I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Isekai Mahou wa Okureteru! ตอนที่ 35 กลับเป็นเด็กอีกครั้ง

| Isekai Mahou wa Okureteru! | 1299 | 2365 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

หลังการต่อสู้กับ ‘ราจัส’ บนภูเขาประมาณสิบวัน  ‘ซุยเมย์’ และ ‘เลฟิลเลีย’ ก็มาถึงพรมแดนระหว่างแอสเทล เนลเฟลเรียน อีกไม่ไกลนักก็จะถึง ฟิรัส เฟเรีย เมืองหลวงของจักรวรรดิเนลเฟเรียนขณะที่กำลังเดินอยู่บนถนนที่ถูกปูด้วยแผ่นหิน

‘ซุยเมย์’ ก็หันไปมองรอบๆที่อยู่ตรงหน้านั้นคือประตูหนาดใหญ่ที่มีลายละเอียดเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งแตกต่างจากที่เมเทอร์ ประตูเมืองของคูรันด์นั้นค่อนข้างเล็กกว่าเมเทอร์ ในขณะที่ตัวเมืองมีขนาดใหญ่กว่าเกือบสองเท่า แสดงให้เห็นถึงพลังอำนาจของจักรวรรดิเนลเฟเรียน

นอกจากนี้ยังมีโรงแรมราคาถูกจำนวนมากและย่านการค้าอยู่นอกกำแพงเมืองอีกต่างหากในจุดยุทธ์ศาสตร์ที่ซุนหวู่กล่าวไว้ว่า

ทางสัญจรที่เชื่อมระหว่าสามอาณาจักรที่เรียกว่าทางสามแพร่ง(ปาก) นั้นความเจริญรุ่งเรื่องของทางตะวันตกและตะวันออกจะกระจายลงไปทางใต้ มากกว่าอาณาจักรอื่นๆ ‘ซุยเมย์’ ตั้งใจว่าจะพักอยู่ที่คูรันด์สักพัก ก่อนจะออกเดินทางไปยังเนลเฟเรียนต่อไป และคนที่กำลังเดินอยู่ข้างๆเขานั้นไม่ใช่ใครที่ไหน

‘เลฟิลเลีย กราคิส’ นั่นเองหลังจากที่ต่อสู้กับราจัสบนภูเขานั่นแล้ว ร่างกายของเธอก็หดเล็กลงเนื่องจากการใช้พลังจิตวิญญาณมากเกินไปจากการสูญเสียพลังใปตอนนั้น ทำให้เธอไม่สามารถจะแบกดาบขนาดใหญ่กว่าห้าฟุตนี้ไปยังจักรวรรดิเนลเฟเรียนคนเดียวได้ด้วยเหตุนั้นเธอจึงเข้าเมืองคูรันด์มากับ ‘ซุยเมย์’ นอกจากนี้

คำสาปของ ‘เลฟิลเลียยัง’ กำเริบขึ้นมาหลายครั้งระหว่างทาง ทุกครั้งเขาต้องร่ายเวทเพื่อลดทอนพลังของคำสาปให้เธอ แต่ก็ไม่ได้เกิดเหตุการณ์ที่ผิดศีลธรรมขึ้นแต่อย่างใด

” ………… “

เขายังจำมันได้ดี แม้กระทั่งในตอนนี้ ใบหน้าและในหัวใจก็ยังคงร้อนผ่าวอยู่เลย ไม่สิ ฉันไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดีสักหน่อย แต่ทำไมถึงรู้สึกเหมือนทำอะไรที่ผิดศีลธรรมเลยนะถ้าหากมีใครเหตุเหตุการณ์ในตอนนั้นละก็

ฉันจะต้องถูกกล่าวหาว่าเป็นโลลิค่อนแน่ๆ ไม่ ไม่ใช่ นั่นมันไม่จริง เลฟิลเลียอายุพอๆกับฉัน เพราะงั้นมันไม่มีทางเป็นแบบนั้นได้หรอกยังไงก็ตาม คิดแล้วมันก็

(จริงๆแล้วมันก็ทำให้ใจเต้นดีอยู่หรอกนะ)มันไม่มีทางเลือก เพื่อไม่ให้คำสาปของเธอกำเริบขึ้นมาในตอนที่เดินทางคนเดียว เขาก็จำเป็นจะต้องอดกลั้นไว้จนกว่าร่างกายของหญิงสาวจะกลับไปอยู่ในสภาพเดิมและสามารถถอนคำสาปนั้นออกได้

“ฉันละสงสัยจริงๆว่าปีศาจประเภทไหนกันที่ร่ายคำสาปแบบนี้ออกมาได้”

ขณะที่มองไปที่ ‘เลฟิลเลีย’  เขาก็นึกบางอย่างออกมาได้ปีศาจผู้หญิงที่เหมือนกับกับราจัสงั้นเหรอ ในตำนานที่โลกของเขาก็มีนี่นา ปีศาจที่มากับความฝันที่เรียกว่าซักคิวบัสน่ะมันอยู่ในตำนานและความเชื่อฝั่งยุโรป ปีศาจที่ล่อลวงและร่วมประเวณีกับผู้ชายในความฝัน และมักจะชอบร่ายคำสาปประทับกับร่ายกายเหยื่อวิธีแก้คำสาปดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องยาก ที่ต้องทำตามจุดมุ่งหมายของมันให้สำเร็จเท่านั้น อืม แต่พอมาคิดดูอีกที

ดูเหมือนมันจะยากเกินไป เพราะงั้นวิธีนี้ตัดทิ้งยังไงซะตามช่วยเธอมาถึงตอนนี้แล้วนี่ ก็คงจะต้องช่วยไปจนจบนั่นแหละ

“มีอะไรเหรอคะซุยเมย์คุง?”

“ไม่มีอะไร …… “

“ฟุฟุ หรือว่าคุณกำลังตกตะลึงอยู่กันน๊า”

‘เลฟิลเลีย’ ยิ้มกริ่มพร้อมกับหมุนตัวไปรอบๆเพื่ออวดชุดใหม่ ซึ่งเป็นชุดเด็กหญิงที่ได้รับการออกแบบมาอย่างดี แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือเธอแสดงท่าทีเหมือนกับเด็กผู้หญิงธรรมดาๆเพราะแบบนั้น….

“บอกตามตรง ผมก็ชอบมันอยู่นะ”

“มะ-ไม่จริงน่า”

เด็กสาวหน้าแดงแปร๊ดเมื่อ ‘ซุยเมย์’ พูดออกมาตามตรง มันค่อนข้างน่าอายสักนิดที่ผู้ใหญ่ต้องมาใส่เสื้อผ้าของเด็ก มันช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกเขินแน่นอนว่าชุดที่เธอใส่นั้นไม่ใช่ชุดอัศวินไม่ว่าจะไปร้านไหนก็ตาม ก็ไม่มีคนขายชุดนั้นให้เธอ มันจะมีบทสนทนาประมาณว่า

“เด็กสาวล่ะ…”

“ฉันเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ….”

“น่ารักจัง….”

“นี่สนใจที่ฉันพูดหน่อยได้มั้ย…”

ไม่ว่าเธอจะตะโกนออกไปยังไงก็ไม่มีเจ้าของร้านคนไหนฟังที่เธอพูดเลย สุดท้ายแล้วเด็กสาวจึงต้องมาอยู่ในชุดที่ออกแบบมาให้ดูน่ารักอย่างนี้ขณะที่กำลังพิจารณาอยู่นั้น  ‘เลฟิลเลีย’ ได้ถามขึ้น

“…….นี่ มันดีรึเปล่า”

“หืม? ผมได้ยินคนขายเขาชมว่าคุณน่ารักนะ”

“น่ารักเหรอ…..คิกๆๆ ถึงจะพูดอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้ฉันมีความสุขหรอกนะ”

แม้จะฟังดูเหมือนไม่ใส่ใจ แต่ในความจริงแล้วหญิงสาวรู้สึกดีใจสุดๆ ได้คำชมจากเพศตรงข้ามนี่ แน่ละไม่มีใครไม่รู้สึกดีใจหรอกเมื่อมองเห็นท่าทางเหล่านั้น หัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยความอบอุ่นและผ่อนคลาย

มันอาจจะเป็นเพราะว่าเธอเป็นเด็กล่ะมั้ง เขาก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน(นี่เป็นอีกครั้งที่เขาสังเกตเห็นว่า ‘เลฟิลเลีย’ พูดจาดูไม่เหมือนปกติ)

‘ซุยเมย์’ แบกดาบขนาดใหญ่ไว้บนหลัง ขณะที่มอง ‘เลฟิลเลีย’ ฮัมเพลงท่ามกลางฝูงชน ตั้งแต่ที่เธอตัวเล็กลงดูเหมือนหญิงสาวจะมีชีวิตชีวามากขึ้น ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เต็มไปด้วยความเงียบขรึม มันทำให้เธอน่าเอ็นดูมากขึ้นบางที่อาจเพราะร่างกายของเธอเล็กลง เลยทำให้จิตวิญญาณของเธอกลายเป็นเด็กไปด้วยละมั้งเอาเถอะแม้ว่าเธอจะกลายเป็นเด็กไป

มันก็ไม่ใช่อะไรที่เลวร้ายนักหรอกระหว่างที่ ‘ซุยเมย์’ กำลังคิดสิ่งนั้นอยู่  ‘เลฟิลเลีย’ ก็หยุดเดินก่อนจะจ้องมองเขาด้วยดวงตากลมโตคู่นั้น

“เน่…ซุยเมย์คุง เกี่ยวกับร่างกายของฉันที่กลายเป็นเด็ก….”

“โอ้  ใช่แล้ว ผมลืมอธิบายไปสินะ”

“ฉันเองก็ลืมเหมือนกัน”

“อืม”

‘ซุยเมย์’ ตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง เพราะมีหลายๆเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ทำให้เขาลืมเรื่องนี้ไปอย่างสิ้นเชิงเขารำลึกถึงเหตุการณ์ที่เลฟิลเลียกลายเป็นเด็กก่อนที่พวกเขาจะลงจากเขามาเขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มต้นอธิบาย

“อืม คือว่าอย่างนี้นะ…..เห็นโลกนี้มั้ย สิ่งที่เราเห็นทั้งหมดนี่มันคือภาพสะท้อนที่เรียกว่าภาพเสมือน  ส่วนแนวคิดที่ไม่สามารถจับต้องได้ เรียกว่าภาพลวงตาหรือจะเรียกว่าจินตนาการก็ได้ สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ คือสิ่งที่เรียกว่าความคิดหรือทฤษฏีทางความคิด”

“ทฤษฏีทาง’ความคิด’เหรอคะ?”

“ครับ”

“อืม ค่ะ….ฉันพอจะนึกออก”

‘ซุยเมย์’ พยักหน้าให้กับคำตอบของเลฟิลเลีย ดูเหมือนว่าเงื่อนไขทางความคิดจะไม่ใช่อะไรที่ยากเกินไปสำหรับเธอ……

“ตัวอย่างเช่นผมที่ยืนอยู่ตรงนี้ก็คือยาคางิ ซุยเมย์ สิ่งที่สะท้อนให้คุณเห็นก็คือยาคางิ  ‘ซุยเมย์’  เพราะคุณเห็นเป็นแบบนี้ สมองของคุณจึงยอมรับว่ามันเป็นแบบนี้”

“แล้วความคิดสำคัญยังไงละค่ะ? ในเมื่อสิ่งที่เราเห็นมันก็บอกได้อยู่แล้ว……หรือว่า”

“พูดต่อสิ”

“เพราะคิดว่าเหมือนกัน ถึงเห็นว่าเหมือนกันเหรอคะ?”

“เพราะว่าทุกคนมีลักษณะแตกต่างกัน ความคิดทำให้รับรู้ถึงความต่างนั้น เพราะงั้นจึงรู้ว่าผมกับคุณไม่ได้มีลักษณะเดียวกัน ต้นไม้และหินที่อยู่รอบกำแพงก็ไม่เหมือนกัน”

“……แต่ว่าจิตวิญญาณมองไม่เห็นไม่ใช่เหรอคะ คุณจะอธิบายเรื่องนี้ว่ายังไง? เราสามารถรับรู้ตัวตนของเขาได้ทางความคิดอย่างนั้นเหรอ”

“แน่นอน แม้ว่าคนจะไม่มีเหตุผล แต่ก็ยังมีความคิด ผลของความคิดที่ว่านั้นทำให้ผู้คนพยายามทำตามสิ่งที่พวกเขาเชื่อพยายามที่จะทำบางสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ การทรมานคนอื่นเพื่อเติมเต็มความต้องการของตัวเอง นั่นคือสิ่งที่ความคิดสร้างขึ้น ด้วยแนวคิดที่ว่านี้ แม้แต่สิ่งที่ไม่มีตัวตน มนุษย์ก็สามารถรับรู้มันได้ผ่านทางความคิด”

“ที่ผู้คนทำหลายสิ่งหลายอย่างเป็นอิทธิพลมาจากความคิดงั้นเหรอคะ?”

“ครับ”

คำพูดของ ‘เลฟิลเลีย’ ทำให้ซุยเมย์พยักหน้าอย่างกล้ำกลืนจากนั้นเธอกล่าวด้วยใบหน้าที่น่ากลัวกว่าที่เคย

“แต่ซุยเมย์คุง ถ้ามันเป็นไปตามแนวคิดของทฤษฏีที่ว่าแล้ว ไม่ต้องทั้งหมดหรอก ชีวิตของทุกคนไม่เท่ากับว่าถูกเขียนไว้ในกระดาษแล้วอย่างนั้นเหรอ”

เขียนลงบนกระดาษงั้นเหรอ ช่างเปรียบเทียบดีแท้ เป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้ยินคนพูดแบบนี้ดังนั้น

“ถูกต้อง สิ่งที่เรารับรู้ได้ในโลกนี้ ไม่ว่าจะการมองเห็น ได้ยิน สัมผัส กลิ่น หรือรส ก็เป็นเพียงความคิดเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มันเป็นสิ่งที่ผิดพลาด ทั้งหมดนั่นเป็นแค่ของปลอม”

“ของปลอมเหรอคะ….”

ถ้าเธอไม่พอใจ เขาก็คงทำอะไรไม่ได้

“ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ต้องไปคิดมาหรอกนะ”

“อย่างพูดแบบนั้นสิซุยเมย์คุง ฉันไม่สามารถปล่อยแนวคิดที่ว่านั่นให้ผ่านไปได้หรอกนะ”

“ผมคิดว่ามันไม่จำเป็นอะไรขนาดนั้นหรอกนะ…..และนั่นอะไร?”

“ฉันคิดว่ามันน่าจะเป็นเรื่องที่ดีหากหาคนที่สามารถตอบได้ว่าทำไมฉันถึงตัวเล็กลง?”

‘เลฟิลเลีย’ ตอบ ‘ซุยเมย์’ ที่กำลังมองมาและ

“อืม มันอาจจะดีก็ได้  มีหนังสือบางเล่มที่เขียนเกี่ยวกับจิตวิญญาณที่เป็นลูกครึ่งระหว่างจิตวิญญาณและมนุษย์อย่างคุณอยู่ ลูกครึ่งประเภทนี้ความแข็งแกร่งขึ้นอยู่กับร่างกายและจิตวิญญาณ เมื่อมีส่วนหนึ่งส่วนใดขาดหายไป ก็จะอ่อนแอลง โดยเฉพาะคุณที่มีจิตวิญญาณเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ทำให้กลายเป็นว่าเสียส่วนหนึ่งของร่างกายไป”

“ตามความคิดของคุณก็คือ ฉันสูญเสียพลังวิญญาณไปทำให้ ร่างกายของฉันเล็กลง แค่จะไม่มีผลกระทบอื่น?”

“อืม ผมคิดว่าอย่างนั้นแหละ”

ร่างกายของ ‘เลฟิลเลีย’ ในตอนนี้คือร่างกายที่มีจิตวิญญาณไม่สมบูรณ์ เหมือนกับขาดบางสิ่งบางอย่างไป ตอนนี้เธอไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดทางร่างกายได้เลยสักนิดเลฟิลเลียบ่นอย่างหมดอาลัย

“………ตอนนี้ฉันไม่รู้สึกถึงความเป็นมนุษย์ของตัวเองเลยค่ะ”

“อย่าไปสนใจมันมากนักเลย ผู้ใช้เวทอย่างผมก็เหมือนกับละทิ้งการเป็นมนุษย์ไปแล้วเหมือนกันนั่นแหละ มันเป็นแค่เรื่องไร้สาระน่า”

“……..คงงั้นมั้งค่ะ”

หญิงสาวถามเขาอีกครั้งด้วยท่าทางกอดอกซึ่งดูไม่เหมาะกับร่างเล็กๆนั่นเลย

“โลกของคุณเป็นยังไงบ้างค่ะ เอ่อ ฉันค่อนข้างตกใจมากเลยที่รู้ว่าคนเป็นคนที่ถูกเรียกตัวมาจากอีกโลกหนึ่ง“อ่อ เรื่องนั้น ผมคงเป็นที่โชคร้ายที่สุดในโลกนี้ล่ะมั้ง”

‘ซุยเมย์’ พูดอย่างไม่ใส่ใจ ขณะที่ ‘เลฟิลเลีย’ ยิ้มรับด้วยรอยยิ้มแปลกๆ

“ผู้กล้าที่มาช่วยเหลือโลกเหรอคะ”

“อ่า ฉันไม่คิดแบบนั้น”

“ทำไมล่ะคะ?”

“ถึงผมจะกำจัดปลาซิวปลาสร้อยไปเยอะก็จริง มันก็แค่เวทมนตร์เล็กๆน้อยๆเท่านั้น”

“ถึงจะมีผู้ใช้เวทที่เก่งก็คุณอีกมากมาย แต่เขาก็มาที่โลกนี้ไม่ได้ เพราะงั้นอย่าดูถูกตัวเองขนาดนั้นเลยค่ะ”

“……อืม ก็คงเป็นอย่างนั้นแหละ”

แผ่นหลังของใครบางคนปรากฏขึ้นในความคิดของ ‘ซุยเมย์’

แผ่นหลังของพ่อ ผู้อยู่เหนือกว่าทุกคน หากพ่อยังอยู่ บางทีเขาอาจจะแข็งแกร่งกว่านี้ ‘เลฟิลเลีย’ ถามขึ้นอย่างสงสัย

“ถ้าเป็นพ่อของคุณจะเป็นยังไงคะ?”

“อืม ผมเทียบไม่ติดเลยล่ะ”

“แล้วราจัสล่ะคะ”

เขาคิดว่านั่นเป็นเรื่องที่ไร้สาระมาก แม้ราจัสจะแข็งแกร่งก็จริง แต่แค่นั้นมันไม่ทำให้คิ้วของพ่อกระตุกได้หรอก

“อืม….คงตายภายในหมัดเดียวละมั้ง”

“เอ๋ หมัดเดียวเหรอคะ”

“ใช่”

‘เลฟิลเลีย’ ร้องอย่างตกใจ ในขณะที่ ‘ซุยเมย์’ พยักหน้าเมื่อหลายปีก่อน ก่อนที่พ่อจะต้องนั่งรถเข็นเพราะขาไม่ดี เขาแข็งแรงมาก เขาเชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ทุกแขนงเพราะงั้น

ความสามารถในการต่อสู้ของเขาจึงเป็นอะไรที่น่ากลัวมาก แต่หลังจากที่ต้องนั่งรถเข็นความสามารถในการต่อสู้ของเขาก็ลดลงไปเรื่อยๆถ้าเทียบกันแล้ว หมัดของพ่อก็ยังแข็งกว่าหมัดของเขาอยู่ดี

“…….ถึงจะดูเหมือนโกหก แต่ว่าความแข็งแกร่งของเขาน่ะ ทำให้ผมดูเหมือนตัวตลกไปเลย”

หากเป็นพ่อละก็ เขาจะใช้เวทมนตร์ค้นหาปีศาจ และระเบิดมันทิ้งก่อนที่พวกมันจะรู้ตัวซะอีก แต่เวทมนตร์ของสมัยใหม่ของเขาทำถึงขนาดนั้นไม่ได้ แม้ว่าพ่อจะขาพิการและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ เขาก็ยังเทียบพ่อไม่ได้อยู่ดี

“กำจัดขุนพลปีศาจ….ได้ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอคะ?”

“ง่ายขนาดนั้นแหละ   ‘เลฟิลเลีย’  เป็นอะไรรึเปล่า……”

แต่ความจริงที่ว่า พ่อของเขาตายไปแล้ว ในวันนั้น ต่อหน้าต่อตาเขา วันแรกที่เขาต้องอยู่เพียงลำพัง

“ฉันรับรู้ได้เลยว่าโลกของคุณน่ากลัวแค่ไหน”

“อะแฮ่ม…ไม่ ไม่ใช่แบบนั้น แต่เพราะความก้าวหน้าของอารยธรรม มันเลยทำให้มนุษย์แข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น แต่ยกเว้นคุณนะ  ‘เลฟิลเลีย’ ”

“ผู้ชายที่แข็งแกร่งแค่ไหนก็มีสิ่งที่เขาต้องพ่ายแพ้ เหมือนกับผู้ใช้เวทที่เก่งกาจเองก็มีศัตรูทางธรรมชาติ”

คำพูดที่เหมือนกับออกมาจากส่วนลึกของจิตใจ ทำให้ ‘เลฟิลเลีย’ ถึงกับตกตะลึง ขณะที่ ‘ซุยเมย์’ เงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เมฆแยกออกจากกัน  ‘ซุยเมย์’ กล่าวราบกับพูดกับพวกมันว่า

“สักวันหนึ่งผมเองก็คงกลายเป็นผู้ใช้เวทแบบเดียวกับเขานั่นแหละ…… “

ที่มา:

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments