ตอนที่แล้วตอนต่อไปChapter 002 ชายชราผู้ลึกลับ #2
นี้มัน น่าจะเป็นตัวอักษรของโลกที่แตกต่างนี้
หยางติงเทียนอ่านอีกครั้ง แล้วก็เขียนมันอีกครั้ง จากนั้นเขาก็เขียนตัวอักษรคำว่า “คุณ” ในภาษาจีนลงบนพื้น เขาอ่านมันออกไปและชี้ไปที่ชายชรา ชี้ให้เห็นว่านั่นหมายถึงคุณ
ชายชราเข้าใจมันได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้เขาอ่านมันได้อย่างถูกต้องและเขาก็สามารถเขียนมันได้อย่างสวยงามเหมือนกับหยางติงเทียน
ต่อไปนี้คือดวงตา จมูก ปาก ผม ผิวหนัง เนื้อ เส้นเลือด เอ็น กล้ามเนื้อ ท้องฟ้า หิมะน้ำแข็ง บันได ท้องฟ้าและคำอื่น ๆ อีกหลานคำ
หยางติงเทียนเป็นคนที่ฉลาดและไหวพริบดี แต่ทว่าชายชราคนนี้นั้นเป็นเหมือนดั่งอัจริยะก็ว่าได้
หลังจากผ่านไปนานหลายชั่วโมง หิมะที่ตกลงมาก็เริ่มหยุดลง ทั้งสองคนได้เรียนภาษาของกันและกัน ในตลอดเวลาที่ผ่านมาของวัน
ชายชราได้สอน หยางติงเทียนไป 189 ตัวอักษรและอีก 50 สำนวน หลังจากเสร็จสิ้นการเรียน ชายชราก็ใช้ภาษาจีนเพื่อทดสอบหยางติงเทียน
ตัวอย่างเช่น เมื่อชายชราชี้ไปที่เมฆสีดำของท้องฟ้าเขาก็จะพูดคำว่า “เมฆสีดำ” สองคำในภาษาจีน และเขาก็จะให้หยางติงเทียนกล่าวคำว่า ‘เมฆสีดำ’ ในภาษาของโลกใบนี้พร้อมทั้งเขียนมันออกมาด้วย
เมื่อ หยางติงเทียน กล่าวคำเหล่านั้นได้ถูกต้องชายชราจะยิ้มให้อย่างพึงพอใจ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่หยางติงเทียน กล่าวผิด ชายชราจะเอามือของเขาตบไปที่บริเวนใกล้กกหูของของหยางติงเทียน
เมื่อเขาโดนตบเข้าที่บริเวณใกล้กกหูของเขา เขารู้สึกว่ามันเจ็บมาก แต่ทว่าชายชรานั้นอาจจะเจ็บมากกว่าเขา เพราะว่าผลมันมาจากกระดูกที่หักของเขานั้นมันยังไม่หายดี เมื่อเขาตีหยางติงเทียน1 ครั้ง เขาก็จะกระอักเลือดออกมาหนึ่งครั้ง ดังนั้นหยางติงเทียนจึงตั้งใจทำมันอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้มันผิดพลาด แต่หากหลังจากที่เขาทำมันผิดพลาดเขาจะตบใบหน้าของตัวเองแทน เขาไม่กล้าที่จะทำให้ชายชราลงมือตีเขาอีก นอกจากนี้เขาก็ยังตบตีตัวเองได้รุนแรงกว่าที่ชายชราลงมือซ๊ะอีก จนทำให้แก้มบริเวณกกหูของเขานั้นบวมปูดและบางครั้งถึงขั้นที่มีเลือดปนออกมาด้วย
หยางติงเทียนนั้นฉลาดมาก หลังจากผ่านไปนานนับหลายชั่วโมงหลายร้อยตัวอักษรและเกือบร้อยสำนวนก็จะมีข้อผิดพลาดอยู่บ้างเพียงเล็กน้อย ใบหน้าของเขาที่ถูกเขาตีก็พองออกมาจนเหมือนหมูแล้ว บางส่วนของฟันของเขาก็เกือบจะหลุดออกมาและน้ำลายที่เขาคายออกมันถูกปะปนไปด้วยเลือด
สายตาของชายชราไม่มีแม้ความสงสาร เมื่อเขาทำผิด เขาจะจับจ้องตาไปที่หยางติงเทียนในทันที
ในที่สุดเมื่อการเรียนเสร็จสิ้นลง ชายชราก็เอื้อมมือออกไปและสัมผัสไปที่ใบหน้าอันเปื้อนเลือดของหยางติงเทียน มันทำให้หัวใจของหยางติงเทียนรู้สึกอบอุ่นขึ้น
“ไปทำบันไดน้ำแข็งของเจ้าต่อได้แล้ว!” ชายชราคนนั้นพูดออกมา แล้วเขาก็ค่อยๆหลับตาลงอีกครั้งหนึ่ง เขาเข้าสู่สถานการณ์ปกติ ‘ทุกอย่างล้วนปิดฉากลง’
“ท่านไม่จำเป็นต้องกินอะไรเลยหรือ?” หยางติงเทียน ถาม แต่ชายชราก็ไม่ได้ให้ความสนใจใดๆในคำพูดเหล่านั้น ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถเข้าใจถึงความหมายของคำพูดของหยางติงเทียนได้ก็ตาม
หยางติงทียนยิ้มอย่างเจื่อนๆ จากนั้นเขาก็จัดการหยิบเสื้อผ้าคลุมตัวของชายชรา แล้วใช้มือจับสางผมของตัวเองและเดินไปทำบันไดน้ำแข็งต่อไป
……
หลายวันผ่านไป
ส่วนใหญ่ชายชราจะนั่งอยู่ที่เดิมด้วยดวงตาที่ปิดสนิทของเขาเหมือนเช่นการทำสมาธิ ทุกๆสิบวันเขาจะหยิบโยนยาเม็ดสิแดงให้หยางติงเทียนหนึ่งเม็ดเพื่อให้เขาได้รักษาชีวิตและเติมพลังงาน
เฉพาะในเวลาที่มีหิมะตกลงมาเท่านั้น เขาจึงจะลืมตา
เมื่อหิมะได้เริ่มตกลงมา ที่เขาจะลืมตาขึ้นและเริ่มสอนหยางติงเทียนเกี่ยวกับภาษาของโลกใบนี้บนพื้นหิมะอีกครั้ง พร้อมทั้งเรียนภาษาจีนจากโลกของหยางติงเทียนเช่นกัน
และเมื่อถึงเวลาที่หิมะหยุดตกเขาทั้งสองคนจะจบการเรียนรู้ ชายชราก็จะกลับไปนั่งลงหลับตาและเริ่มทำสมาธิอีกเช่นเคย ในขณะที่หยางติงเทียนก็จะกลับไปสร้างบันไดน้ำแข็งต่อไปเช่นกัน
วันเวลาผ่านไป วันแล้ววันเล่า
บันไดน้ำแข็งที่ขดอยู่รอบผนังถ้ำเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ความรู้ของหยางติงเทียนในด้านภาษาพูดและภาษาเขียนของโลกใบนี้ก็สูงขึ้นเช่นกัน ส่วนชายชราก็สามารถอ่านเขียนภาษาจีนส่วนใหญ่ได้แล้ว นี่เป็นเพราะว่าเขานั้นฉลาดมาก เมื่อเขาเข้าใจรูปแบบและสาระสำคัญของภาษาเขียนในภาษาจีนได้แล้ว เขาก็สามารถที่จะเรียนรู้มันด้วยตนเองได้อย่างครบถ้วน เขาเข้าใจมันมากขึ้นจนทำให้เขาสามารถระบุข้อผิดพลาดของหยางติงเทียนได้! นอกจากนั้นด้วยความรู้ของชายชราที่ถ่ายทอดให้มันก็ทำให้หยางติงเทียนไม่กลัวโลกใบนี้อีกแล้ว
แม้ว่าในช่วงเริ่มต้นหยางติงเทียน สามารถเรียนรู้ภาษาพูดและเขียนของโลกนี้ได้เป็นอย่างดี แต่ในที่สุดมันก็เริ่มช้าลง และหลังจากนั้นมันเริ่มก็กลายเป็นเรื่องยากมากขึ้นเรื่อยๆ
ในทุกๆสิบชั่วโมงแรกของวัน หยางติงเทียนได้เรียนรู้คำศัพท์หลายร้อยหลายคำ แต่หลังจากนั้นมันก็เริ่มช้าลงมาก เนื่องจากโลกใบนี้เป็นหนึ่งในโลกที่มีพลังแห่งการต่อสู้อยู่อย่างสมบูรณ์แบบ และมันเป็นโลกที่มีพื้นฐานอยู่บน พลังแห่งลมปราณ ซึ่งมันมีส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมกันที่มากมาย มันไม่ง่ายเลยที่หยางติงเทียนจะสามารถทำความเข้าใจเกี่ยวกับมัน
เพื่อที่จะทำให้ หยางติงเทียนเข้ามันได้อย่างถูกต้องชายชราคนนั้นก็ทำการแปลความรู้เหล่านั้นให้เป็นภาษาจีนทั้งหมด จากนั้นเขาได้เริ่มสอน หยางติงเทียน อีกครั้งหนึ่ง
ในวันนี้หยางติงเทียน ที่ไม่ได้รับการลงโทษมากเช่นวันก่อน แต่อย่างไรก็ตามใบหน้าของเองก็ยังบวมเป็นหมูอยู่ดี
ชายชรายังคงเข้มงวดเช่นเคย แววตาของเฝ้าจ้องมองอย่างเฉียบคม
เมื่อหยางติงเทียนหันกลับไปสบตา แววตาของชายชราก็เปลี่ยนไปในทันทีทัน ภายในแววตานั้นมันเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและนุ่มนวล
เวลาค่อยๆผ่านไป ……
หนึ่งเดือนสองเดือนสามเดือน ……
ครึ่งปีหลังจากนั้นฤดูหนาวก็ได้ผ่านพ้นไป สภาพอากาศที่เคยเต็มไปด้วยหิมะนั้นเริ่มก็น้อยลง แต่ทว่าบันไดน้ำแข็งนั้น มันเพิ่งเสร็จสมบูรณ์ได้แค่เพียงครึ่งเดียว!
อากาศเริ่มร้อนขึ้น และร้อนขึ้น
หยางติงเทียน เกือบจะเข้าใจภาษาพูดและภาษาเขียนของโลกนี้อย่างสมบูรณ์ เขาสามารถใช้ภาษาพูดและภาษาเขียนของโลกใบนี้ในชีวิตประจำวันได้ และเขาก็ยังมีความเข้าใจเกี่ยวกับโลกใบนี้มากมาย
โลกใบนี้ถูกเรียกว่า ทวีปแห่งความโกลาหล! พื้นที่บนบกมีขนาดใหญ่กว่าโลกเดิมของเขามากนัก ดังนั้นจำนวนคนของที่นี่มันก็มีมากกว่าเช่นกัน มันเป็นโลกที่นับถือในทักษะการต่อสู้และความแข็งแกร่ง พลังลมปราณมันเป็นเหมือนดั่งรากฐานของโลกใบนี้ และแต่ละคนก็ล้วนแล้วแต่มีเส้นลมปรานลึกลับที่แตกต่างกัน คนที่มีพรสวรรค์สูงในการบ่มเพาะจะกลายเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ ส่วนคนที่มีพรสวรรค์ต่ำในการบ่มเพาะเขาจะไม่สามารถบ่มเพาะอะไรได้มากนัก
อาจกล่าวได้ว่าโลกนี้เป็นโลกแห่งวิชาศิลปะการต่อสู้ที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง การต่อสู้ทุกรูปแบบถูกจัดว่าอยู่ในระดับที่ต่ำ มีเฉพาะเพียงแค่ผู้ที่มี ทักษะวิชาแห่งเต๋าเท่านั้นที่ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในระดับสูง ถ้าใครอยากจะเป็นคนที่อยู่ในระดับสูงแล้วมันมีได้มีเพียงทางเดียวเท่านั้น คือการปลูกฝังฝึกฝนวิชาแห่งศิลปะการต่อสู้
ยาเม็ดที่ หยางติงเทียนกินทุกๆ 10 วันนั้นเรียกว่า ‘ยาเม็ดอัคคีคำราม’ มันใช้สมุนไพรหลายชนิดผสมเข้ากับเลือดของสัตว์อสูรธาตุไฟลึกลับหลายชนิดแล้วใช้ เปลวเพลิงอันศักดิ์สิทธิ์ หลอมรวมมันขึ้นมา มูลค่าของมันนั้นมีค่ามหาศาลเมื่อเทียบกับเงินทอง ตราบเท่าที่คนทั่วไปได้กินมันแค่เพียงเม็ดเดียว มันก็จะทำให้ความสามารถในการบ่มเพาะของพวกเขานั้นก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว แต่ที่นี่ สำหรับหยางติงเทียนแล้วเขากินมันเพราะ แค่คิดว่ามันเป็นเพียงอาหารแค่นั้น
เวลาผ่านเลยไปทุกๆวันและความเข้าใจของหยางติงเทียนเกี่ยวกับโลกใบนี้ก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เขาก็ยังคงไม่รู้อะไรที่เกี่ยวกับชายชราคนนี้เลย ชายชราคนนี้เป็นใครกันแน่? ทำไมเขาถึงต้องติดอยู่ที่นี่? เรื่องราวทั้งหมดนี้ยังคงเป็นเรื่องปริศนา แต่ความรู้สึกของเขากับชายชราคนนี้ก็กลับยิ่งลึกซึ้งมากขึ้น หยางติงเทียนเริ่มสนิทสนมกับชายชรามากขึ้นจนในที่สุดเขาก็ถือว่าชายชราเปรียบเป็นเหมือนญาติสนิทของเขาคนนึง
**********
ทุกครั้งหลังจากที่เขาได้กินเจ้าเม็ดยา อัคคีคำรามเข้าไปด้วยพลังความร้อนของเม็ดยาที่มันมีความรุนแรงเป็นอย่างมาก มันทำให้หยางติงเทียนรู้สึกว่าร่างกายของเขานั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงาน ดังนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่เขาไม่ได้สร้างบันไดน้ำแข็งแล้ว เขาก็มักจะเป็นฝึกซ้อมชกมวย ด้วยการทำเช่นนี้ก็เพื่อที่จะปลดปล่อยพลังงานที่มันพลุ่งพล่านอยู่ภายในร่างกายของเขาออกมา
วันหนึ่งชายชรา ได้วาดภาพกระบวนท่าหมัดมวยขึ้นบนหิมะ ชื่อของวิชาต่อสู้นี้คือ วิชาหมัดเจิงหยาง วิชาหมัดชุดนี้มันมีการเคลื่อนไหวทั้งหมด 5ครั้ง การเคลื่อนไหวแต่ละครั้งจะมีประมาณ 10 รูปแบบ
หมัดเจิงหยาง นี้ดูเหมือนง่ายมาก หลังจากที่หยางติงเทียนพยามฝึกฝนเลียนแบบมันอยู่ประมาณสามหรือสี่ครั้ง กระบวนท่าการปล่อยหมัดของเขาก็เหมือนจะถูกต้องสมบูรณ์ ขณะที่เขากำลังรู้สึกภูมิใจอยู่นั้น เขาก็เหลือบไปเห็นใบหน้าอันเยือกเย็นของชายชรา จากนั้นชายชราก็เริ่มเขียนอักษรลงบนหิมะอีกครั้ง การปรากฏของพลังฝ่ามือ การบ่มเพาะพลังลมปราณ ,หมัดจู่โจมตี ว่องไวเยี่ยงลม เมื่อใดที่ฝึกจนลมปราณไหลวนรวดเร็วดั่งสายฟ้าอยู่โคจรทั่วร่าง การฝึกฝนในขั้นตอนนี้จะถือได้ว่าเสร็จสิ้น
หลังจากนั้นชายชราก็หลับตาลงและหยุดให้ความสนใจกับมัน
เป็นผลให้หยางติงเทียน รีบใช้ความตั้งใจสูงสุดของเขาในการฝึกวิชาหมัดอีกครั้งและอีกครั้ง หลังจากที่เขาได้ฝึกซ้อมอย่างเต็มที่ สองสามพันครั้งแล้วเขายังไม่รู้สึกถึงพลังลมปราณแม้แต่น้อย เขารู้สึกเพียงแค่ว่าเขาเหนื่อยมาก และดูเหมือนว่ากระดูกของเขาเหมือนจะแตกสลาย เขาล้มลงนอนกับพื้นเพื่อพักผ่อนอย่างหมดแรง
เมื่อเขาตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้นเขาเห็นว่าชายชราได้ลืมตาขึ้นและก็ได้เขียนตัวอักษรอีกนับร้อยลงบนพื้น
“สิ่งนี้เรียกว่า ‘วิชาฟ้าดินประสาน’ ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาลมปราณขั้นพื้นฐาน เจ้าต้องฝึกตามเคล็ดวิชานี้ในช่วงเช้าตรู่ของทุกวัน เพื่อเสริมสร้างพลังลมปราณ “ชายชรากล่าว” ในด้านภาษาพูดและภาษาเขียนของโลกใบนี้ เจ้าเข้าใจส่วนสำคัญอยู่แล้ว แต่สำหรับการฝึกฝนพลังลมปราณนั้น เจ้าต้องเข้าใจอย่างมันลึกซึ้งก็เกี่ยวกับจุดชีพจรลมปราณทั้งหมดบนร่างกาย และต้องทำความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของเส้นสายของลมปราณ เจ้าต้องทำความเข้าใจในคำภีร์และเคล็ดวิชาเฉพาะเหล่านี้อย่างสมบูรณ์ หากเจ้าไม่สามารถที่จะเข้าใจมันแล้วเจ้าก็ไม่เจ้าก็ไม่สามารถทีจะฝึกฝนพลังลมปราณได้ หลังจากนี้ข้าไม่สามารถที่จะสอนให้เจ้าได้ เคล็ดวิชาชุดนี้เป็นเพียงสอนหลักของการหายใจเป็นหลักและมันไม่มีอันตรายใดๆในฝึกฝน
“เจ้าต้องฝึกฝน ลมปราณทุกหนึ่งชั่วโมงในตอนเช้าของทุกวัน จากนั้นค่อยมาฝึกหมัดเจิงหยางสามชั่วโมง เมื่อใดที่เจ้ารู้สึกถึงเส้นสายและจุดกำเนิดของพลังลมปราณแล้วเจ้าค่อยบอกข้า และข้าจะสอนขั้นตอนต่อไปให้เจ้า “ชายชรากล่าว
“ครับ!” หยางติงเทียนตอบ
ชายชราหลับตาทำสมาธิอีกครั้งๆ ตลอดทั้ง 6 เดือนที่ผ่านมา เขาหลับตาปิดสนิท มีเพียงคำพูพูดไม่กี่คำเท่านั้นที่เขาเอ่ยออกมา ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมาหยางติงเทียนหยิบยาเม็ดยาอัคคีคำรามกินอย่างต่อเนื่อง แต่ตรงกันข้าม ชายชราเขาไม่ได้กินอะไรเลย เขาไม่ดื่มน้ำหรือแม้แต่ ปัสสาวะและถ่ายอุจจาระเขาก็ไม่ถ่าย ด้วยเหตุนี้ทำให้ หยางติงเทียนนับถือเขาอย่างมาก แม้ว่าเขาจะไม่เคยเอ่ยถึงตัวตนของเขา แต่เนื่องจากที่เขามีเม็ดยาอัคคีคำราจำนวนมากนั้นก็สามารถสันนิษฐานได้ว่าเบื้องหลังของชายชรานั้นมันคงไม่ธรรมดา
หยางติงเทียนโยนความคิดเกี่ยวกับเรื่องต่างๆทิ้งไปทั้งหมด เขาเริ่มต้นฝึกตามความคำสอนของชายชรา เขานั่งลงฝึกฝนหายใจด้วยดวงตาปิดที่ปิดสนิท หายใจเข้าและออกช้าๆเป็นจังหว๊ะ เพื่อปลูกฝังจิต
ด้วยเคล็ดวิชาลมปราณที่ชายชราให้มานั้นมันมีเพียงไม่กี่ร้อยคำและมีการฝึกปฎิบัติเพียงเล็กน้อย จากจมูกไปยังลิ้น ไปยังปอด ส่งต่อไปแขนขา ทั้งหมดนี้จำเป็นต้องมีความแม่นยำและถูกต้องและไม่ให้มีข้อผิดพลาดใดๆ หลังจากการฝึกปฎิบัติเหล่านี้เสร็จสิ้นแล้วหนึ่งรอบ
หลังจากผ่านไปหนึ่งรอบหยางติงเทียนก็รู้สึกคันเล็กๆบริเวณท้องน้อยของเขา มันรู้สึกเหมือนร้อนขึ้นเล็กน้อยและรู้สึกราวกับว่ามีหนูตัวเล็กกระโดดไปมาอยู่ในนั้น เหมือนกับว่าร่างกายของเขาเป็นหนึ่งเดียวกับมัน เขาไม่สามารถแม้แต่จะกระดิกตัว เขาทำได้แค่ร้องออกมา
“เกิดอะไรขึ้น?” ชายชราลืมตาขึ้น
“มัน มันเหมือนกับว่ามีหนูตัวเล็กๆ กระโดดอยู่ในกระเพาะอาหารของข้า” หยางติงเทียนตอบ
ใบหน้าของชายชราแสดงความประหลาดใจออกมา “ทำไมมันถึงเร็วขนาดนี้?”
จากนั้นชายชราก็ถอนหายใจออกมา: “เหนือฟ้ายังมีฟ้า, ไม่เป็นไร มันไม่มีไรน่ากลัว เจ้าไปฝึกต่อเถอะ. “
“ครับ!” หยางติงเทียนกล่าว จากนั้นเขาก็เริ่มต้นฝึกตามเคล็ดวิชาพลังลมปราณต่อ ทุกรอบการฝึกใช้เวลาประมาณสามนาทีและในแต่ละรอบของการฝึก เจ้าหนูตัวน้อยจะกระโดดขึ้นมา แต่อย่างไรก็ตามเมื่อหยางติงเทียนต้องการที่จะมองหามัน มันก็จะหายไปราวกับการเล่นเกมซ่อนหา
ขั้นตอนทั้งหมด ก็เหมือนกับว่าหยางติงเทียนนั้นได้ของเล่นมาใหม่ อาจกล่าวได้ว่า ‘เคล็ดวิชาฟ้าดินประสาน’ ที่เรียบง่ายนี้ทำให้เขาสามารถเข้าสู่โลกที่แปลกประหลาดและลึกลับแห่งนี้
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นของหยางติงเทียนและความความพยายามครั้งสุดท้าย
“ปุ๊ก! …… ” ความรู้สึกที่ตามมาก็คือเหมือนกับว่าหนูตัวเล็กๆนั้น ได้เจาะลึกลงไปในส่วนที่ลึกที่สุดของช่องท้องส่วนล่างของเขาแล้วก็เข้าไปกระโดดโลดเต้นอยู่ภายในนั้น
“อะไร?” ชายชราลืมตาขึ้น
“เจ้าหนูตัวเล็ก ตัวนั้นมันออกมาและเจาะเข้าไปในส่วนที่ลึกที่สุดของช่องท้องของข้าและดูเหมือนมันกำลังอยู่ในนั้นและกำลังกระโดอยู่” หยางติงเทียน กล่าว
ชายชราถึงกับตะลึงอีกครั้งและส่ายหัวไปมา พลันเอ่ยว่า “เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคนจริงๆ
เขาไม่ได้บอกกับ หยางติงเทียนว่าถ้าคนอื่นที่ฝึกฝนบ่มเพาะพลังลมปราณนั้น คนที่มีพรสวรรค์นั้นจะใช้เวลาประมาณสัก 1 เดือนในการรู้สึกถึงเจ้าหนูเล็กๆนั่น และหลังจากนั้นอย่างน้อยอีกประมาณหกเดือนพวกเขาก็สามารถที่จะทำให้เจ้าหนูตัวเล็ก ๆตัวนี้เจ้าะเข้าไปในส่วนที่ลึกที่สุดของช่องท้องของพวกเขาได้
”ขั้นตอนนี้เรียกว่าขั้นดูดซับพลังฟ้าดิน” มันจะดูดซับพลังงานฟ้าดินจากสวรรค์และโลกเข้าไปในร่างกายของเจ้าโดยผ่านทางกล้ามเนื้อและเส้นเลือดดำอีกนับไม่ถ้วนแล้ว เข้าสู่ภายในจุดตันเถียนของเจ้า ส่วนหนูที่มันกระโดดอยู่ ที่เจ้าพูดถึงนั้นก็คือพลังลมปราณของเจ้า “ชายชรากล่าว
“ห๊ะ! ข้ามีพลังลมปราณ?” หยางติงเทียนประหลาดใจอย่างที่สุด