ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปบนทางหลวงก่อนเข้าเมือง ฟีรัส เฟเรีย เมืองหลวงจักวรรดิเนลเฟเรียน ที่หน้าประตูเมือง ‘ซุยเมย์’ มองแสงสว่างที่ลอดผ่านบานประตูเมืองก่อนจะหันไปถาม ‘เลฟิลเลีย’
“มันอาจจะสายเกินไปหน่อย แต่ว่าตอนนี้เรามาถึงจักรวรรดิแล้วใช่มั้ย?”
คำถามของ ‘ซุยเมย์’ ทำเอา ‘เลฟิลเลีย’ ถึงกับขมวดคิ้ว
“มันช้าเกินไปแล้วค่ะ หลังจากเดินทางผ่านมาตั้งหลายเมืองทำไมคุณเพิ่งมาถามตอนนี้ละคะ?”
“เท่าที่ผมเห็นมันไม่ค่อยต่างจากแอสเทลเลยนะ”
‘ซุยเมย์’ ยักไหล่ สำหรับคนที่มาจากยุคสมัยใหม่อย่างเขา มันค่อนข้างจะยากในการแยกแยะความแตกต่างของหมู่บ้านหรือเมืองต่างๆ ก่อนหน้านี้การหาโรงแรมราคาถูกก็ต้องอาศัย ‘เลฟิลเลีย’ อธิบายให้ฟัง
“คุณไม่ได้หาข้อมูลก่อนออกจากแอสเทลแล้วเหรอคะ?”
“มันก็แค่ข้อมูลจากหนังสือไม่กี่เล่มน่ะ ผมอยากฟังความคิดเห็นของคุณมากกว่า”
“ความคิดเห็นของฉันเหรอคะ…..”
‘ซุยเมย์’ ถามความเห็นจาก ‘เลฟิลเลีย’ ตรงๆอย่างไม่อ้อมค้อม เมื่อเธอพิจารณาคำถามสักพักก็เข้าใจและพยักหน้า
“จักรวรรดิเนลเฟเรียนเป็นอาณาจักรที่เข้มแข็งในเรื่องของการทหารค่ะ”
‘ซุยเมย์’ ยิ้มอย่างขมขื่น
“…..อ่า แน่นอน เรื่องนั้นผมอ่านเจอในหนังสือแล้ว”
“นอกจากการทหารแล้ว ความมั่งคั่งและชื่อเสียงก็เหนือกว่าอาณาจักรอื่นๆ”
“เหรอ ทำไมผมไม่เห็นรู้สึกแบบนั้นเลย”
นี่คือข้อสงสัยที่ ‘ซุยเมย์’ เก็บไว้ในใจมานานแล้ว เพราะในอาณาจักรนี้มีความหลายหลายทางชาติพันธุ์ จึงจำเป็นต้องมีกองกำลังเพื่อรักษาความปลอดภัยจำนวนมาก
ยิ่งไปกว่านั้นความมั่งคั่งที่ว่านั่นก็ได้มาจากการกดดันประเทศเพื่อนบ้าน ชื่อเสียงก็ได้มาจากอานิสงค์ของประเทศพันธมิตร เพราะว่ามีเสียงสนับสนุนจากประชาชนจำนวนมาก จักรวรรดิจึงยังมีอิทธิพลอยู่ แต่ว่าคงอีกไม่นานนัก สิ่งที่ ‘ซุยเมย์’ เห็นในตอนนี้คืออารยธรรมที่เทียบได้กับ ยุคแรกเริ่มของจักรวรรดิญีปุ่น
“อืม เอาเถอะ หลังจากที่เอาชนะอาณาจักรอื่นๆมามากมาย ไม่แปลกอะไรที่จะอ่อนแอลงหลังสงครามครั้งใหญ่เมื่อหลายร้อยปีก่อน ดูเหมือนมันจะเป็นแบบนั้นสินะ”
“…..ไม่แปลกอะไรที่จะมีความทะเยอทะยาน ว่าแต่หลายร้อยปีก่อนเหรอคะ?”
ความคิดที่หลุดออกมาจากปาก ‘ซุยเมย์’ เกี่ยวกับสงครามหลายร้อยปีก่อน หากมีเวลามากขนาดนั้น ความแข็งแกร่งของการทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ควรจะกลับมาเข้มแข็งได้อีกครั้งแล้ว แต่ทำไมมันถึงไม่เป็นแบบนั้น ‘เลฟิลเลีย’ ส่ายศีรษะให้กับคำถามนั้น
“จริงอยู่ที่เนลเฟเรียนเป็นหนึ่งในสามพันธมิตรค่ะ แต่ถ้าเทียบกันจริงๆ เนลเฟเรียนก็ยังคงเป็นประเทศที่เข้มแข็งที่สุดอยู่ดี”
“ถ้าอย่างนั้นมันควรจะจบสงครามได้ง่ายๆไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ค่ะ พวกเขาใช้สิ่งนั้นกดดันเพื่อให้เกิดพิธีอัญเชิญผู้กล้า”
คำตอบของ ‘เลฟิลเลีย’ ทำให้ซุยเมย์ขมวดคิ้วอย่างสงสัย
“ผู้กล้างั้นเหรอ จะเอามาทำอะไรในสงครามระหว่างมนุษย์ละ”
“เพื่อจบสงคราม ผู้กล้าคือสิ่งจำเป็นยังไงละค่ะ”
“…..?”
คำพูดของ ‘เลฟิลเลีย’ ยิ่งสร้างความสับสนให้กับซุยเมย์ยิ่งขึ้นไปอีก การอัญเชิญผู้การจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อโลกเข้าสู่วิกฤติไม่ใช่เหรอ ที่เขาได้ยินมาจากแอสเทล
การอัญเชิญผู้กล้านั้นจำเป็นจะต้องได้รับอนุญาตจากแต่ละอาณาจักรและโบสถ์แห่งความรอดไม่ใช่เหรอ ทำไมมันถึงกลายเป็นการสร้างสงครามไปได้ ยิ่งคิดมากเท่าไหน ใบหน้าของ ‘ซุยเมย์’ ยิ่งแสดงความสับสนเท่านั้น เลฟิลเลียอธิบายต่อ
“มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นค่ะ ในตอนที่สาธารณรัฐซาเดียสยังอยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์ กษัตริย์ผู้บ้าคลั่งในตอนนั้นได้ทำการสังหารหมู่ประชาชนของเขา”
“สังหารหมู่งั้นเหรอ เพราะอะไรล่ะ?”
“ฉันเองก็ไม่ทราบค่ะ ไม่มีหลักฐานในเรื่องนั้นเหลืออยู่แล้ว แต่ว่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ถูกปองร้ายในตอนนั้น คงรู้สึกอยู่ในภาวะวิกฤติเหมือนกัน”
“เอ่อ……”
หลังจากที่ได้ฟังเรื่องของ ‘เลฟิลเลีย’ ‘ซุยเมย์’ หวนนึกไปถึงคำพูดของ ‘โดโรเธีย’ ผู้เป็นเจ้าหน้าที่สมาคมนักผจญภัยและเกลสส์นายกรัฐมนตรีของแอสเทล หลายร้อยปีผ่านไปแล้ว ผลของการกระทำของกษัตริย์ผู้บ้าคลั่งนั้นก็ยังคงไม่จางหายไปไหน เรื่องราวของผู้กล้าทั้งสามคนที่ราชาทรราชนั้นเรียกมาก็ยังคงถูกเล่าขานอยู่ ยังไงก็ตาม….
“การอัญเชิญผู้กล้า……จักรวรรดิ……สงคราม…..เอาจริงดิ”
“ค่ะ ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้น เพื่อต่อต้านรัฐของราชาทรราชในเวลานั้น จักรพรรดิแห่งเนลเฟเรียได้ร่วมมือกับประเทศพันธมิตร และเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน เขาก็…..”
“เรียกผู้กล้ามา เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน”
“ค่ะ ในตอนนั้น ความพยายามของจักรพรรดิล้มเหลวงอย่างไม่เป็นท่า ผู้กล้าที่ถูกเรียกตัวมาเมื่อเจอกองทัพศัตรูก็กลัวจนตัวสั่น แถมยังวิ่งหนีอีกต่างหาก”
“งั้นเหรอ?”
จะกล่าวได้ว่าอำนาจของจักรพรรดิในเวลานั้นอยู่เหนือราชาทุกอาณาจักรและอยู่เหนือกองทัพทุกประเทศ จะเป็นรองก็แค่ผู้กล้าที่เปี่ยมด้วยพลังเท่านั้น แต่ผู้กล้าที่ถูกอัญเชิญมากลับไม่สามารถต่อสู้กับผู้กล้าของฝ่ายตรงข้ามได้
นี่มันไม่ใช่ปัญหาแค่ในเรื่องของสงครามเท่านั้น แต่ยังเป็นปัญหาในการปกครองด้วย เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องนี้คงจะมากน่าดู ในญี่ปุ่นเองก็ประสบปัญหานี้บ่อยๆเหมือนกัน
“นั่นคือความสำคัญของพิธีอัญเชิญงั้นเหรอ”
“ค่ะ ราชาปีศาจและกองทัพ มีพลังอำนาจมากเกินกว่าที่กองทัพของอาณาจักรไหนจะต่อต้านได้”
“อืม…..”
“ต้องขอบคุณการกระทบกระทั่งกันระหว่างอาณาจักรอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”
“แล้วยังไงต่อ?”
“เมื่อสองปีก่อน เรือขนส่งของแอลเทลและ ชาร์ลอตเทนบวร์กเกิดชนกันขึ้นและล่มในอาณาเขตของแอลเทล แต่เหตุการณ์นั้นถูกแก้ไขโดยเจ้าหญิง ‘ไทเทเนีย’ ค่ะ”
ความสำเร็จของไทเทเนียงั้นเหรอ นี่ค่อนข้างจะน่าตกใจทีเดียว ‘ซุยเมย์’ ขมวดคิ้ว
“เทียร์?”
“ ‘เทียร์’ …… อ่อ องค์หญิง ‘ไทเทเนีย’ ใช่คะ ได้ยินมาว่าเธอประสบความสำเร็จในตอนนั้น”
“ฝีมือของเจ้าหญิงคนนั้นจริงๆน่ะเหรอ?”
‘ซุยเมย์’ ถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะนึกอย่างชื่นชม ไม่น่าเชื่อเลยว่าเจ้าหญิงของแอสเทลที่ดึงดันจะตามเรอิจิไปต่อสู้กับปีศาจคนนั้นจะทำอะไรแบบนี้ได้ด้วย ดูเหมือนจะมีความสามารถไม่ด้วยไปกว่าจอมเวทเฟลเมเนียคนนั้นเลยนี่
เอาเถอะ ต่อให้เป็นเขาเองก็ไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้หรอก ยังไงซะมันก็เป็นวิธีหนึ่งที่สามารถหลีกเลี่ยงสงครามได้ละนะ ยังไงก็ตาม….
(ก่อนที่เทียร์จะออกไปต่อสู้ เธอพูดไว้ว่าอะไรนะ?) ‘ซุยเมย์’ นึกย้อนกลับไปยังตอนที่เขายังไม่ได้ออกจากปราสาทมา วันที่เขาออกไปส่งพวก ‘เรอิจิ’ ออกเดินทาง จำได้ว่าราชาและพวกข้าราชการเอาแต่พูดเยินยอต่างๆนานาแต่กลับไม่ยอมพาตัวเองเข้าไปเสี่ยงกับอันตราย ผิดกลับเจ้าหญิงคนนั้นที่บอกว่ามันเป็นความรับผิดชอบของเธอ ที่เรียกพวกเขาเข้ามาอยู่ในอันตราย ตอนนั้นเอง
“คนต่อไปเข้ามาได้”
ในขณะที่เขากำลังนึกถึงเรื่องในตอนนั้น เสียงเรียกของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองก็ดังออกมา ‘ซุยเมย์’ และ ‘เลฟิลเลีย’ จึงหยุดพูดคุยก่อนจะเดินเข้าไปในสถานี นายทหารซึ่งสวมผ้าคลุมปักตราจักรวรรดิพาพวกเขาเข้าใบในห้องขนาดเล็กด้วยข้างประตู เขาคือเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการตรวจคนเข้าเมืองและเก็บภาษีนั่นเอง
“จะเข้าเมืองเหรอครับ?”
“อืม”
“ค่ะ”
เมื่อเห็นทั้งคู่ตอบรับ เจ้าหน้าที่จึงเอาเอกสารออกมา ‘ซุยเมย์’ คุ้นเคยกับเหตุการณ์เช่นนี้ดี เพราะตอนที่ออกจากเมเทอร์หรือตอนที่เข้าไปในคูรันด์ก็ต้องทำแบบนี้เหมือนกัน
“เอ่อ กรุณาเขียนชื่อตรงนี้นะครับ เราจะได้เอาไปออกบัตรประจำตัวให้…..โอ้ ขอโทษนะครับ คุณเขียนหนังสือได้ใช่มั้ย?”
เจ้าหน้าที่มองไปที่ ‘เลฟิลเลีย’ ก่อนจะถาม ‘ซุยเมย์’ อย่างกระสับกระส่าย
“ได้สิ”
“ไม่มีปัญหาค่ะ”
“ดีครับ กรอกเอกสารตรงนี้นะครับ จากนั้นก็ชำระภาษีเข้าเมือง แค่นี้ก็เรียบร้อย”
เจ้าหน้าที่หนุ่มยิ้มให้อย่างสุภาพ…..ยิ้มให้เลฟิลเลียอย่างสุภาพ อืม โลลิค่อนสินะ ‘ซุยเมย์’ หรี่ตามองอย่างไม่สบอารมณ์
“เอาล่ะ สาวน้อย เธอต้องเขียนแบบนี้ ตรงนี้นะ ไม่ ไม่ใช่แบบนั้น แบบนี้ต่างหาก”
เจ้าหน้าที่เริ่มลามมาจับมือ จับไหล่และแผ่ความรู้สึกบางอย่างออกมา
“อ่า คุณเจ้าหน้าที่ค่ะ ฉันทำเองได้นะ”
“อ่า ฮ่าๆๆๆ ขอโทษด้วยนะสาวน้อย”
“ไม่ใช่นะ ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะค่ะ!”
เมื่อถูกเรียกเป็นเด็ก ‘เลฟิลเลีย’ ร้องโวยวายขึ้นมาทันที เหมือนกับตอนที่ซื้อของในคูรันด์ เธอเริ่มจะร้องออกมาเมื่อถูกกล่าวหาว่าเป็นเด็ก อืมนี่ฉันควรจะทำอะไรสักอย่างหรือปล่อยให้มันผ่านไปเฉยๆดีละเนี่ย
“….. ‘ซุยเมย์คุง’ ! พูดอะไรสักอย่างสิค่ะ”
“ให้พูดอะไรล่ะ?”
“นั่นมันก็……”
แล้วฉันควรจะทำอะไรล่ะ? ก็ในตอนนี้ ‘เลฟิลเลีย’ เป็นเด็กจริงๆนี่นา จากนั้นเขาก็ได้ยิ้นเสียงหัวเราะ เจ้าหน้าที่คนนั้นนั่นเอง ที่กำลังหัวเราะพวกเขาอยู่
“คุณคงลำบากน่าดูเลยนะครับ”
“ไม่ใช่แบบนั้นนะ…..”
เมื่อเห็น ‘ซุยเมย์’ ไม่ยอมพูดอะไรสักอย่าง ‘เลฟิลเลีย’ จึงเข้ามาเกาะแขนชายหนุ่มด้วยมือทั้งสองข้างก่อนจะจ้องมาเข้าด้วยดวงตาที่มีน้ำตาคลอ
“ ‘ซุยเมย์คุง’ ! ทำไมคุณถึงไม่ยอมพูดล่ะ”
“อืม….ก็ผมไม่รู้จะพูดอะไรดีนี่”
ในสถานการณ์แบบนี้เขาจะพูดอะไรได้ เขาอยากจะบอกแบบนั้น เมื่อเห็นว่าซุยเมย์ไม่ได้ตอบรับอะไร เจ้าหน้าที่หนุ่มจึงหันมายิ้มให้ ‘เลฟิลเลีย’
“ไปกดดันแบบนั้น พี่ชายคุณจะลำบากใจเอานา”
“อะเอ๋…ซุยเมย์คุงฉันทำให้ลำบากใจรึเปล่าคะ”
เด็กสาวเอ่ยถามอย่างกล้าๆกลัวๆ
“ไม่นี่….ผมไม่ได้รู้สึกลำบากอะไรหรอก”
แม้ว่าตั้งแต่ที่ ‘เลฟิลเลีย’ กลายเป็นเด็กไป เข้าจะต้องคอยทำทุกอย่างแทนเธอ แม้แต่แลกดาบอันบักเอกของเธอให้ แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกลำบากอะไร เมื่อได้ยินดังนั้น ‘เลฟิลเลีย’ ยิ้มให้ชายหนุ่มอย่างสดใส
“ผมเข้าใจคุณนะ ผมเองก็มีน้องสาวที่อายุห่างกันมากๆคนหนึ่งอยู่เหมือนกัน”
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเอ่ยกับเขาอย่างเข้าใจ รอยยิ้มของ ‘เลฟิลเลีย’ ทำให้ทั่วทั้งห้องอบอวนไปด้วยบรรยากาศผ่อนคลาย
“……. ‘เลฟิลเลีย’ ถ้าเข้าใจแล้วก็รีบๆกรอกเอกสารเถอะ จะได้ออกไปจากที่นี่สักที”
หลังจากที่เขาพูดออกไป ‘เลฟิลเลีย’ ก็กลับมาสงบอีกครั้ง แต่ว่า…..
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว”
“หือ?”
ขณะที่นั่งอยู่บนโต๊ะ จู่ๆ ‘เลฟิลเลีย’ ตะโกนขึ้นมา แม้ว่า ‘ซุยเมย์’ จะพยายามถาม แต่เด็กสาวก็ไม่ยอมตอบ เธอตั้งท่าราวกับกำลังต่อสู้กับศัตรูที่ไม่มีตัวตน
“นี่!”
“……..?”
“วันนี้อาจจะยังไม่ได้! แต่ฉันไม่ยอมแพ้หรอกนะคะ มันคือความภาคภูมิใจของฉันยังไงก็ไม่มีทางละทิ้งมันเด็ดขาด!”
‘เลฟิลเลีย’ กล่าวออกมาอย่างมุ่งมั่น ก่อนที่เขาจะทันคิดอะไร เด็กสาวก็ก้มหน้าลงอย่างสิ้นหวัง
“เขียนไม่ถึงอ่ะ….”
‘เลฟิลเลีย’ กล่าวด้วยน้ำเสียงราวกับจะร้องไห้ จริงสินะ แม้ความสูงของโต๊ะจะไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาแต่ กับหญิงสาวที่ตอนนี้ตัวเล็กลงไปมากมันไม่แปลกอะไรที่จะเป็นปัญหาสำหรับเธอ แต่แล้วชายหนุ่มตรงหน้าเธอก็…..
“ใช้เก้าอี้ของผมแทนไปก่อนก็ได้นะครับ”
เขากล่าวก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ออกมาตรงหน้าเอ
“ฮึก…..”
เจ้าหน้าที่หนุ่มแผ่บรรยากาศบางอย่างออกมาอีกครั้ง แต่ว่า…..
“ฮึก….”
‘เลฟิลเลีย’ มองเปรียบเทียบระหว่างโต๊ะกับเก้าอี้อย่างหดหู่ เธอยืนมองอยู่นานก่อนก่อนจะเริ่มลงมือกรอกข้อมูล ผมหางม้าของเธอแกว่งไปมาอย่างโศกเศร้า แม้จะไม่ยอมรับ แต่เธอตัวเล็กมากจริงๆ
‘ซุยเมย์’ ตบไหล่อย่างปลอบโยน ก่อนจะวางปากกาขนนกลงบนกระดาษให้อย่างระมัดระวัง ระหว่างที่กำลังกรอกข้อมูลอยู่นั้น ก็มีเด็กสาวคนหนึ่งเปิดประตูห้องเข้ามา เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองหันไปมองอย่างสงสัย ก่อนจะทักทายออกมา
“ร้อยตรีแซนดาร์ค!”
ร้อยตรีงั้นเหรอ? เด็กสาวคนที่ว่ามีผมสีแดงอมม่วง สวมผ้าปิดตาข้างหนึ่ง ชุดทหารสไตร์โกธิคโลลิต้า เมื่อเห็นรูปลักษณ์ของเด็กสาวคนนี้แล้ว ‘ซุยเมย์’ อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
อีกหนึ่งชั่วโมงก็จะสอบแล้ว มาตรงมาตราอะไรจำไม่ได้เลยสักนิด ฮ่าๆๆ ผมอยากจะร้องไห้
ที่มา: