

“…….นัคชาตรา หวังว่าเราคงไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกันนะ”

ผู้นำของพวกนั้น ราชาปีศาจนัคชาตรา เขาหรือเธอที่ว่านั้นจะต้องได้รับพลังมาจากเทพแห่งการทำลายมากกว่า ‘ราจัส’ อย่างแน่นอน ถ้าหลีกเลี่ยงได้ เขาก็อยากจะหลีกเลี่ยง

แต่ถ้ามีอีกการพบเป็นไปได้มากกว่าผู้ปกครองของปีศาจตนนี้จะมีพลังมากกว่า ‘ราจัส’ มากนัก แค่คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตเข้าก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาแล้ว  ‘เลฟิลเลีย’ ที่อยู่ด้านข้าง สูดลมหายใจเข้าแล้วพูดขึ้น

“ซุยเมย์คุงขอคุณนะค่ะ ที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ได้เพราะคุณมาช่วยแท้ๆ”

“หืม ไม่เป็นไรหรอก มันค่อนข้างน่าอายนะที่ได้ยินแบบนี้หลังจากที่ผ่านเรื่องราวพวกนั้นมา”

‘ซุยเมย์’ ยอมรับตามตรงว่าเมื่อได้ยินคำขอบคุณของ ‘เลฟิลเลีย’  เขาไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเขาไม่เต็มใจที่จะต้องมาเผชิญหน้ากับปีศาจนัก นับตั้งแต่การต่อสู้ครั้งแรกของเขา ถ้าเขาไม่ได้รับแรงกระตุ้นจากเหตุการในอดีต

“…….คนอื่นๆล่ะ?”

“………..ค่ะ”

เธอตอบกลับด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย หลังจากที่เห็นฉากโหดเหี้ยมระหว่างที่มาที่นี่ เขาก็เดาได้ว่าพวกนั้นน่าจะตายหมดแล้ว แม้ว่าเขาจะห้ามไม่ให้เธอมาที่นี่หลังจากที่ปีศาจปรากฏตัว แต่การตายของพวกเขาที่อยู่ร่วมกันมาพักหนึ่งมันก็ยังน่าเศร้าอยู่ดี

ถ้าในตอนนั้น ตอนที่พวกนั้นไล่ ‘เลฟิลเลีย’ ออกมา ถ้าเขาสามารถโน้มน้าวให้เลฟิลเลียอยู่ต่อได้ บางที่มันอาจจะมีจุดจบที่ดีกว่านี้ แน่นอนว่าทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องมาคิดถึงเรื่องนี้อีก…….

“…… ‘ซุยเมย์คุง’ อย่าคิดมากไปเลยนะค่ะ ที่พวกเขาต้องตาย มันไม่ใช่ความผิดของคุณหรอก”

“ขอบคุณที่ปลอบนะ แต่คุณน่าจะคิดมากยิ่งกว่าผมไม่ใช่เหรอ?”

“นั่นมันก็……”

เธอเผลอพูดออกไปโดยไม่รู้ตัว เมื่อถูกถามกลับบ้าง ความเงียบก็เข้าครอบงำระหว่างพวกเขา แน่นอนว่าเธอคิดเกี่ยวกับมัน ไม่มีทางที่เธอจะไม่คิดหรอก เธอไม่สามารถปกป้องคนที่อยากปกป้องได้

มันเป็นความจริงที่ว่าไม่ว่าเธอจะมาที่นี่หรือไม่ พวกเขาก็ต้องตายอยู่ดี  ‘ราจัส’  คือสิ่งมีชีวิตที่ชั่วร้าย ที่สามารถจับจุดอ่อนของคนอื่นได้เสมอ นั่นทำให้มันทำร้ายเธอมากยิ่งขึ้น

“…… ‘เลฟิลเลีย’  คุณไม่เหมือนผม คุณไม่ลังเลที่จะช่วยเหลือคนอื่น อย่าคิดมากนักเลย”

“อา….ค่ะ”

หญิงสาวตอบอย่างตะกุกตะกัก คำว่า

“พยายามมากแล้ว”

หรือ

“คุณทำดีที่สุดแล้ว”

อาจจะไม่มีอะไรมากนัก เป็นแค่คำปลอบใจที่หาได้ทั่วไป แต่ก็ทำให้ ‘เลฟิลเลีย’ รู้สึกมีความสุขขึ้นบ้าง นานแค่ไหนแล้วนะ? ที่เธออธิฐานให้กับคนที่ตายไปแล้ว บางที่ตอนนี้เธอควรจะหันมาให้ความสำคัญกับตัวเองได้แล้ว ท่ามกลางความเงียบนั้น  ‘เลฟิลเลีย’ เอ่ยขึ้น

“ซุยเมย์คุง ฉัน…….”

“หืม?”

“…ฉัน..ฉันขอ..ขอบ…คุณ…คุณ”

“…….อะไรนะ? พูดอีกครั้งได้มั้ย?”

‘ซุยเมย์’ จำได้ว่าเธอขอบคุณเขาไปก่อนหน้านี้ ทำให้เขาเกิดความคิดแปลกๆจนต้องถามย้ำอีกครั้ง น้ำเสียงอายๆนั้นตอบขึ้นมาอีกครั้ง

“ก่อนหน้านี้ ตอนที่คุณบอกว่าคุณมาเพื่อช่วยฉัน ฉันมีความสุขมาก เพราะงั้น…..”

“อ่า…เข้าใจแล้ว”

“ขอบคุณนะคะ”

“………ไม่เป็นไร ไม่จำเป็นที่ผู้หญิงของผมต้องมาขอบคุณผมหรอก”

น้ำเสียงจริงจังของเลฟิลเลียทำให้ ‘ซุยเมย์’ อดนึกถึงตอนนั้นขึ้นมาไม่ได้

เมื่อนึกถึงสิ่งที่เขาพูดกับเธอในตอนที่เขากำลังเผชิญหน้ากับราจัส มันเป็นอะไรที่น่าอายมาก

อุ๊….. ไม่ๆๆ ฉันต้องไล่ตามปรัชญาของสมาคมและความฝันของพ่อ ใช่ๆ ฉันแค่ช่วยชีวิตคนเอาไว้เท่านั้น ใช่ ใช่แล้ว มันก็แค่นั้นเอง ใช่แล้วมันต้องเป็นแบบนั้นแหละ ที่เขาต้องจำก็มีแค่นั้นแหละ ที่เหลือน่ะลืมๆมันไปซะ  ‘ซุยเมย์’ คิดอย่างแข็งขัน ในขณะที่ ‘ซุยเมย์’ เริ่มจะหนีจากความเป็นจริงเข้าไปทุกที  ‘เลฟิลเลีย’ ก็พูดขึ้น

“ขอบคุณนะคะ ฉันค้นพบความกล้าหาญและสามารถเดินไปบนเส้นทางของตัวเองได้อย่างถูกต้อง แข็งแกร่งและสามารถต่อสู้กับปีศาจได้….”

……ดูเหมือนว่าหัวใจที่แตกสลายของเธอจะกลับมาดีดังเดิมอีกครั้งแล้ว เมื่อเห็นซุยเมย์มองขึ้นไปบนฟ้าโดยไม่พูดอะไร เลฟิลเลียจึงถามด้วยน้ำเสียงสงสัย

“…..มีอะไรเหรอคะ?”

“หืม? อ่อ ผมก็คิดว่ามันดีแล้วเหมือนกัน”

“ฉันจะไม่ยอมแพ้อีกแล้วค่ะ ฉันจะทำให้ดีที่สุด เหมือนกับที่คุณสอนฉันว่า…..”

ขณะที่หญิงสาวกำลังจะพูดคำพูดที่น่าอายนั้นออกมา  ‘ซุยเมย์’ พูดพูดขัดขึ้นทันที

“หยุดเถอะ นั่นมันเป็นคำที่ผมจำมาจากคนอื่นอีกที”

“เอ๋ จำมาจากคนอื่นเหรอคะ?”

“อืม ผมได้ยินมาจากคนที่แข็งแกร่งกว่าน่ะ”

ใช่แล้ว ฉันรู้ว่ามันเหมือนคำปฏิเสธ ได้ยินมาจากคนที่แข็งแกร่งที่ว่านั้นในตอนที่รู้สึกเหมือนกับว่าโลกทั้งโลกปฏิเสธฉัน เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เมื่อฉันมีความลังเลในหัวใจ คนคนนั้นชี้ให้เห็นว่าความฝันของฉันไม่ได้อยู่ข้างหลัง

“คุณได้พบคนที่ดีนะคะ”

“อืม ผมไม่คิดแบบนั้นหรอกนะ แม้ว่าผมจะขอบคุณเขาในเรื่องนั้นก็ตาม แต่เขาเป็นปีศาจ”

‘เลฟิลเลีย’ ร้องด้วยความแปลกใจ จะพูดให้ถูกก็คือ คำพูดเหล่านั้นเป็นของคนที่ชอบหัวเราะเยาะคนอื่น มักจะปรากฏตัวขึ้นมาในตอนสำคัญและปรบมือเพื่อขัดจังหวะ เขาคงคิดว่ามันเป็นเรื่องสนุกที่ได้แกล้งคนที่กำลังจะตาย นั่นคือเหตุผลที่เขาพูดแบบนี้ในตอนนั้น

“…..แต่ว่าเขาคงจะหมายถึง”

“คุณดูสับสนในตัวเองนะคะ”

“งั้นเหรอ”

“ฟุๆๆ”

มันตลกตรงไหร่กัน?  ‘เลฟิลเลีย’ ยิ้มเล็กยิ้มน้อย เหมือนกับว่าฉันทำตัวเหมือนเด็กอย่างนั้นแหละ อืมแต่ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ได้ฟังเสียงหัวเราะของเธอ การต่อสู้ก็จบไปแล้ว ตอนนี้ก็ไม่มีอันตรายอะไรแล้ว

ตอนนี้เขาอยากจะผ่อนคลายมากกว่า  ‘ซุยเมย์’ หลับตาลง –ตุบ

“อิย๊า!!”

จู่ๆก็มีเสียงอะไรบางอย่างตกลงบนพื้นและเสียงกรีดร้องที่ดูสุดจะโมเอะ อืม ฟังดูไม่เหมือนเสียงของ ‘เลฟิลเลีย’ เลย เสียงแหลมสูงแบบนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน นี่เป็นครั้งแรงที่ซุยเมย์ได้ยินเสียง ‘เลฟิลเลีย’ กรีดร้อง

“ ‘เลฟิลเลีย’  เกิดอะไรขึ้น?”

เขาหันไปมองที่มาของเสียงร้องนั้น เจ้าของเสียงคือ ‘เลฟิลเลีย’ อย่างที่คาดไว้ —แต่เป็น ‘เลฟิลเลีย’ ที่ตัวเล็กมาก

“โอ้ย…..เกิดอะไรขึ้นคะซุยเมย์คุง”

เขารู้สึกตกใจและแปลกใจเป็นอย่างมาก เขาขยี้ตาอีกครั้ง แต่ก็เหมือนเดิม ที่อยู่ตรงนั้นคือเด็กสาวที่น่าจะอยู่ในวัยประถม ผมสีแดงหยักศกเล็กน้อย รูปร่างขนาดเล็กและแววตาสุกใส ผิวขาวราวกับหิมะ บรรยากาศเหมือนกับที่เขาพบเธอครั้งแรก

เธอดูเหมือนกับ ‘เลฟิลเลีย’ เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนนี้คือ ‘เลฟิลเลีย’ อย่างแน่นอน ทำไมล่ะ? เพราะร่างกายของเธอมีขนาดเล็กลง เสื้อผ้าของเธอก็เลยลงมากองอยู่กับพื้น น้ำตาคลออยู่ตรงขอบตาขณะที่เธอบรรจงเช็ดโคลนออกจากใบหน้าด้วยหลังมือ เธอถามคำถามนั้นซึ่งเป็นคำถามที่เขาอยากจะถามเธอเช่นกันออกมา

“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมคุณถึงกลายเป็นเด็กไปแล้ว”

“เอ๋….เด็กเหรอคะ?”

‘เลฟิลเลีย’ เอียงศีรษะเหมือนกับไม่เข้าใจคำถามนั้น จะว่ายังไงดีละ นี่มันโมเอะ โมเอะสุดๆ เขามองไปที่ร่างกายและท่าทางของเธออย่างตกตะลึง

“เอ๋? เอ๋? นี่มัน? มันเกิดอะไรขึ้นกันะ? ‘ซุยเมย์คุง’ ”

“ผมต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายถามน่ะ”

“ร่างกายของฉัน ! ทำไมร่างกายของฉันถึงได้เล็กลง ทำไม?”

“นี่เป็นครั้งแรกที่มันเกิดขึ้นงั้นเหรอ? เป็นครั้งแรก….”

“แน่นอนสิคะ! เรื่องแบบนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหรอก”

‘เลฟิลเลีย’ ร้องด้วยความตกใจ กับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เพราะมันเป็นครั้งแรกเธอจึงไม่สามารถอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ได้ แต่เด็กสาวพูดขึ้นอย่างสงสัย

“หรือว่าราจัสจะใช้คำสาปกับฉันในระหว่างการต่อสู้……”

‘เลฟิลเลีย’ พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ถ้ามันเป็นคำสาปมันคงเป็นอะไรที่แย่มาก เมื่อพิจารณาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มันก็อาจจะเป็นไปได้ แต่ทำไมคำสาปถึงได้แสดงผลออกมาในตอนที่การต่อสู้จบไปแล้วล่ะ เขาพิจารณาถึงความแข็งแกร่งของ ‘ราจัส’

“…….ไม่หรอก ไม่ใช่ ที่ตัวคุณก็ไม่มีรอยสาปเพิ่มด้วยเห็นมั้ย”

“แล้วทำไม-”

‘เลฟิลเลีย’ แนบศีรษะลงกับแขนด้วยสีหน้ากังวลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อะไรกันคือต้นเหตุของปัญหานี้ อะไรกันที่เป็นสาเหตุของความผิดปกตินี้? มีอะไรบ้างที่เลฟิลเลียต่างจากมนุษย์ธรรมดา —–

พลังวิญญาณ  ‘ซุยเมย์’ จำพลังที่ ‘เลฟิลเลีย’ ใช้ออกมาเป็นครั้งสุดท้ายได้ความแข็งแกร่งของพลังนั้นแตกต่างจากที่เขาเคยเห็น ประเภทพลังก็แตกต่างจากที่เธอใช้กำจัดปีศาจธรรมดา คำตอบผุดขึ้นมาในใจ นั่นมันง่ายเกินไป

‘ซุยเมย์’ ปฏิเสธข้อสรุปที่ผุดขึ้นมาในใจเขาเงียบๆ แต่เมื่อนึกถึงพลังของพระเจ้าที่เขาได้ใช้ออกไป บางทีกฎโลกนี้อาจจะตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ง่ายกว่าที่เขาคิดก็ได้

“พูดสิ ‘เลฟิลเลีย’ ”

“……มันเล็กลงทุกอย่างเลย ฮึก มันคืออะไรกัน ทำไมฉันรู้สึกเหมือนสูญเสียทุกสิ่งที่มีค่าไปในครั้งเดียวเลย..ฮึก…แงๆๆๆ”

“เอ่อ…..”

“หืม? อาขอโทษด้วยค่ะ มีอะไรเหรอซุยเมย์คุง”

‘เลฟิลเลีย’ มอง ‘ซุยเมย์’ ขณะที่ถอนหายใจรดต้นแขน  ‘ซุยเมย์’ อธิบายทฤษฏีของเขาทันที

“บางทีที่ร่างกายของคุณเล็กลง อาจจเป็นเพราะคุณใช้พลังวิญญาณมากเกินไป …..? อะไรทำให้คุณคิดแบบนั้นคะ?”

“อืม….ผมแค่เดาน่ะ แต่ร่างกายของคุณคือการผสมผสานระหว่างจิตวิญญาณกับมนุษย์ เพราะคุณใช้พลังวิญญาณมากเกินไปทำให้ร่างกายในส่วนของจิตวิญญาณหายไป”

“แต่ว่า..นั่นมัน คุณหมายถึงเป็นเพราะว่าฉันใช้พลังมากเกินไป แต่ว่ามันเกี่ยวที่ฉันร่างกายเล็กลงตรงไหน? จนถึงตอนนี้มันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย แม้ว่าฉันจะใช้พลังไปเท่าไหร่ก็ตาม มันไม่เคยทำให้ร่างกายของฉันหดลงเลย ถ้าแบบนั้นฉันก็ไม่สามารถที่จะใช้พลังวิญญาณได้อีกถ้ามันหายไป”

“อืม จริงด้วยแฮะ แต่คุณเป็นจิตวิญญาณ ‘เลฟิลเลีย’  ในที่ที่ผมจากมามันไม่มีบันทึกเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก”

ที่ถูกก็คือในอีกโลกหนึ่ง เมื่อนานมาแล้วมีจิตวิญญาณอยู่จริง แต่มนุษย์ที่เป็นลูกครึ่งจิตวิญญาณไม่ได้รับการพูดถึงมากนัก แต่ ‘เลฟิลเลีย’ที่เกิดจากครึ่งวิญญาณผสานอยู่ในร่าง

พลังของมันก็ประกอบอยู่ภายในร่างกายและจิตใจของเธอ มันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย เมื่อเธอใช้มันมากเกินขีดจำกัดมันก็หายไปทำให้ร่างกายของเธอหดเล็กลง

“….ฟังนะ ‘เลฟิลเลีย’  ร่างกายของคุณมีพื้นฐานต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่น คุณเป็นเหมือนกับจิตวิญญาณที่มีตัวตนจับต้องได้และมีร่างกายอยู่ในโลกใบนี้ พลังของจิตวิญญาณจะแข็งแกร่งก็ต่อเมื่ออยู่ในสภาพที่แท้จริงคือไร้ตัวตน อืม เข้าใจรึเปล่า พลังวิญญาณที่อยู่ในตัวคุณมาตลอดกลับไปอยู่ในสภาพเดิมของมันอีกครั้ง เมื่อมันหายไปร่างกายของคุณก็เลยหดเล็กลง”

“ซะ- ‘ซุยเมย์คุง’ ที่คุณพูดมาฉันไม่เข้าใจสักนิดเลย ช่วยสรุปง่ายๆได้มั้ยคะ”

“หืม? อ่า ขอโทษด้วยเดี๋ยวผมจะสรุปให้ฟังทีหลังนะ……ว่าแต่ ‘เลฟิลเลีย’  คุณจะอยู่ในสภาพนั้นอีกนาน……”

ก่อนที่ ‘ซุยเมย์’ จะพูดจบ เลฟิลเลียก็สะดุดรองเท้า

และเสื้อผ้าของเธอเองอีกครั้ง

“อุ๊….หวา….”

ใบหน้าของเธอจมลงไปกับพื้นดินอีกครั้ง หลังจากที่พยายามจะลุกขึ้นเองหลายครั้ง สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจว่าไม่สามารถทำเองได้ และถาม ‘ซุยเมย์’ อย่างไม่เต็มใจ

“…….ขอโทษนะคะ ‘ซุยเมย์คุง’  แต่ว่าคุณจะช่วยฉันหน่อยได้มั้ย? เสื้อผ้าและรองเท้ามันใหญ่เกินไป ฉันลุกเองไม่ได้”

“……”

“ซุยเมย์คุง”

‘เลฟิลเลีย’ ร้องเรียก ‘ซุยเมย์’ อีกครั้งอย่างสงสัยว่าทำไมเขาถึงไม่ตอบ แต่ ‘ซุยเมย์’ เองก็ไม่มีแรงพอจะไปช่วยเธอได้ เขามีปัญหาของตัวเองเช่นกัน คือเขาลุกไม่ขึ้น

“เอ่อ…..คุณเห็นใช่มั้ย…..ว่าผมใช้พลังมากเกินไป เลยขยับไม่ได้”

“…….”

“……”

ความเงียบย่ากลายเข้ามาระหว่างทั้งคู่ ความเงียบอันน่าอึดอัด ในสถานการณ์แบบนี้ ที่ไม่มีใครสามารถขยับตัวได้  ‘ซุยเมย์’ พยายามแก้ไขสถานการณ์ด้วยการหัวเราะแห้งๆ

“ฮ่าๆๆ…..เราควรจะทำยังไงดี”

“อ่า….แน่นอนว่า…..”

……ในที่สุด ‘ซุยเมย์’ ก็สามารถลุกขึ้นได้ หลังจากดึงเลฟิลเลียออกจากกองเสื้อผ้านั่นแล้ว ทั้งคู่ก็ลงจากเขาไปด้วยกัน

ในเวลาเดียวกันนั้น ในปราสาทที่ห่างไกลออกไปทางเหนือ มีใครบางคนกำลังคุกเข่าอยู่หน้าบัลลังก์ เขามีลักษณะคล้ายกับมนุษย์ แต่ถ้าสังเกตให้ดีก็จะพบว่าเขาต่างจากมนุษย์ และแน่นอนว่าเขาไม่ใช่มนุษย์

เขาคือขุนพลปีศาจ ‘ลิชาบัม’  เขากำลังคุกเข่าให้กับใครบางคนที่นั่งอยุ่บนบัลลังก์ คนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์นั้นเป็นหญิงสาวที่แต่งชุดสีดำดูหรูหรา กล่าวกับคนที่ทำความเคารพตนด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลขณะที่เกยคางอยู่บนที่เท้าแขน

“…….มีอะไรงั้นเหรอ ทำไมถึงมารบกวนการนอนหลับของเราล่ะ?”

เมื่อหญิงสาวคนนั้นถามขึ้น ชายคนนั้นตอบกลับด้วยน้ำเสียงแหลมสูง

“กระหม่อมมีเรื่องรายงานขอรับ”

“……มีอะไรงั้นเหรอ”

‘ลิชาบัม’ ก้มหน้าอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบกลับหญิงสาว

“ขุนพลปีศาจราจัส ตัดขาดการเชื่อมต่อไปแล้วขอรับ”

“โฮ……?”

ตัดการเชื่อมต่อ ฟังดูน่าสนใจ หญิงสาวชะโงกหน้าออกมาจากบัลลังก์

“เราสั่งให้เขาไปฆ่าผู้กล้าที่ถูกเรียกตัวมาใช่รึเปล่า”

“ขอรับ ฝ่าบาท”

“งั้นก็หมายความว่า….ผู้กล้าเอาชนะเขาได้”

“กระหม่อมเชื่อว่าอาจเป็นไปได้”

เมื่อ ‘ลิชาบัม’ กล่าวอย่างไม่เห็นด้วย หญิงสาวลืมตาขึ้น

“……..พูดอีกครั้งซิ”

“กระหม่อมเห็นด้วยขอรับ”

“……อืม อืม ราจัส อย่างนั้นเหรอ”

เมื่อหญิงสาวพึมพำคำพูดนั้นราวกับกำลังวิเคราะห์ข้อมูล  ‘ลิชาบัม’ เงยหน้าขึ้นและเอ่ยถาม

“พระองค์มีแผนจะทำอย่างไรต่อไปขอรับ ฝ่าบาท”

“อืม…….อยากไปเหมือนกัน แต่คงเป็นไปไม่ได้ ตั้งแต่กองทัพหน้าถูกทำลายคงต้องเปลี่ยนแผนใหม่”

“แผนอะไรรึขอรับ?”

“อย่างแรก ส่งวิชุดากับมูระ ไปที่ชายแดนตะวันตก เตรียมโจมตีมนุษย์”

“พวกเขาจะไปทันที”

“บอกพวกเขาว่า เราให้เวลาเล่นได้นานหน่อย”

เมื่อหญิงสาวยิ้ม  ‘ลิชาบัม’ ยิ้มตอบเช่นกัน

“ได้ขอรับ”

หลังจากตอบรับแล้ว  ‘ลิชาบัม’ ก็หายไปในความมืด ทิ้งหญิงสาวให้อยู่ในห้องตามลำพังอีกครั้ง —

ในขณะที่ลูกน้องหายไป หญิงสาวไม่มีร่องรอยของความเศร้าเลยสักนิด เธอหัวเราะออกมาดังๆอย่างกับเด็กที่พบของเล่นถูกใจ

“คิกๆๆๆ ผู้กล้าที่ถูกเรียกมาจากโลกอื่น ที่สามารถกำจัดราจัสได้ อยากพบเขาสักครั้งจังเลยน๊า”

ผู้หญิงคนนั้น ราชาปีศาจ ไม่สิ ราชินีปีศาจ ‘นัคชาตรา’  หัวเราะก้องกังวานไปทั่วปราสาท

ปล.1 ถึงตัวจะเป็นเด็ก แต่สมองเป็นผู้ใหญ่(?) ชื่อของเธอคือเลฟิลเลีย

“ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว  คนร้ายก็คือแกนั่นแหละ”(เลฟิลเลียไม่ได้กล่าวไว้)

ปล.2 โลลิครับ กลายเป็นโลลิไปแล้ว อั๊ค กระอักเลือด

ที่มา:

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments