ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปวีลแชร์ได้เคลื่อนที่ผ่านหน้าของจวินเซี่ยไป ผู้ที่นั่งอยู่บนนั้นเป็นชายวันกลางคนผอมแห้งแรงน้อย ที่อายุราวๆสามสิบปี มีผ้าแพรหนา ปกคลุกคลุมขาของเขาไว้ ดวงตาอันเปล่งประกายของเขา มองมายังจวินเซี่ย
คิ้วของเขาดูราวกับกระบี่ วางเป็นแนวเฉียงขึ้นตรงไปยังขมับ ร่างของเขามีออร่าอันเยือกเย็นและประกายสังหารแผ่ออกมา! ลึกลงไปภายในดวงตาที่ดูราวกับเหยี่ยวนั้นมีร่องรอยของการดูถูกอยู่ แม้ว่าจะดูไม่มากนัก แต่มันมีอยู่อย่างชัดเจน!
ถ้าขาของเขาไม่พิการ เขาคงจะหล่อเหลาราวกับต้นหยกที่ดีเลิศ! โดดเด่น กล้าหาญ เป็นบุรุษเหล็ก! ซึ่งคิ้วของเขามีกลิ่นอายนั้นอย่างชัดเจน เขาจะต้องเป็นคนที่มีความแน่วแน่เป็นอย่างมาก และแข็งแกร่งจนสามารถสั่งการคนนับหมื่นในสงครามอันกระหายเลือดเหล่านั้นได้
[ ต้นหยก เป็นสัญลักษณ์ของความ เจริญรุ่งเรือง ]
“ อาสามงั้นหรือ ? ”
จวินเซี่ยหยุดและมองไปยัง จวินวู้อี้ที่นั่งอยู่บนวีลแชร์ จวินเซี่ยจำจากความทรงจำของเขาว่า นั่นคือน้าสามที่นั่งอยู่บน วีลแชร์ ที่ไม่สามารถทำอะไรได้ เป็นอีกคนที่อยู่เพื่อรอคอยเวลาตายเท่านั้น แต่ตอนนี้ จวินเซี่ย สามารถสัมผัสได้ว่า น้าสามาที่อยู่แต่กับ วีลแชร์มาหลายปีนั้น มีออร่าที่เขาคุ้นเคยเปล่งออกมา จนทำให้เขาเสียวสันหลังเลยทีเดียว !
ประกายสังหาร !
ประกายสังหารนั้นรุนแรงมาก จนสามารถคุกคามหัวใจของ จวินเซี่ยได้ !
มันมีจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่โดดเด่นอย่างชัดเจน ผู้ที่จะต้องผ่านการล้างบาปมาด้วยไฟแห่งสงครามนับร้อย ผู้ที่แข็งแกร่งจนสามารถหาทางออกจากกองผู้เขาที่เต็มไปด้วยซากศพและทะเลเลือดได้ ! ออร่านี้เปรียบได้กับ รังสีที่แหลมคมของกระบี่ไร้เทียมทาน ที่ไม่สามารถหลอมรวมกันใหม่ได้หลังจากที่มันหักไปแล้ว ซึ่งเปล่งประกายสดใสในท้องฟ้าท้องฟ้า !
แม้ว่าในตอนนี้ กระบี่ไร้เทียมทานยังอยู่ในฝัก !
ในชั่วชีวิตของจวินเซี่ยนั้น เขาได้พบผู้คนขั้นเทพเหล่านี้เพียงสองหรือสามคนเท่านั้น และแต่ละคนนั้นยังถือเป็นถึงอนุสรณ์ของกองกำลังอีกด้วย นายพลที่มีเลือดแห่งความกล้าหาญเหล่านี้คือบุคคลที่ จวินเซี่ยจะยอมรับและนับถือ ! ที่จริงแล้ว ปู่จวินก็เป็นหนึ่งในนั้น แม้ว่า ตอนนี้เขาจะเป็นทหารผ่านศึกที่แก่แล้วก็ตาม เขาก็ได้บรรลุไปถึงจุดที่การเพาะปลูกของเขาอนุญาตให้ควบคุมออร่าได้ จากนั้นเขาก็ได้เก็บซ่อนมันไว้ตลอดเวลา การพบเจอกันของจวินเซี่ยกับปู่จวินนั้นใช้เวลานานพอสมควร แต่เขาก็ยังไม่สามารถที่จะสัมผัสมันได้ !
แม้ว่า จวินวู้อี้จะเสร็จการปิดบังปราณแล้ว แต่การมีชีวิตอยู่ของเขา ก็ยังคงไม่ต่างจากกระบี่ไร้เทียมทาน แม้ว่าใบมีดของกระบี่จะยังอยู่ในฝัก แต่ความน่าเกรงกลัวของกระบี่ชี่ ยังคงรั่วใหลออกมาจนสามารถสัมผัสได้ ปกติแล้ว ผู้ที่มีขั้นการรับรู้เดียวกับจวินเสี่ย จะสามารถสำมผัสมันได้ แต่คนธรรมดาอย่าง จวินโม่เซี่ยจะไม่สามารถสัมผัสมันได้เลยแม้จะโดนมันฟันจนตาย!
แม้ว่ากระบี่ไร้เทียมทานจะแขวนอยู่ตรงกำแพงด้านซ้าย มันก็ยังคงปลดปล่อยเสียงคำรามของมังกรในยามค่ำคืนออกมา ! เสียงคำรามนี่คือเสียงที่บอกว่า กระดูกเหล่านั้นมันกระหายเลือด
“ นานเท่าใหร่แล้วที่แกไม่เรียกข้า อาสาม ”
จวินวู่อี้เงยหน้าขึ้น แล้วเหลือบมองไปยังหลานของเขา
“ โม่เซี่ย ดูเหมือนว่าแกจะอยากมาเป็นผู้สืบทอดรุ่นที่สองน่ะ ? ”
หลังจากพูดจบ หลังนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาในทันที ประหลาดแท้ เกิดอะไรขึ้นกับเขาน่ะวันนี้ ทำนใดนั้นเขาก็รู้สึกราวกับพูดถึงลางร้ายที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลย ?
จวินเซี่ยมองไปที่เขาเป็นเวลานาน แต่เขามองอยู่แต่ที่ตรงช่วงเอวและขา ของจวินวู้อี้ ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะขึ้นมา
“ อาสามล้อเล่นน่า ท่านหน่ะเป็นรุ่นที่สองของแท้เลย และข้าเป็นผู้สืบทอดรุ่นที่สามเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ชีวิตที่มีความสงบสุขของรุ่นที่สามนั้นมากเพียงพอแล้วสำหรับข้า ”
เอ่อ ? ทำไมวันนี้เจ้าเด็กนี่ถึงพูดอย่างนี้กัน? แม้ว่าคำพูดจะยังแดกดัน แต่ความจองหองและไม่ค่อยวางอำนาจเหมือนเมื่อก่อน
เมื่อได้ยินจวินเซี่ยตอบ เขาก็กระพริบตาและมีประกายแสงเกิดขึ้นในดวงตาเขาด้วย ราวกับลำแสงแห่งสายฟ้าในค่ำคืนที่มืดมิด! ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะลั่น พยักหน้าและถาม
“ แกรู้รึเปล่าว่าความแตกต่างระหว่างรุ่นสองกับรุ่นสามคืออะไร ? ”
“ โอ้ว ? จะเรียกว่า อยู่อย่างไร้ค่าเพื่อที่จะรอความตายได้รึป่าวน่ะ ? จริงๆแล้วมันแค่ต่างกันอย่างนี้ชิมิ ? ”
จวินเซี่ยยักคิ้ว คำพูดของเขาเต็มไปด้วยการเสียดสี และมองอย่างเคารบไปยัง บุรุษเหล็กอย่างจวิน วู่อี้ ที่เพ่งมองมาด้วยสาตาที่ซึมเศร้า จวินเซี่ยทำได้แต่รู้สึกผิด!
แววตาของ จวินวู้อี้ นั้นหม่นหมองลงด้วยความขมขื่น และ ความอดกลั้น แต่มันก็หายไปในทันที เขาวางมือลงบนตัก เงยหน้าขึ้นและพูด
“ เจ้าคิดผิดแล้ว นี่มันจะไม่แต่งต่างกันได้อย่างไร ? โลกของพวกเขามันแยกออกจากกันต่างหาก ! ผู้สืบทอดรุ่นที่สองเป็นพ่อที่สร้างรากฐานด้วยเลือดของพวกเขา ดังนั้น ลูกของพวกเขาอาจจะนั่งลงและอิ่มเอมกับความสำรานจากผลของพวกเขานั้น ในชีวิตของพวกเขาจะไม่ต้องเผชิญกับอะไรที่ยากลำบาก ตราบใดที่พวกเขาเกิดมาพร้อมกับปากที่พร้อมจะกิน พวกเขาจะไม่ตายอละมีชีวิตอย่างหรูหรา แม้ว่า นี่จะไม่ใช่ เรื่องของผู้สืบทอดรุนที่สามก็เถอะ ! ”
เขามองไปยังในตาของจวินเซี่ย จากนั้นก็หัวเราะออกมาก่อนที่จะพูด
“ จะบอกว่าผู้สืบทอดรุ่นที่สามหน่ะ ไม่จำเป็นต้องเกิดมาในรุ่นที่สามก็ได้ แต่คนนั้นจะเป็นคนที่มารับช่วงต่อในรุ่นที่สาม หรือจะบอกว่า ปู่แกได้สร้างรากฐานไว้ให้แต่การสืบทอดนั้นมันได้ขาดไปในช่วงยุคของพ่อแก เพื่อที่จะนำรุ่นที่สาม ! ถ้าพ่อของแกยังอยู่ แกและข้าจะได้เป็นผู้สืบทอดรุ่นที่สอง ข้าจากรุ่นปู้และแกจากพ่อของแก นั่นแหล่ะคือสิ่งที่แตกต่างกัน ”
“แต่ปู่ของแกนั้นแก่มากแล้ว นอกเสียจากว่าเจ้าจะตัดสินใจที่จะมาเป็นผู้สืบทอดรุ่นที่สาม แกอาจจะไม่ได้ครองตำแหน่งนั้นได้นานหรอก ท่านปู่หน่ะคุ่มครองแกได้ไม่นานหรอก ให้แกมาเป็นผู้สืบทอดรุ่นที่สามรึคงจะยาก! การจะมาเป็นผู้สืบทอดรุ่นที่สามนั้น คงเป็นไปไม่ได้หากว่าขาดความสามารถ และความมุ่งมั้น งั้นนี่ละที่ผู้สืบทอดขั้นที่สองอย่างข้าหน่ะโชคดีกว่าเจ้า ผู้สือบทอดรุ่นที่สาม ”
จริงๆแล้ว คำพูดของจวินวู้อี้เป็นวลีที่ตอบโต้คำพูดว่า อยู่อย่างไร้ประโยชน์เพื่อรอวันตายของ ของจวินเซี่ย แต่ในระหว่างที่เขาพูดอยู่ ความรู้สึกเศร้าสร้องก็มาเกาะกุมหัวใจของเขา หรือนี่จะเป็นจุดจบของตระกูลจวินจริงๆ? ตระกูลที่ครั้งหนึ่งเคยเติบโตอย่างโดดเด่น ที่ตอนนี้มันได้ตกต่ำอย่างที่สุดแล้ว! พี่หนึ่งและสองของเขาโดนสังหารภายในสงคราม ส่วนตัวเขานั้นเป็นอัมพาต(ง่อยแดก) หลานที่เป็นความหวังสองคนของเขาสองคนก็ตายห่าไปในสงครามโดยที่หาร่างไม่พบ ผู้สืบทอดสายเลือดจวินเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ก็เป็นไอปัญญาอ่อนจวินโม่เซี่ยนี่อีก !
พอถึงจุดนี้ จวินวู้อี้รู้สึกว่าตัวเขาไม่สนใจอะไรแล้ว ไม่มีความแข็งแกร่งพอที่จะเอ่ยอะไรอีกแล้ว
ในตอนนั้นจวินเซี่ยยังเงียบอยู่ ก่อนที่จะยิ้มและหัวเราะออกมา
“ จริงๆแล้ว ข้าสามารถเป็นผู้สืบทอดรุ่นสองได้น่ะ ”
นี่จวินเซี่ยไม่เข้าใจควำพูดของจวินวู้อี้หรอกรึ ? ที่พูดออกมาอย่างนั้นเขาต้องการอะไรจากจวินวู้อี้กันแน่ ?
จวินวู้อี้ที่กำลังเมินเฉยอยู่นั้นก็ได้กระแอมออกมาสองครั้ง ด้วยความสนใจเล็กน้อย แต่ก็ถามขึ้นอย่างเฉยชา
“ หือ ? ”
“ ถ้าอาสามมาเป็นร่มเงา และให้ความคุ้มครองข้า แล้วทำไมข้าจะมาเป็นผู้สืบทอดรุ่นที่สองไม่ได้เล่า ? ”
จวินเซี่ยยิ้ม
ประกายของความเดือดดาล ปรากฏขึ้นในแววตาของ จวินวู้อี้ในระหว่างที่เขาถามด้วยเสียงต่ำ
“ โม่เซี่ย เจ้าดูถูกข้ารึ ? ”
จวินเซี่ยเพ่งมองไปที่น้าสาม และถามขึ้นมา
“ ขาของท่านยังมีความรู้สึกอยู่อีกไหม ? ”
“ ไม่ ! ”
จวินวู้อี้ ค้อนดังควับ (คอหักแล้วมั้งหน่ะ ) ความรำคานต่อหลานคนนี้ได้เพิ่มมากขึ้นภายในหัวใจเขา จวินโม่เซี่ย รู้อย่างชัดเจนว่าเขาเกลียดการพูดถึงความพิการของเขา และแน่นอน เด็กเหลือขอนั่นกระตุ้นมันขึ้นมา หลังจากนั้น เขาก็พูดอ้อมๆ แต่ก็มีความสงสัยจริงๆเกิดขึ้นบนใบหน้าเขา เด็กรุ่นหลังเหล่านี้ไม่รู้ว่าจะแสดงความเคารพแก่ผู้อาวุโสของเขายังไง แต่พวกเขาก็ยังดี !
“ เอวของท่านเคยหักมาก่อนไหม ? ”
“ ไม่เฟ้ย ! ”
จวินวู้อี้ระเบิดความโกรธออกมา
“ ไอระยำ ! ถ้าเอวข้าหัก ข้าจะอยู่มาถึงทุกวันนี้หรอ ? ”
“ งั้นจะบอกว่า เส้นลมปราณท่านของท่านแค่โดนทำลาย ? หรือว่าจริงๆแล้วท่านยังขยับได้ ? ”
แววตาของจวินเซี่ยเปล่งประกาย มันดูเหมือนว่ามีใครบางคนสกัดเส้นลมปราณของเขาไว้ หรือไม่ก็ สกัดมันด้วยพิษ ที่ทำให้มันหดและแห้ง ถ้าเป็นอย่างนั้น ตราบใดที่เส้นเลือดหรือลมปราณยังไม่หายไป เขาก็ยังคงมีความหวัง ด้วยความรู้ทางยาของจวินเซี่ย มันก็ยังมีโอกาศที่จะฟื้นฟูได้ นอกจากนั้น ชายคนนี้ก็ยังเป็นผู้ร่วมสายเลือดเดียวกับเขาในโลกนี้ และเขาต้องประทับใจในตัวของจวินเซี่ยแน่นอน บุรุษเหล็กผู้นี้ที่มีพลังแห่งการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง
ในความคิดของจวินเซี่ย ด้วยความสามารถที่เขามี จะสามารถที่จะรักษาให้ บุรุษเหล็กผู้นี้กลับมายืนได้อีกครั้ง แม้ว่าจะไม่ใช่น้าแท้ๆของเขาเองก็ตาม !
จวินเซี่ยมองไปที่เขา และถามอย่างๆช้า
“ ข้าได้ยินมาว่าท่านได้รับบาดเจ็บมาจากสงคราม แต่มันคงง่ายกว่าหากสังหารท่านไปเสีย แทนที่จะมาทำอย่างนี้ แล้วทำไมพวกเขายังทำอีกละ ? ดูเหมือนว่า ที่สัตรูของท่านทำอย่างนี้ เพราะว่าพวกเขาอยากจะให้ท่านมีชีวิตอยู่อย่างทุกข์ทรมารสิน่ะ ? ”
คำพูดนั้นเหมือนจี้จุดตรงไปยังความโกรธของเขา ทำให้จวินวู้อี้ถึงกับกัดฟันจนเส้นเลือดดำที่หน้าผากเต้น ตุบๆ หายใจเข้าทางปากลึกๆ เพื่อควบคุมตัวเองก่อนที่จะตอบ
“ แล้วมันสำคัญอะไรกับแก ? ”
นั่นเป็นจริงตามที่เขาคาด จวินเซี่ยเดินไปข้างหน้า แล้วเอามือจับไปที่ วีลแชร์ และถาม
“ อาสาม ท่านอยากจะแก้แค้นไหม ? ”
“ ดูข้าตอนนี้สิ จะให้ข้าพูดถึงเรื่องการแก้แค้นงั้นหรือ ? ”
สีหน้าของจวินวู้อี้แดงก่ำ หน้าสั่น แววตาเต็มไปด้วยความโกรธ เวลาผ่านไปนาน เขาก็ถอนหายใจ
“ ตอนนี้ข้าเป็นแค่คนพิการง่อยแดกเนี่ย ! ”
จวินเซี่ยยิ้มอย่างสุภาพ
“ แล้วถ้าข้าสามารถทำให้ท่านกลับมายืนได้อีกครั้งละ อาสาม ? ”
ประโยคนี้ เป็นราวกับ เสียงฟ้าร้องสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นที่เข้ามาในหูของเขา!
Translate by iHaveNoName