I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Isekai Mahou wa Okureteru! ตอนที่ 44 คำเชื้อเชิญของฮาเดียส

| Isekai Mahou wa Okureteru! | 1239 | 2357 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

คูรันด์ เมืองที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแหล่งน้ำใต้ดินจากภูเขาทางทิศเหนือของอาณาจักรแอสเทล เมื่อไม่ร้อยกว่าปีที่แล้วมันเคยเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยสงคราม จนกระทั้งทางหลวงตัดผ่าน

ด้วยความที่อยู่ระหว่างกลางแอสเทลและจักรวรรดิ เมืองนี้จึงเจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างก้าวกระโดด หากไม่นับเมืองหลวงเมเทอร์แล้ว ประชาชนในเมืองนี้นับว่าอยู่ดีกินดีเป็นอันดับต้นๆของอาณาจักรเลยทีเดียว

ยิ่งเมื่อเร็วๆนี้มีการค้นพบวัสดุที่ใช้ป้องกันเวทมนตร์ได้อีก เมืองนี้ยิ่งแข็งแกร่งเข้าไปอีก ต้องเรียกว่าสมกับที่เป็นปราการป้องกันชายแดนของแอสเทล ตอนนี้ ‘เรอิจิ’ ได้อยู่ในเมืองแห่งการค้าและป้อมปราการแห่งนี้ หลังจากที่เอาชนะ ‘ราจัส’ ได้แล้ว พวกเข้าได้รับเชิญจาก ‘ฮาเดียส’ ให้เข้ามาในเมืองพร้อมกับขบวนแห่ ที่ป่าวประกาศความสำเร็จจอมปลอมที่ ‘เรอิจิ’ มีชัยต่อกองทัพปีศาจ

หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายนั้นไม่กี่วัน ตอนนี้พวกเขากำลังพักอยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่งในคูรันด์ ในฐานะของเจ้าหญิงและผู้กล้า ตามปกติแล้วพวกเขาควรจะได้พำนักอยู่ที่ปราสาทของเมือง แต่ ‘ไทเทเนีย’ ยืนกรานว่าพวกเขาจะเข้าพักในโรงแรม แม้ว่า ‘ฮาเดียส’ จะแสดงออกถึงท่าทางของการเป็นมิตรแต่ ‘ไทเทเนีย’ ก็ยังคงรู้สึกไม่ไว้วางใจสักเท่าไหร่ ในโรงแรมอันเงียบสงบนี้  ‘เรอิจิ’   ‘มิซึกิ’ และ ‘ไทเทเนีย’ กำลังล้อมวงปรึกษากันอยู่

หลังจากเทน้ำลงในแก้วให้กำทุกคน  ‘มิซึกิ’ ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน

“ขบวนแห่น่าทึ่งนะว่ามั้ย?”

“ใหญ่กว่าที่เมเทอร์อีกนะนั่น”

‘เรอิจิ’ เห็นด้วยกับ ‘มิซึกิ’  ขบวนแห่ที่ ‘เรอิจิ’ ได้รับชัยชนะเหนือกองทัพปีศาจเมื่อสามวันก่อนนั้นใหญ่กว่าที่เมเทอร์เป็นเท่าตัว  ‘มิซึกิ’ ถอนหายใจอีกครั้ง

“จัดขบวนแห่ได้ใหญ่ขนาดนั้น คูรันด์นี่ร่ำรวยขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“ ‘ดยุคฮาเดียส’ เป็นขุนนางที่มีอิทธิพลกว้างขวางมากค่ะ ทั้งอำนาจทางพลเรือนและการทหารล้วนแต่อยู่ในมือของเขา อีกทั้งเขาเองยังเป็นเชื้อพระวงศ์ของแอสเทลอีก”

‘มิซึกิ’ ทำหน้าซับซ้อนขณะมอง ‘ไทเทเนีย’ ที่หันหน้าไปทางหน้าต่าง เพราะ ‘ฮาเดียส’ มีอำนาจมากทั้งในเมืองหลวงและหัวเมืองต่างๆสินะ เขาถึงได้กล้าวางอำนาจขนาดนั้น ที่จัดขบวนแห่เพื่อป่าวประกาศชัยชนะเหนือกองทัพของขุนพลปีศาจก็เป็นการเสริมบารมีให้เข้มแข็งยิ่งขึ้นสินะ

“แต่ว่านั่นมันไม่ใช่ผลงานของผมเลยนะ”

การกำจัดราจัสได้นั้นทำให้เขาได้รับความวางใจอย่างล้นหลาม

“อ่า….ขอโทษด้วยนะค่ะที่ประเทศของเราใช้ชื่อเสียงของ ‘เรอิจิซามะ’ เพื่อหาประโยชน์แบบนี้”

“ผมรู้”

เขาเข้าใจดีว่าที่ฮาเดียสทำแบบนี้ก็เพื่อเรียกขวัญกำลังใจของประชาชนที่กำลังหวาดกลัวในพลังของปีศาจ ก็อย่างที่ไทเทเนียพูดนั่นแหละ อีกอย่างขบวนแห่นี้ยังทำให้ทุกคนรู้จัก ‘เรอิจิ’ อีกด้วย แต่เขาก็ยังคงไม่สบายใจที่ไปแย่งผลงานของคนอื่นมาเป็นของตัวเองอยู่ดี ‘มิซึกิ’ พูดขึ้นบ้าง

“แต่ว่าการแอบอ้างชื่อเสียงของคนอื่นมานี่ แม้จะเป็นขุนนางก็เถอะ แต่ว่ามันจะไม่เป็นอะไรจริงๆเหรอ?”

“แน่นอนว่าต่อให้เป็น ‘ฮาเดียส’ ก็เถอะ ยังไงก็ต่อกรกับประเทศที่ทรงอำนาจอย่างจักรวรรดิไม่ได้หรอก เพราะแบบนั้นเลยต้องใช้จุดอ่อนที่องค์หญิงกราเซียเข้ามาในแอสเทลอย่างพลการยังไงล่ะ”

ไม่ว่า ‘ไทเทเนีย’ จะเตือนหรือไม่ก็ตาม แต่สัญชาตญาณของเขาบอกว่ามันไม่ได้แข็งแกร่งอะไรขนาดนั้นหรอก ระหว่างที่คิดแบบนั้น ‘เรอิจิ’ ก็ถามขึ้นว่า

“นี่ ‘เทียร์’  คุณคิดยังไงกับการใช้ ‘ซุยเมย์’ เป็นเหยื่อล่อ? คุณคิดยังไงกับการเสียสละ ‘ซุยเมย์’ ที่เป็นเพื่อนของคุณเพื่อแลกกับ…..ประชาชนของแอสเทล”

“ฉันก็ค่อนข้างจะลำบากใจนะค่ะ แต่ถ้าพูดถึงความเสียหายที่กองทัพปีศาจจะทำต่อประชาชนแล้ว มันก็ถือว่าเป็นวิธีการที่…….”

‘ไทเทเนีย’ กล่าวพลางก้มหน้า  ‘เรอิจิ’ และ ‘มิซึกิ’ อุทานอย่างคาดไม่ถึง สีหน้าของพวกเขาแสดงถึงความสับสน  ‘ไทเทเนีย’ รีบพูดต่อทันที

“ขอโทษด้วยนะ  ‘เรอิจิซามะ’  ‘มิซึกิ’  แต่ว่าฉันเองก็คิดว่ามันเป็นการที่ไม่เลวนัก”

“ไม่จำเป็นหรอก จากตำแหน่งของ ‘เทียร์’ ก็ไม่แปลกอะไรที่จะคิดอย่างนั้น ใช่มั้ย ‘มิซึกิ’ ….”

“…..อืม”

แม้ว่าจะรับคำแต่มิซึกิก็ยังคงทำหน้าไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี อีกทั้ง ‘ซุยเมย์’ กับเธอก็เป็นเพื่อนกันแค่ผิวเผินเท่านั้น มันก็ไม่แปลกอะไรที่เธอจะไม่เป็นห่วงเขามากนัก

“ตอนนี้เรายังหา ‘ซุยเมย์คุง’ ไม่เจอเลยนะ”

“ไม่ต้องห่วงไปหรอก ฉันเชื่อว่า ‘ซุยเมย์’ จะไม่เป็นอะไร”

“ทำไมถึงมั่นใจแบบนั้นล่ะ?”

“ฉันแน่ใจ อีกอย่างจำที่อาจารย์บอกไว้ไม่ได้เหรอ?”

เธอนึกถึงคำพูดที่ ‘เฟลเมเนีย’ พูดกับ ‘เรอิจิ’  ไม่ต้องห่วง  ‘ซุยเมย์โดโนะ’ น่ะไม่มีวันเป็นอะไรหรอก ก่อนจะจากไปเธอพูดกับพวกเขาไว้แบบนั้น ดูเธอมั่นใจแบบนั้นจริงๆไม่ใช่แค่พูดเพื่อปลอบใจเท่านั้น

“ที่เปลวไฟสีขาวกล้าพูดแบบนั้น หรอว่าบางทีเธออาจจะรู้อะไรเกี่ยวกับ ‘ซุยเมย์ซามะ’ ?”

“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ?”

“คงเพราะว่า….เปลวไฟสีขาวเป็นจอมเวทอัจฉริยะที่สามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้ล่ะมั้งค่ะ”

“อา……”

จากคำพูดของ ‘ไทเทเนีย’  ทำให้มิซึกินึกถึง ‘เฟลเมเนีย’  แต่แล้ว ‘เรอิจิ’ ก็ตบมือ หลังจากนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เสียงของคนที่เคาะคือ ‘รอฟเฟรย์’ นั่นเอง

“ขอโทษนะครับ เรอิจิซามะอยู่ที่นี่หรือเปล่า?”

“เข้ามาสิรอฟเฟรย์”

“รบกวนด้วยนะครับ….อะ องค์หญิงไทเทเนีย ขออภัยขอรับ!”

หลังจากที่เปิดประตูเข้ามา  ‘รอฟเฟรย์’ ถึงกับตกใจสุดขีดที่เห็น ‘ไทเทเนีย’ อยู่ด้วยกันกับ ‘เรอิจิ’  ราวกันรู้ว่า ‘รอฟเฟรย์’ กำลังคิดอะไรอยู่  ‘ไทเทเนีย’ ถอนหายใจเล็กน้อย

“ ‘มิซึกิ’ ก็อยู่ด้วยนะ….”

“เอ๋? โอ้จริงๆด้วย”

สีหน้าของเขากลายเป็นว่างเปล่าไปทันที เกิดอะไรขึ้นน่ะ เขาถึงกับไม่ตอบสนองกับ ‘มิซึกิ’ ที่กำลังยิ้มให้เลย

“ ‘รอฟเฟรย์’  กำลังคิดอะไรอยู่น่ะ?”

“เปล่าครับ ไม่ได้คิดอะไรเลยครับ!”

“อืม ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ”

“โอ้ เอ่อ…….”

‘รอฟเฟรย์’ ตื่นตระหนกจนกระทั้งไม่ได้สังเกตเลยว่ามันเป็นการล้อเล่นเฉยๆ ด้วยความสงสาร  ‘เรอิจิ’ เลยยื่นมือเข้ามาช่วย หลังจากนั้น ‘มิซึกิ’ ก็สารภาพออกมาว่าแค่ล้อเล่นเฉยๆ

รอยยิ้มซุกซนนั้นทำให้ยากที่จะโกรธลง ทันใดนั้นเอง ‘รอฟเฟรย์’ ก็นึกขึ้นได้วง่ามีธุระมาแจ้ง เมื่อ ‘เรอิจิ’ ถามขึ้น

“มีอะไรงั้นเหรอ ‘รอฟเฟรย์’ ?”

“ครับผม  ‘ดยุคฮาเดียส’ อยากพบท่านผู้กล้าครับ”

‘เรอิจิ’ ที่ได้รับเชิญก็นั่งรถม้าที่ได้เตรียมไว้ที่หน้าโรงแรมไปที่ปราสาทดยุค เสียงดนตรีที่ดังลอดผ่านกำแพงมาพร้อมๆกับเสียงคุยกันแซด ทำให้ ‘เรอิจิ’ สูดหายใจเข้าอีกครั้งเพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดต่อจากนี้

ก่อนที่จะออกจากโรงแรมมา ‘ไทเทเนีย’ และ ‘มิซึกิ’ ได้เตือนเขาว่าอย่าไว้ใจในสิ่งที่ ‘ฮาเดียส’ พูดมากนัก  ‘เรอิจิ’ ส่ายหน้าอีกครั้ง ทั้งๆที่ห้องจัดเลี้ยงนั้นเต็มไปด้วยชนชั้นสูง แต่กลับไม่เชิญ ‘ไทเทเนีย’ มา ก็แสดงออกถึงความทะเยอทะยานของของ ‘ฮาเดียส’ ออกมาอย่างมหาศาลแล้ว

บางที่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ประเมินตัวตนของผู้ชายที่ชือ  ‘ลูคัส เดอ ฮาเดียส’   ‘เรอิจิ’ เอือมมือไปเคาะประตู เสียงของฮาเดียสตอบกลับมาสั้นๆ

“เข้ามาสิ”

‘เรอิจิ’ กล่าวขอโทษก่อนจะเปิดประตูเข้าไป พื้นที่ของห้องรับแขกก็ปรากฏขึ้นมาต่อหน้าเขา และที่นั่นหันหน้ามาทางประตูนั้นคือ ‘ฮาเดียส’ ที่นั่งตระหง่านอยู่บนโซฟา

“ทำไมไม่นั่งล่ะผู้กล้า?”

“ในประเทศของผม แขกจะนั่งได้ก็ต่อเมื่อเจ้าบ้านอนุญาตให้นั่งครับ”

‘ฮาเดียส’ ขมวดคิ้วเหมือนกับว่าประหลาดใจ

“….เป็นประเทศที่เต็มไปด้วยมารยาทและกฎระเบียบดีนะ  ดื่มนี่มั้ย?”

เขาชี้ไปบนโต๊ะที่มีขวดบรรจุของเหลวสีแดงเข้มอยู่

“ดื่มอะไรเหรอครับ?”

“ไวน์แดงน่ะ รสชาติไม่เลวทีเดียว”

ไม่เลวงั้นเหรอ? ยังไงก็ตาม….

“ขอปฏิเสธครับ”

“อะไรกัน ผู้กล้าไม่ดื่มงั้นเรอะ?”

“ในประเทศของผมมีกฎหมายควบคุมไม่ให้คนที่อายุไม่ถึงดื่มอยู่ ……เพราะงั้น ขอปฏิเสธครับ”

‘ฮาเดียส’ เงียบไปอึดใจ ก่อนจะถามขึ้น

“อะไรคือเหตุผลของกฎหมายข้อนี้”

“เพราะว่าเด็กที่อายุต่ำกว่า 20 ปี มีความสามารถรับแอลกอฮอล์ได้น้อยมาก การให้เด็กที่อายุน้อยดื่มจะทำให้ความสามารถในการเจริญเติบโตบกพร่อง”

‘ฮาเดียส’ ฟังในขณะที่เขย่าแก้วเล็กน้อย

“เครื่องดื่มชนิดนี้ถูกเรียกว่าโลหิตของเทพธิดาเหล่านี้ ถูกจำกัดการขาย เพื่อมุ่งมั่นในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์งั้นเหรอ”

เขาพึมพำราวกับว่ากำลังคุยกับใครสักคนอยู่และดูเหมือนว่าจะลืม ‘เรอิจิ’ ไปแล้ว  ‘เรอิจิ’ จึงถาม ‘ฮาเดียส’ ออกไปตรงๆ

“ถ้าอย่างนั้นคุณเรียกผมมาที่นี่ทำไม?”

“ใจเย็นน่าผู้กล้า แน่นอนว่าข้ามีเรื่องจะต้องคุยกับเจ้านั่นแหละ”

“แต่ดูเหมือนว่ามันจะห่างไกลจากคำว่าสนทนาอยู่นะครับ”

“อ่า ขอโทษที”

ตั้งแต่ที่เขาเข้ามายังห้องนี้ มันก็เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความตื่นตัวและตึงเครียด แต่ไม่คิดเลยว่าคนอย่าง ‘ฮาเดียส’ จะยอมพูดคำขอโทษออกมาง่ายๆแบบนี้

มันเป็นบุคลิกของคนที่กล้าได้กล้าเสีย เข้มแข็งและรู้จักรอโอกาสเท่านั้นถึงจะทำได้  ‘เรอิจิ’ จ้องมองด้วยความระแวดระวัง ก่อนที่ ‘ฮาเดียส’ จะพูดเข้าเรื่อง

“ผู้กล้า รู้มั้ยว่าทำไมถึงต้องกำจัดราชาปีศาจ?”

“เพื่อช่วยผู้คนในโลกนี้”

นั่นเป็นคำตอบเดียวกับที่ ‘เรอิจิ’ เคยพูดกับราชา ‘เอลมาเดียส’ และเมื่อเขาตอบ ‘ฮาเดียส’ อีกครั้งมันก็ยังคงไม่เปลี่ยนไป

“โฮ่ คนจากอีกโลกหนึ่งที่พยายามช่วยคนอีกโลกงั้นเหรอ มั่นใจจริงๆนะ?”

“คุณกำลังพยายามจะพูดอะไรอยู่?”

“ความคิดก็สมกับเป็นผู้กล้าดีนะ เพียงแต่ว่า”

“……?”

ผู้ชายคนนี้ต้องการจะพูดอะไรกับเขากันแน่ คำพูดเหล่านั้นไม่สามารถที่จะคาดเดาอะไรได้เลยสักนิด หรือว่ากำลังหาจุดอ่อนของเขาอยู่ หรือยังมีเหตุผมที่ซ่อนอยู่อีก เขามองกลับอย่างงุงงง ก่อนที่ ‘ฮาเดียส’ จะหัวเราะ

“ผู้กล้า คิดว่าโลกนี้เป็นยังไงบ้างล่ะ”

“หมายความว่ายังไง?”

“ถ้าเปรียบเทียบโลกนี้กับโลกที่เจ้าจากมา”

เปรียบเทียบกับโลกของเขา  ‘เรอิจิ’ นึกถึงคำถามของราชา ‘เอลมาเดียส’

“โลกของผมนั้นมีเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเป็นจำนวนมาก แต่ว่าโลกนี้เองก็มีเวทมนตร์ แต่ถ้าให้เทียบกันจริงๆแล้วก็ต้องบอกว่า โลกนี้ยังด้อยกว่า เพราะความเจริญในโลกนี้น่ะพัฒนาไปช้ามากเลย”

“การพัฒนางั้นเหรอ…..อย่างเรื่องของไวน์สินะ?”

‘เรอิจิ’ ตอบว่า

“ใช่ ”

เมื่อ ‘ฮาเดียส’ ได้ฟังเช่นนั้นก็ลุกขึ้นไปมองทิวทัศน์ที่นอกหน้าต่าง

“ผู้กล้า เจ้าคิดว่าโลกนี้ดีรึเปล่า?”

“ถ้าไม่นับข้อด้วยเรื่องนั้น ก็นับว่าเป็นโลกที่ดีครับ”

“ดีงั้นเหรอ”

‘ฮาเดียส’ กล่าวอย่างผิดหวัง ก่อนจะถามคำถามที่คาดไม่ถึงออกมา

“ผู้กล้า เจ้าเห็นอะไรที่นอกหน้าต่างนั่นบ้าง”

เห็นอะไรงั้นเหรอ ภาพที่มองเห็นได้จากห้องบนชั้นสามนี้ คือวิถีชีวิตของประชาชนในเมือง และแสงสว่างตามบ้านเรือนที่เริ่มจะปรากฏขึ้นมาบ้างแล้ว ในช่วงเวลาพลบค่ำของคูรันด์ทั่วทั้งเมืองก็เริ่มเรืองแสงเป็นสีเขียวและน้ำเงินจากตะเกียง

“อะไรครับ?”

“ในโลกนี้น่ะ สิ่งเหล่านี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาหลายร้อยปีแล้ว พวกเรามีชีวิตอยู่กับงาน ความรัก แล้วก็ความตาย เทคโนโลยีไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ประเทศก็มีแต่ความขัดแย้งและการเจรจาต่อรอง ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนอะไรพวกนี้ได้หรอก”

“อย่างน้อยพวกเขาก็ยังคงมีเทพธิดาให้นับถือไม่ใช่เหรอครับ”

‘เรอิจิก’ ล่าวอย่างเย็นชา ไม่มีทางที่อารยธรรมของมนุษย์นั้นจะไม่พัฒนาไปได้หรอก หากว่าทุกคนแสวงหามัน

“ผู้กล้า เจ้าคิดว่าจะพัฒนาประเทศนี้ได้ยังงั้นเรอะ?”

“ไม่หรอกครับ ทำไม่ได้หรอก หากว่าพวกเขาไม่ต้องการจะเปลี่ยนแปลง ต่อให้มีอีกสิบหรืออีกร้อยผู้กล้า หรือว่ามีการสู้รบที่โหดร้ายแค่ไหนก็ตามมันก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้หรอก”

“…..”

‘ฮาเดียส’ มอง ‘เรอิจิ’ อย่างตกตะลึง

“เร็วๆนี้ ข้าจะส่งเจ้าไปที่จักรวรรดิ”

“ทำไมล่ะครับ?”

“จักรวรรดิ เป็นพื้นที่ของเจ้าหญิงกราเซีย หากเจ้าไปที่นั่น เจ้าจะได้ประโยชน์มหาศาล”

‘ฮาเดียส’ ตัดสินใจโดยไม่ถามความคิดเห็นของเขาสักนิด

“ผมขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย?”

“ว่ามาสิ”

“ผมไม่ได้มีหน้าที่กำจัดราชาปีศาจนัคชาตรารึไง”

“แน่นอนว่ามันต้องเป็นแบบนั้น….แต่ว่าผู้กล้า เจ้าพูดคุยอะไรกับเกรกอรี่งั้นเรอะ”

ในเวลาเดียวกับที่คำถามนี้ถูกถามออกมา บรรยากาศในห้องก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แน่นอนว่าเป็น ‘ฮาเดียส’ เองที่ทำให้เป็นแบบนั้น

“กำลังขู่ผมงั้นเหรอ?”

“แน่นอนว่าไม่ แน่นอนว่าข้าไม่มีสิทธิไปทำอะไรผู้กล้าหรอก แต่กับเกรกอรี่ การละเมิดวินัยของทหารน่ะ ยังไงก็ต้องรับโทษ แม้ว่าผู้กล้าจะออกหน้าให้ก็ไม่มีสิทธิละเว้นหรอกนะ”

“กล้าพูดแบบนั้นทั้งๆที่ใช้เพื่อนของผมเป็นเหยื่อล่องั้นเหรอ”

“เสียสละส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่ มันก็ไม่ใช่ไม่เคยเกิดขึ้นนี่ อีกอย่างตอนนี้เอนของเจ้าก็ยังหาร่องรอยไม่เจอด้วย”

‘ฮาเดียส’ กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ

“บางทีตอนนี้เขาอาจจะตายไปแล้วก็ได้”

“เจ้าพูดเองนะ”

‘เรอิจิ’ ที่โกรธจัดตะโกนใส่หน้า ‘ฮาเดียส’

“ถึงจะเป็นแบบนั้น ผทก็จะไม่ยอมแพ้หรอกนะ”

“ไม่ว่า ‘ซุยเมย์’ จะอยู่ที่ไหน ผมก็จะไปช่วยเขา”

“แม้ว่ามันอาจจะกลายเป็นจุดจบของเจ้าเอง?”

“กรอด”

‘เรอิจิ’ ขบฟันแน่น ความโกรธของเขาแทบจะพุ่งทะลุออกมาจากตัว แต่ ‘ฮาเดียส’ ก็ยังคงไม่สนใจ

“ ‘ซุยเมย์ ยาคางิ’  ก็แค่คนที่โชคไม่ดีเท่านั้น ไม่มีเหตุผลอะไรที่เจ้าจะต้องมาโกรธข้าสักหน่อย”

“หน่อย…”

เรอิจิเหวี่ยงหมัดออกไปด้วยความโกรธ ทั่วทั้งห้องเงียบไปถนัด9k แต่มันถูกหยุดไว้ด้วยมือของฮาเดียส

“เป็นไปได้ยังไง……”

“ฮึ่ม ……”

พร้อมกับมองมาด้วยสายตาเบื่อหน่าย (ผู้ชายคนนี้ … ) แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้พลังเต็มที่ แต่หมัดนี้ก็มีพลังทำลายล้างเกินกว่าที่คนธรรมดาจะรับไหว แต่มันก็ยังคงไม่อาจทำให้ผู้ชายคนนี้กระดิกคิ้วได้เลยสักนิด เขาสะบัดมือออกอย่างรุนแรง ดูเหมือนฮาเดียสจะรู้ทัน เขาหันไปยังหน้าต่างอีกครั้ง

“หากแม้แต่ข้าเจ้าก็ยังทำอะไรไม่ได้ ก็ยังไม่สามารถต่อสู้กับปีศาจได้หรอก จงไปที่จักรวรรดิซะ”

ไม่มีทางเลิกอื่นใดสำหรับเขาแล้ว ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่เข้าก็ต้องไปอยู่ดี

“….ถ้าผมไปที่จักรวรรดิ  ‘เกรกอรี่’ และครอบครับ กัย ‘ซุยเมย์’ ล่ะ”

“ข้าสัญญาว่าจะออกตามหาให้ ยังไงซะเพื่อนของผู้กล้าก็ยังสามารถใช้ทำประโยชน์ให้กับประเทศนี้ได้อยู่”

“คุณ……”

ในเมื่อเขาไม่มีธุระอะไรที่ห้องนี้อีกแล้ว  ‘เรอิจิ’ จึงเดินไปที่ประตูด้วยความโกรธ ในขณะที่กำลังเอือมมือไปจับประตูนั่นเอง

“ผู้กล้า มีบางเรื่องที่ข้าจะต้องบอกกับเจ้าไว้ก่อน”

“……อะไร”

“ในอนาคตศัตรูของเจ้าจะไม่ได้มีแค่มนุษย์เท่านั้น ยังมีเผ่าอื่นๆอีกมาก”

ไม่ต้องบอกก็รู้

“ผมรู้น่ะ เผ่าพันธุ์ของราจัสนั่นไง”

“ไม่ มันมีมากกว่านั้นอีก”

“…….”

คำพูดของฮาเดียสเป็นสิ่งที่เรอิจิไม่เคยคาดคิดมาก่อน แน่นอนว่าการต่อสู้กับปีศาจนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่กลับอย่างอื่นงั้นเหรอ

“ผู้กล้า ที่นี่มันแตกต่างจากโลกของเจ้า อย่าเชื่อมั่นในความคิดของตัวเองมากนัก คิดถึงผลดีผลเสียในการต่อสู้กับกองทัพปีศาจให้ดี”

“หมายความว่ายังไง?”

“ไม่ว่าพวกนั้นจะพูดอะไร จงอย่าเชื่อเพราะการมีตัวตนอยู่ของเผ่านั้นมีผลต่อมนุษย์ การมีตัวตนอยู่ของพวกมันจะนำมาซึ่งความล่มสลายของเผ่าพันธุ์มนุษย์”

“นำมาซึ่งความล่มสลายอย่างนั้นเหรอ……”

“นั่นเป็นปัญหาของคนในโลกนี้ ไม่มีความจำเป็นอะไรที่เจ้าจะต้องรู้ไปมากกว่านี้”

‘ฮาเดียส’ สรุป

“มีแค่นี้ใช่มั้ย?”

“มีแค่นั้นแหละ”

เขาพูดต่อในขณะที่มองออกไปนอกหน้าต่าง ทำให้ ‘เรอิจิ’ ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้

“ผู้กล้า ถ้าหากสงครามนี้สิ้นสุดลงแล้ว เจ้าต้องการอะไรบ้าง”

“หมายถึงอะไร?”

“สถานะ เกียรติยศ ความมั่งคั่งหรือว่าผู้หญิง มีอะไรในโลกนี้บ้างที่เจ้าต้องการ?”

“ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณพยายามจะสื่ออะไร แต่ที่ผมสู้ไม่ใช่เพราะผมต้องการของพวกนั้นหรอก”

“เข้าใจแล้ว นั่นเป็นคำถามสุดท้ายของข้าแล้วล่ะ จนกว่าจะถึงเวลาออกเดินทางไปจักรวรรดิ จงไปพักซะเถอะ”

หลังจากที่ฮาเดียสพูดจบ  ‘เรอิจิ’ ก็ออกจากห้องไปและมุ่งหน้ากลับไปที่โรงแรมทันที

“ผู้กล้าที่ถูกอัญเชิญงั้นเหรอ……”

…….หลังจากที่ ‘เรอิจิ’ กลับไปที่โรงแรมแล้ว ที่หน้าต่างชั้นสามนั้นมีบางคนกำลังรู้สึกโศกเศร้า  ‘ฮาเดียส’ ที่ทอดสายตาไปยังท้องฟ้า เป็นท้องฟ้าเดียวกับที่เขาตั้งคำถามต่อ ‘เรอิจิ’ เมื่อตอนพลบค่ำ

“ผู้กล้า ‘เรอิจิ’  นั่นคือสิ่งที่เจ้าคิดอย่างนั้นเหรอ? เจ้าคิดว่าโลกนี้เป็นโลกที่ดีจริงๆอย่างนั้นเหรอ? หรือว่าโลกนี้ที่หยุดเดินไปเพราะเทพธิดา จะมีโอกาสก้าวไปข้างหน้าอีกครั้งกันนะ”

ที่มา:

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments