I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Isekai Mahou wa Okureteru! ตอนที่ 42 คำทำนายของเทพธิดา

| Isekai Mahou wa Okureteru! | 1256 | 2367 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

เมืองหลวงฟีรัส เฟเรีย เมืองหลวงของจักรวรรดิ เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยจักรวรรดิซึ่งมีห้องสมุดที่บรรจุหนังสือไว้เป็นจำนวนมาก อีกทั้งในมหาวิหารเฟรัส เฟเรียยังมีรูปปั้งเทพธิดาซึ่งถูกสร้างจากคริสตัลขนาดใหญ่อันเป็นผลมาจากความร่วมมือกันของจักรวรรดิเนลเฟเรียน

สาธารณรัฐซาเดียสและอาณาจักรแอสเทล อีกทั้งมหาวิทยาลัยเวทมนตร์ที่ใหญ่ที่สุดก็ตั้งอยู่ในเมืองนี้เช่นกัน บ้านส่วนใหญ่ของที่นี่จะถูกสร้างด้วยอิฐสีแดงไม่ก็ไม้สีเทา ส่วนบ้านขุนนางจะถูกก่อด้วยอิฐสีแดงทั้งหลัง ในเมืองนี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็จะพบสีแดงทอดยาวไปสุดลูกหูลูกตา

สีแดงที่ว่านั้น ถือเป็นตัวแทนของจักรพรรดินั่นเอง สีแดงในโลกของ ‘ซุยเมย์’ ส่วนใหญ่จะเป็นที่ยุโรป สีแดงคือสีของวิสุทธิชนที่ต้องหลั่งเลือด และยังเป็นสีของอัศวินและทหารอีกด้วย

ดูเหมือนว่าในโลกนี้ ในเมืองหลวงของประเทศทางการทหารจะใช้สีนี้เป็นสัญลักษณ์ น่าสนใจทีเดียว ในขณะที่คิดเช่นนั้นซุยเมย์ก็มองไปรอบๆ ดูเหมือนเมืองหลวงแห่งนี้จะเต็มไปด้วยอาคารขนาดใหญ่ แม้แต่กำแพงก็ยังมีขนาดใหญ่มากเช่นกัน น่าประทับใจ

‘ซุยเมย์’ คิด มันค่อนข้างจะแตกต่างจากที่เมเทอร์ เมืองหลวงของแอสเทล ทั้งๆที่ที่นี่มีคนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่โซนของที่อยู่อาศัยและร้านค้าก็ถูกแยกออกจากกันอย่าชัดเจน แม้แต่การประปาหรือการระบายน้ำเสียก็ถูกสร้างไว้อย่างเป็นระบบ แม้จะมีภูมิทัศน์ที่สวยงามและมองเห็นเด็กๆเล่นกันอย่างสนุกสนาน แต่ซุยเมย์ก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้

“ตอนนี้พวกเรอิจิจะเป็นยังไงบ้างนะ”

อดรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ เขาได้ยินเจ้าหน้าที่ที่สถานีตรวจคนเข้าเมือง และคนที่เดินทางมาจากแอสเทลพูกว่า  ‘เรอิจิ’ สามารถกำจัดขุนพลปีศาจและกองทัพปีศาจจำนวนมหาศาลไปได้ และขุนพลปีศาจที่ว่านั้นมีชื่อว่าราจัสนั่นเอง เพราะเขารู้ว่าความจริงเป็นยังไง เขาจึงค่อนข้างจะตกใจที่ได้ยินเรื่องนั้น  ‘เลฟิลเลีย’ มองหน้าชายหนุ่มอย่างกังวล

“ ‘ซุยเมย์คุง’  มันก็แค่ข่าวลือของพวกนักเดินทางเท่านั้นแหละค่ะ ยังไงมันก็ไม่ใช่ความจริงหรอก”

“มันก็จริง แต่ว่าถ้าหากผมตรวจดูให้แน่ชัดว่าราจัสตายไปแล้วจริงรึเปล่า  ‘เรอิจิ’ก็คงไม่ต้องยุ่งยากแบบนี้ ถ้าหากตอนนี้ผมตรวจดูผลของการระเบิดละก็…..”

เขาถอนหายใจอย่างเจ็บปวด แม้ว่าเขาจะไม่ใส่ห่วงเรื่องของ ‘เรอิจิ’ เท่าไหร่นัก แต่การที่ไม่สามารถกำจัดปีศาจได้ในการโจมตีในครั้งเดียวนี่ค่อนข้างจะทำร้ายจิตใจในฐานะผู้ใช้เวทของเขาเป็นอย่างมาก รสชาติของสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ยังคงขมปร่าอยู่ในปาก

“น่าผิดหวังจริงๆ ที่การระเบิดนั่นไม่สามารถกำจัดพวกนั้นได้”

“อย่าพูดอย่างนั้นสิค่ะ บางทีเพื่อนของคุณอาจจะไปเจอ ‘ราจัส’ ที่พลังหมดแล้วก็ได้ บางทีมันอาจจะไม่มีการต่อสู้เกิดขึ้น พวกเขาอาจแค่จะ…..”

เด็กสาวไม่กล้าพูดต่อ ว่าแค่จะอะไร

“เอาล่ะๆ งั้นผมก็จะพยายามไม่คิดมากแล้วกัน อืม…..”

“ดีแล้วค่ะ เมื่อคุณถอนให้ใจอย่างหดหู่ คนรอบตัวของคุณก็จะพลอยรู้สึกเศร้าไปด้วย”

“โอ้ งั้นเหรอ”

คำติเตียนของ ‘เลฟิลเลีย’ ทำให้ ‘ซุยเมย์’ รู้สึกดีขึ้น

“คำว่าถอนหายใจด้วยความหดหู่”

มีความหมายแบบเดียวกับคำว่า

“เมื่อถอนหายใจความสุขก็จะบินหนี”

โดยทางเทคนิคแล้วสองคำนี้มีความหมายเหมือนกัน คือถ้าไม่มีความสุขก็อย่าทำให้คนอื่นไม่มีความสุขไปด้วย ก็จริงอย่างที่เธอพูด คิดมากไปก็ใช้ว่าจะทำอะไรได้

“เข้าใจแล้วครับๆ เพราะงั้นเราหยุดพูดเรื่องนี้กันดีกว่านะ”

“เป็นความคิดที่ดีค่ะ”

เมื่อ ‘เลฟิลเลีย’ ยิ้มออกมา มันดูเหมือนกับว่าทั้งโลกสว่างไสว

“ ‘เลฟิลเลีย’  คุณบอกว่ามีที่ที่อยากไปอยู่นี่ มันคือที่ไหนเหรอ?”

“โบสถ์แห่งความรอดค่ะ”

“………..เอาจริง?”

จากการนำของ ‘เลฟิลเลีย’  ในที่สุดตอนนี้พวกเราก็มาถึงกำแพงเมืองชั้นใน อันเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญหลายแห่ง หนึ่งในนั้นคือโบสถ์แห่งความรอด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเหยียบย่างเข้ามายังสถานที่ทางศาสนาของโลกแห่งนี้

มันค่อนข้างจะน่าประทับใจทีเดียว ถนนปูด้วยอิฐ สองข้างทางเต็มไปด้วยฝูงชนและต้นไม้ มันร่มรื่นมากเลยทีเดียว ถ้าฟังดูดีๆจะได้ยินเสียงนกร้องด้วยล่ะ

หลังจากที่เราเดินผ่านพื้นที่สีเขียวนั้นมา ที่อยู่ตรงหน้านั้นคือตึกสีขาวขนาดใหญ่ บนเส้นทางที่ถูกปูไว้ มีเพียงแค่สองคนที่อยู่บนนั้น ในหน้าของ ‘ซุยเมย์’ บิดเบี้ยวเมื่อมองเห็นมัน

“นี่น่ะเหรอ……โบสถ์”

“ทำไมถึงทำหน้าแบบนั้นละคะ?”

“ไม่ ไม่มีอะไร แต่ว่าที่นี่มันดีจริงๆเหรอ?”

‘ซุยเมย์’ ผู้ไม่คุ้นเคยกับบรรยากาศการเข้าโบสถ์ ถาม ‘เลฟิลเลีย’ อย่างไม่แน่ใจ

“ดี ที่ว่านี่หมายถึงอะไรคะ?”

“หมายความว่าโบสถ์ใหญ่ขนาดนี้ ข้างในคนจะไม่เต็มเหรอ”

“วิหารฟีรัสเฟเรีย มันจะใหญ่เกินไปจริงๆนั่นแหละค่ะ จริงๆแล้วฉันเองก็ไม่อยากไปสักเท่าไหร่หรอก”

‘เลฟิลเลีย’ ขมวดคิ้ว ถ้าไม่อยากไป แล้วทำไมถึงต้องไปละ?

“ทำไมละ?”

“อ่า เพราะว่าที่นั้นมีพลังของเทพธิดาสถิตอยู่อย่างกล้าแข็งที่สุดค่ะ บางที ถ้าฉันไปที่นั่น ฉันอาจจะรู้เหตุผลที่กลายเป็นแบบนี้ก็ได้”

“อืม….? ผมคิดว่านั่นมันไม่ใช่ปัญหาใหญ่เท่าไหร่นะ”

ก่อนหน้านี้ที่เขาถามเรื่องราวเกี่ยวกับโลกใบนี้จากเธอ ทำให้เขาค่อนข้างเข้าใจเรื่องราวของจิตวิญญาณบนโลกใบนี้ จะกล่าวก็คืออาการของ ‘เลฟิลเลีย’ ตอนนี้มันไม่ได้หนักหนาอะไรนัก  ‘เลฟิลเลีย’ ขมวดคิ้วใส่เขา

“จิตวิญญาณสีแดงของฉัน มันเป็นของนักบุญผู้เป็นมือขวาของเทพธิดาในการต่อสู้กับประเจ้าแห่งความชั่วร้ายนะค่ะ ตามตำนานเล่าว่า……”

“พอแล้วครับ ผมเข้าใจแล้วๆ”

“เพราะแบบนั้นเราจึงต้องไปที่นั่นค่ะ หากเป็นโบสถ์แห่งความรอดที่ได้รับการอุปถัมภ์จากเทพธิดา พวกเขาจะต้องรู้อะไรบางอย่างแน่ๆ”

เมื่อเขาจินตนาการถึงสีที่จะเกิดขึ้น สีหน้าก็หมองคล้ำลงทันที สถานที่อย่างโบสถ์น่ะเหรอที่จะยอมตอบคำถามแต่โดยดี ดูท่า ‘เลฟิลเลีย’ จะคาดหวังมากเกินไปแล้วละมั้ง

“แน่ใจเหรอ?”

“มันไม่ใช่เรื่องตลกนะค่ะ ในทุกๆวันเราจะต้องไปนมัสการ ไม่ว่าจะทุกข์ เสียใจ เศร้า หรือสับสน เทพธิดาสามารถช่วยเราได้”

“อ่า ครับๆ เข้าใจแล้วครับ”

หลังจากที่ผจญกับความโกรธของ ‘เลฟิลเลีย’  ‘ซุยเมย์’ ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก และเราก็มาถึงประตูของโบสถ์กันแล้ว มีชายคนหนึ่งเดินออกมาจากประตู เขามีผมสีดำแซมขาว ดูไม่ค่อยแข็งแรงนัก แต่ก็ไม่นับว่าผอมเพรียว

ทุกย่างก้าวดูเหมือนจะติดกับพื้นพอๆกับจะลอยไปกับลม เป็นการแสดงออกที่แปลกจริงๆ ชุดที่เขาใส่ดูเหมือนจะพลิ้วไหวไปกับสายลม ระหว่างที่เดินสวนกับ ‘เลฟิลเลีย’ และ ‘ซุยเมย์’  เขาก็หันมาพยักหน้าให้เบาๆ และเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว  ‘เลฟิลเลีย’ มองตามหลังชายคนนั้นไปอย่างพิจารณา

“ ‘ซุยเมย์คุง’  ผู้ชายคนนั้น”

“ทำไมเหรอ”

“ฉันคิดว่าเขาแปลกๆค่ะ”

สัมผัสที่ชายคนนั้นแผ่ออกมา คล้ายกับบางอย่างที่เขาคุ้นเคย เมื่อพิจารณาจากมุมมองของ ‘เลฟิลเลีย’ แล้ว

“คุณคิดว่าเขารู้เรื่องเกี่ยวกับดาบนี่งั้นเหรอ?”

“ใช่แล้วค่ะ แต่ว่าทำไมคุณถึงเดาเรื่องนี้ได้ล่ะคะ?”

‘เลฟิลเลีย’ กล่าวอย่างชื่นชม  ‘ซุยเมย์’ อธิบายต่อ

“ผมไม่ค่อยแน่ใจหรอกนะว่าเกี่ยวกับดาบรึเปล่า แต่ถ้ามีอะไรเปล่งพลังออกมามาในบรรดาของที่เราสองคนพกมา มันดูเหมือนจะเป็นคำอธิบายที่ดีที่สุดแล้ว อีกอย่างผู้ชายที่แต่งตัวประหลาดนั้นดูท่าจะแข็งแกร่งใช่ย่อย ที่ผมสงสัยก็คือทำไมเขาถึงมาอยู่แถวนี้”

“ใช่ค่ะ….เอ”

อย่างน้อยก็วางใจได้อย่างหนึ่งละ เพราะพลังวิญญาณนั้นไม่ใช่ของปกติ มันยากที่จะมีใครรับรู้ตัวตนของ ‘เลฟิลเลีย’ ได้ เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดในสถานีก่อนหน้านี้

“เด็กผู้หญิงที่ชื่อลิเลียน่านั่น….”

ชื่อของเด็กผู้หญิงคนนั้นคือ  ‘ลิเลียน่า แซนดาร์ค’  ทั้งๆที่ไม่มีเตาปฏิกรณ์แท้ๆ แต่กลับมามารถใช้เวทมายาได้ นับว่าไม่ธรรมดา

“ ‘ลิเลียน่า แซนดาร์ค’  เคยมีประวัติในการต่อสู้กับรัฐทางใต้หลายครั้งค่ะ และดูเหมือนภารกิจจะสำเร็จทุกครั้ง มีฉายาว่า อาวุธมนุษย์ของจักรวรรดิ”

“เป็นฉายาที่ฟังดูอันตรายนะ”

“แม้จะทำภารกิจได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่เพราะอารมณ์ที่แปรปรวนทำให้ได้ฉายานั้นมาค่ะ”

อืม จากที่เห็นในสถานีตรวจคนเข้าเมืองก็พอจะเข้าใจได้อยู่ว่า ‘ลิเลียน่า’ มีอารมณ์ที่แปรปรวนแค่ไหน

“ถ้าคุณไม่ได้อธิฐานอะไรก็นั่งนิ่งๆไว้นะค่ะ”

ทันทีที่ ‘เลฟิลเลีย’ เปิดประตูวิหารออก พวกเขาก็รีบก้าวเข้าไปในประตูสีขาวบริสุทธิ์นั้น และที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาคือรูปปั้นสีขาวขนาดใหญ่

อืม….นี่นะเหรอเทพธิดา ‘อาร์ชูน่า’  ที่คนในโลกนี้นับถือกัน  ‘ซุยเมย์’ คิดพลางมองขึ้นไปยังเพดาน โบสถ์แห่งความรอดแตกต่างจากโบสถ์ในโลกของเขา ที่นิยมตกแต่งด้วยกระจกสี

แต่ที่นี่กลับไม่มีอะไรแบบนั้นเลย บนเพดานนั้นเป็นช่องหน้าต่างสำหรับให้แสงส่องเรียงกันอยู่เป็นชั้นๆ แสงไฟที่เกิดจากเวทมนตร์ส่องสว่างไปทั่วทั้งห้อง ทั้งโบสถ์ดูเหมือนะแน่นขนัด มีทั้งชายหนุ่มที่ท่าทางร่ำรวย หญิงชราและอ่อนวัยกว่า ชายสูงอายุที่แต่งตัวเรียบร้อย ทั้งหมดกำลังประคองมืออยู่บริเวณอก สมกับเป็นวิหารดีแท้

“สวัสดีค่ะ”

ระหว่างที่กำลังนึกเปรียบเทียบกับโบสถ์ในโลกของเขาอยู่ ก็มีเสียงหญิงสาวคนหนึ่งทักมาจากด้านข้าง

“อ่า…..สวัสดีครับ?”

หลังจากที่ตอบรับคำทักทาย  ‘ซุยเมย์’ ก็อดประหลายใจไม่ได้เมื่อ หญิงสาวที่ทักเขานั้น……มีหูอยู่บนหัว

“เอ๊ะ…..?”

“อะไรเหรอคะ?”

‘ซุยเมย์’ ไม่อาจระงับความประหลาดใจนี้เอาไว้ได้ เขาถามออกไปอย่างกล้าๆกลัวๆ

“เอ่อ นั่นหูของคุณเหรอ?”

“แน่นอนค่ะ หูของฉันเอง”

“อ่า….ขอโทษด้วยครับ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเจอคนที่มีหูเหมือนสัตว์”

“อ่า…..”

มนุษย์สัตว์ เป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์ที่อาศัยอยู่กันอย่างหลากหลายภายใต้การปกตรองของจักรวรรดิ ที่เรียกว่ามนุษย์สัตว์เพราะเธอเกิดมาด้วยพร้อมกับลักษณ์ของสัตว์ร้าย ซึ่งแตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป

การปรากฏตัวของมนุษย์สัตว์นั้นไม่น่าแปลกอะไร แม้แต่โบสถ์แห่งความรอดนั้นก็ให้การยอมรับเผ่าพันธุ์นี้เป็นอย่างดี เด็กสาวคนหนึ่งซึ่งดูท่าว่าน่าจะเป็นน้องสาวโผล่หน้าออกมา หูแมวบนศีรษะของเธอไหวระริก ทั้งสองมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยน อืม ก็ไม่เลวแฮะ  ‘ซุยเมย์’ ขอโทษเด็กสาวด้วยน้ำเสียงสุภาพ

“ขอโทษด้วยนะ ฉันค่อนข้างจะประหลาดใจกับ เอ่อ…..หูน่ะ”

“ไม่เป็นไรค่ะ คนที่ไม่เคยเห็นมนุษย์สัตว์ก็มันจะแปลกใจแบบนี้กันทั้งนั้น”

เด็กสาวหัวเราะคิกคัก หญิงสาวที่อายุมากกว่าทำหน้าลำบากใจ เด็กสาวคนนั้นเอานิ้วชี้จิ้มไปที่แก้มและลูกหูของตัวเอง

“คุณไม่อธิฐานเหรอคะ?”

“อ่อ ไม่หรอก ผมแค่มาเป็นเพื่อนเธอเท่านั้น”

สองพี่น้องมองไปยัง ‘เลฟิลเลีย’ ที่กำลังคุกเข่าอธิฐานอยู่

“โอ้ คนรักของคุณดูเด็กมากเลยนะค่ะ”

“เอ่อ…..”

“แต่ว่าจักรวรรดิไม่สนับสนุนความรักระหว่างพ่อกับลูกสาวนะคะ”

“ไม่ ไม่ใช่นะ คุณเข้าใจผิดแล้ว”

“คิกๆๆ ฉันล้อเล่นค่ะ”

สองพี่น้องหัวเราะคิกคัก โดยที่เขารู้สึกเหมือนมีอะไรมาถ่วงที่บ่าทั้งสองข้าง จากนั้นเธอก็หันไปพูดกับ ‘เลฟิลเลีย’ ที่นิ่งเงียบอยู่

“มาเพื่ออธิฐานเหรอค่ะ”

“…..ใช่ค่ะ มีคนบอกว่าการอธิฐานในโบสถ์นี้จะทำให้ความปรารถนาเป็นจริงได้ ฉันก็เลย…..”

“ถ้าอยากให้คำอธิฐานมีผลมาขึ้น คุณต้องไปอธิฐานตรงหน้ารูปปั้นนะคะ”

“ฮ่าๆๆ อย่าพูดอะไรที่เป็นไปไม่ได้สิค่ะ”

“…..?”

‘ซุยเมย์’ มองทั้งคู่ด้วยความสงสัย น่าเสียดายที่เลฟิลเลียไม่ยอมอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนั้นให้ฟัง  ‘ซุยเมย์’ จึงละความสนใจจากบทสนทนาของ ‘เลฟิลเลีย’ และสาวหูสัตว์คนนั้นไปมองยังแท่นพิธีกรรม ที่ดูเหมือนบาทหลวงจะทำพิธีเสร็จแล้ว แต่ทุกคนก็ยังคงเฝ้ามองอย่างใจจดใจจ่อ เขาจึงลองถามเด็กสาวหูสัตว์ดู

“ทุกคนกำลังรออะไรกันอยู่น่ะ”

“มันเป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ของเทพธิดาน่ะค่ะ หลังจากเสร็จการนมัสการแล้วหัวหน้าบาทหลวงจะเปิดเผยคำทำนายของเทพธิดา แต่บางครั้งอาจจะไม่มีก็ได้”

“โอ้…… “

จู่ๆเขาก็นึกถึงพ่อขึ้นมาซะอย่างนั้น ถ้าพ่อยังอยู่ เขาจะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่ายังไงนะ มันจะเป็นแค่การทำนายอนาคตโดยใช้มานา หรือว่ามันจะเป็นคำพูดที่สื่อสารมาจากเทพธิดา บางที่พ่ออาจจะบอกว่า มันเป็นคำพูดที่สื่อสารมาจากเทพธิดาละมั้ง  ‘ซุยเมย์’ มองอย่างสงสัย ก่อนจะเอ่ยถามกับสาวหูสัตว์คนพี่

“การทำนายนี่มีทุกโบสถ์รึเปล่าครับ”

“เอ๋ ไม่นะค่ะ ฉันเคยได้ยินมาว่ามีแค่ในโบสถ์แห่งความรอดเท่านั้น”

“พอดีที่หมู่บ้านของผมเราไม่รู้จักเทพธิดาน่ะครับ ผมเลยไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนี้เท่าไหร่”

คำพูดที่น่าแปลกใจนั้นทำให้เด็กสาวหูสัตว์ยิ้มให้เขา เป็นรอยยิ้มที่ชวนให้รู้สึกจิตใจสงบดีจริงๆ

“ถ้าอย่างนั้น”

“อะไรครับ?”

“คุณมาที่ฟีรัส เฟเรียทำไมคะ?”

“หืม?”

“อย่างแรก ผมมาดูเผ่ามนุษย์สัตว์”

“เอ๋?”

ท่าทางตกใจของเด็กสาวตัวน้อย ทำให้ ‘ซุยเมย์’ รู้สึกผิดที่พูดอะไรไม่คิดออกมา เขาจึงกล่าวต่อเสียงอ่อย

“ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะ……”

‘ซุยเมย์’ ยิ้มอย่างขมขื่น

“ถ้าอย่างนั้นแบบไหนคะ?”

“…..ก็ประมาณว่าหาข้อมูลเพิ่มเติม”

“เอ๋?”

“ถ้าพูดถึงข้อมูล ฉันมีอยู่ค่ะ”

“อะไรเหรอครับ?”

“มีสองถึงสามเรื่อง แต่ไม่รู้ว่าควรจะพูดดีหรือเปล่า”

“ดีหรือไม่ดี คนฟังจะเป็นคนตัดสินเอง เพราะงั้นพูดมาเถอะ”

เมื่อ ‘ซุยเมย์’ พูดแบบนั้น เด็กสาวก็พยักหน้าเห็นด้วย

“มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่คืนก่อนค่ะ กลางเมืองหลวงแห่งนี้มีบางอย่างที่ไม่ดีเกิดขึ้น”

“เรื่องอะไรครับ”

“ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา มีคนที่ถูกทำร้ายในเวลากลางคืนเป็นจำนวนมาก เรื่องนั้นทำให้คนในเมืองหลวงค่อนข้างวิตกกันมากเลยค่ะ”

“ถูกทำร้ายในเวลากลางคืนนี่ ฝีมือใครครับ?”

“ไม่มีใครรู้เรื่องนั้นหรอกค่ะ แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นการโจมตีจากเวทมนตร์ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะต้องเป็นอาชญากรรมแน่ๆ”

“แล้วทางการทำยังไงกับเรื่องนั้นบ้างครับ?”

“ทางการก็ทำอะไรไม่ได้ค่ะ ไม่มีเบาะแสอะไรเลย นอกจากเรื่องที่มันเป็นอาชญากรรมที่เกิดจากเวทมนตร์ ทำให้ตอนนี้ยังจับตัวคนผิดไม่ได้……”

ใบหน้าที่เคยอ่อนโยนของเธอแสดงอาการหวาดกลัว อืม

“มีอะไรอีกรึเปล่า”

“ได้ยินมาว่าโบสถ์แห่งความรอดเองก็กำลังคิดหาวิธีแก้อยู่”

เมื่อได้ยินพี่สาวพูดแบบนั้น ใบหูของเด็กสาวก็กระตุกสั่นด้วยความหวาดกลัว  ‘ซุยเมย์’ ข่มใจที่จะไม่ให้ตัวเองเอื้อมมือไปสัมผัสในหูเหล่านั้น โชคดีที่คนเป็นพี่สาวกระซิบบางอย่างกับเขาก่อน

“เพราะแบบนั้นจึงมีการอัญเชิญผู้กล้าเกิดขึ้นค่ะ”

“ผู้กล้างั้นเหรอ?”

“ใช่ค่ะ ตอนนี้ผู้กล้าคนที่ว่าก็อยู่ในฟีรัส เฟเรียนี่เอง”

“จริงเหรอ?”

“ใช่ค่ะ แม้จะยังไม่มีใครรู้มากนัก แต่คิดว่าอีกสักพักจักรวรรดิและโบสถ์แห่งความรอดคงประกาศเรื่องนี้ออกมา”

น่าสนใจ ดูเหมือนว่าในโลกนี้จะไม่ได้มีผู้กล้าแค่ ‘เรอิจิ’ สินะ เจ้าผู้กล้าคนที่ว่านี่จะเป็นคนแบบไหนกันนะ

“ได้ยินมาว่าสาธารณรัฐซาเดียสก็อัญเชิญผู้กล้ามาเหมือนกันใช่มั้ย?”

“ได้ยินว่ามีถึงสี่คนเลยนะ”

“รู้สึกว่าผู้กล้าของสาธารณรัฐซาเดียสจะเป็นนักดาบสาวสวยด้วยล่ะค่ะ สาธารณะรัฐเรียกพวกเธอว่ากลุ่มนักดาบสาว”

อืม ผู้กล้าที่เป็นผู้หญิงงั้นเหรอ จะเป็นคนยังไงกันนะ

“พวกเขาแข็งแกร่งรึเปล่า?”

“คุณหมายความว่ายังไงคะ?”

เพราะเธอไม่ได้ยินเสียงของ ‘ซุยเมย์’  ทำให้หญิงสาวขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น ทำให้ตอนนี้หน้าอกกลมกลึงทั้งสองนั้นปรากฏขึ้นต่อหน้าของ ‘ซุยเมย์’ อย่างชัดเจน

“ผมหมายถึงว่า เราจะสามารถจัดการกับราชาปีศาจและกองทัพปีศาจได้เร็วขึ้นไม่ใช่เหรอ?”

“ข่าวดี”

‘ซุยเมย์’ หันไปมองทางคณะบาทหลวงเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น ‘เลฟิลเลีย’ ที่ดูเหมือนจะได้รับคำทำนายอะไรบางอย่างก็กรีดร้องขึ้น

“ไม่ ไม่นะ ไม่จริงใช่มั้ย?”

‘เลฟิลเลีย’ มองหน้าเขาอย่างตื่นตระหนก ดูเหมือนเทพธิดาจะเปิดเผยเรื่องราวที่น่าตกใจให้กับเธอ เขาเข้าไปทับตัวเธอไว้อย่างเคร่งขรึม

“นั่น!”

เสียงกรีดร้องของ ‘เลฟิลเลีย’ ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเรื่องไม่ดี เด็กสาวหันมาทาง ‘ซุยเมย์’

“ ‘ซุยเมย์คุง’  คุณยังอยู่สินะ?”

“เกิดอะไรขึ้น ‘เลฟิลเลีย’ ?”

“ทำไมกัน ทำไมฉันถึงทำแบบนั้น! ทำไม!”

“ ‘เลฟิลเลีย’  สงบใจไว้ ค่อยๆพูดก็ได้”

‘เลฟิลเลีย’ ร้องไห้สะอึกสะอื้น

“คำพยากรณ์ค่ะ! ฉันได้รับคำพยากรณ์!”

“อีกแล้วเหรอ?”

เทพธิดาสนใจอะไรเธอเป็นพิเศษรึเปล่า ทำไมถึงเป็นเธออีกแล้วล่ะ?

ที่มา:

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments