ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปเมื่อหลินเฟิงขี่ม้ามาถึงอาณาเขตของตระกูลหลิน ทำให้เขาเป็นที่ดึงดูดของสมาชิกตระกูลหลินเป็นจำนวนมาก
“หลินเฟิงกลับมาแล้ว ข้าสงสัยจริงๆว่าตอนนี้การบ่มเพาะพลังของเขาถึงระดับไหนแล้ว?”
“เห ~ เขากลับมาแล้ว แต่ผลลัพธ์ยังไงก็ยังเป็นเช่นเดิม : พ่อของเขา และเขาจะต้องอับอายขายหน้าในการประชุมประจำปีครั้งนี้ ลูกชาย และลูกสาวของผู้อาวุโสล้วนมีศักยภาพอย่างเหลือเชื่อในตอนนี้ แม้หลินเฟิงจะบรรลุขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 7 แล้วก็ตาม แต่ยังไงเขาก็ยังคงอ่อนแอ”
“ใช่แล้ว เศษขยะที่สามารถทำให้หลินหยุนบาดเจ็บ แต่หลินหยุน เทียบได้กับผู้ฝึกฝนที่มีพรสวรรค์ภายในตระกูลหลิน ถ้าข้าเป็นเขา ข้าคงจะซ่อนตัวอยู่ในนิกาย และไม่ออกมาอีก ”
สมาชิกตระกูลหลินหลายคนนินทาอย่างเงียบๆ เพราะพวกเขาไม่ต้องการลบหลู่ประมุขตระกูล สมาชิกส่วนใหญ่ของตระกูลแอบหัวเราะเยาะหลินเฟิง แม้ว่าหลินเฟิงจะมีสถานะเป็นบุตรของประมุขตระกูลก็ตาม แต่ยังไงเขาก็เป็นเพียงแค่เศษขยะ
ในขณะนั้นหลินเฟิงได้มาถึงที่พักของประมุขตระกูลแล้ว ถึงแม้ขนาดของมันจะไม่ใหญ่มากนัก แต่มันก็แข็งแรง และสะอาดสะอ้าน ที่แห่งนี้คือที่ที่พ่อของเขา และเขาได้รับอนุญาตให้อยู่อาศัย
“ท่านพ่อ” หลินเฟิงกล่าวเมื่อเขามาถึงห้องของหลินไห่ เขาเห็นพ่อของกำลังนั่ง และดูเหมือนกำลังวาดภาพอยู่
“หลินเฟิงน้อย เจ้ากลับมาแล้ว” หลินไห่กล่าวขณะยกศีรษะขึ้น เขาวางภาพที่เขาวาดลงไว้ด้านข้าง และยิ้มอย่างอบอุ่นไปที่หลินเฟิง
“ใช่ การประชุมประจำปีที่จะเกิดขึ้นในอีก 7 วัน ข้ากลับมาเพื่อร่วมประชุมกับคนอื่นๆที่ถูกส่งไปยังนิกายต่างๆ” หลินเฟิงพูดสรุป และมองไปที่ภาพวาดที่พ่อของเขาวางอยู่ข้างๆ ในความทรงจำของเขาในอดีตจากหลินเฟิงคนก่อนเขารู้ว่าหลินไห่ชอบความสงบ และหลงไหลศิลปะ เขาไม่ชอบที่ถูกคนอื่นรบกวนเมื่อเขากำลังวาดภาพ แต่อย่างไรก็ตามหลินเฟิงไม่เคยเห็นภาพวาดของหลินไห่เลยแม้แต่ครั้งเดียว
“หลินเฟิงน้อย เจ้าไม่ควรเข้าร่วมการประชุมประจำปีครั้งนี้” หลินไห่กล่าวพร้อมกับส่ายหัว
“ท่านพ่อ เพราะเหตุใดข้าถึงเข้าร่วมไม่ได้?”
“การประชุมประจำปีครั้งนี้ พวกเขาตั้งหน้าตั้งตารอให้พวกเราอับอายขายหน้า ข้าไม่สนใจพวกมัน แต่เจ้าควรระมัดระวังตัวไว้ หลินเฟิงน้อย” หลินไห่กล่าวขณะถอนหายใจ พี่น้องของหลินไห่ทั้ง 2 คน และพวกญาติๆ หรือแม้แต่ผู้อาวุโสบางคน ได้เริ่มวางแผนเพื่อที่จะทำให้หลินไห่สละที่นั่งประมุขตระกูลแล้ว
“ไม่ต้องกังวล ท่านพ่อ ข้าจะต้องไม่เป็นไร” หลินเฟิงกล่าวขณะส่ายหัว เขาได้ทะลวงผ่านขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 9 แล้ว แม้ว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับคนอื่นๆที่แข็งแกร่งกว่าเขา ในระหว่างการประชุมประจำปี และต้องการทำให้เขาอับอายขายหน้า หลินเฟิงจะตอบแทนพวกมัน ไม่มีใครที่อยู่ขอบเขตพลังปราณอยู่ในสายตาของหลินเฟิง
“หะ?” หลินไห่รู้สึกประหลาดใจกับปฏิกิริยาของลูกชายเขา และจ้องมองลึกเข้าไปนัยน์ตาของหลินเฟิง
“ฮ่าฮ่าฮ่า ถ้าลูกอยากจะไป ก็ไปเสียเถิด พวกเราจะไปการประชุมประจำปี และทำให้พวกมันเห็นว่าการที่จะทำให้ข้าสละที่นั่งประมุขมันไม่ใช่เรื่องง่าย”
“แต่ หลินเฟิงน้อยเจ้าจะต้องระมัดระวังให้มาก ในระหว่างการประชุมประจำปี ข้าได้ยินมาว่า หลินเชียน ได้บรรลุขอบเขตจิตวิญญาณแล้ว นางจะต้องไม่ให้พ่อของนางเสียหน้าอย่างแน่นอนในระหว่างการประชุมของผู้อาวุโส”
“มันไม่ใช่ข่าวลือแต่อย่างใด นางได้บรรลุขอบเขตจิตวิญญาณแล้ว แต่ข้าจะไม่มีทางปล่อยให้นางทำร้ายข้าได้อย่างง่ายดาย” หลินเฟิงกล่าว นัยน์ตาของเขาปรากฏจิตสังหารที่เล็ดลอดออกมา เพราะหลินเชียนเดินทางมาที่นิกายหยุนไห่เพื่อที่จะฆ่าเขา ก่อนที่นางจะออกไปจากนิกายหยุนไห่ นางได้ข่มขู่เขาว่าถ้าพบกันอีกในการประชุมประจำปีนางจะฆ่าเขา หลินเฟิงอยากจะรู้จริงๆว่าหลินเชียนจะมีแผนการอะไรในระหว่างการประชุม
“ท่านพ่อ ข้าจะกลับไปฝึกฝนก่อน ข้าจะมาในวันที่การประชุมประจำปีเริ่มขึ้น” หลินเฟิงกล่าวพร้อมกับเดินจากไป แม้ว่าหลินเฟิงจะไม่ได้อ่อนแอ แต่หลินเชียนมีจิตวิญญาณน้ำแข็งและไฟ ซึ่งมันไม่ง่ายที่จะจัดการนาง มันจะเป็นการดีกว่าถ้าเขาใช้ช่วงเวลาสั้นๆ ฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถึงแม้ความแข็งแกร่งจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยแต่อาจจะช่วยชีวิตเขาได้
ในขณะนั้น ด้านนอกย่านที่อยู่อาศัยของตระกูลหลิน มีลูกม้ากำลังวิ่ง พร้อมกับเปลวเพลิงล้อมรอบตัวมัน หลินเชียนกำลังขี่ม้าอยู่บนหลังลูกม้าเปลวเพลิง นางสวมเสื้อคลุมสีแดงซึ่งตรงกับสีของลูกม้า และทำให้นางดูราวกับเป็นขุนนางที่ร่ำรวยมาก ท่าทางที่งดงามของนางในขณะนี้จะทำให้ทุกคนไม่สามารถพูดคำหยาบคายกับนางได้ นางเหมือนราชินีที่กำลังมองลงไปที่ฝูงชนอันต่ำต้อยด้วยความรังเกียจ
“เชิญขอรับ คุณหนูหลินเชียน” ยามเฝ้าประตูทางเข้ากล่าวกับนางอย่างสุภาพ พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะมองหลินเชียน ความสง่างามของนางทำให้พวกเขารู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า พวกเขารู้ว่านางมีตำแหน่งสูงส่งภายในตระกูล
หลินเชียนไม่เหลือบตามองแม้แต่น้อย และเข้าไปยังย่านที่อยู่อาศัยของตระกูลหลินทันที นางดูหยิ่งมากราวกับนางคิดว่าตัวเองเป็นเชื้อพระวงศ์ ข้างๆนางมีคน 2 คนที่สวมชุดคลุมของนิกายห้าวเย่วเดินตามนางไปยังย่านที่พักตระกูลหลิน
“คุณหนูไม่เคยมีท่าทีเช่นนี้มาก่อน ท่านดูงดงามขึ้นมากตั้งแต่ข้าจำความได้ และดูสง่างามมากขึ้นด้วย คุณหนูหลินเชียนไม่เหมาะที่จะอยู่ตระกูลหลินเลยจริงๆ” ยามที่เฝ้าประตูทางเข้าคนหนึ่งกล่าว ขณะที่จ้องมองนางเดินเข้าไปในย่านที่พักตระกูลหลิน
“แน่นอน ท่านได้บรรลุขอบเขตจิตวิญญาณแล้ว ท่านแข็งแกร่ง และสวยงามขึ้นมาก…. และคุณหนูหลินเชียนมีอายุแค่ 16 ปีเท่านั้น ท่านมีอนาคตที่สดใสรออยู่ ท่านดูดีกว่าเศษขยะที่เรียกตัวเองว่านายน้อยเสียอีก และสหายของนางดูแข็งแกร่งมาก พวกเขาจะต้องเป็นศิษย์ภายในของนิกายห้าวเย่วอย่างแน่นอน” ยามอีกคนหนึ่งกล่าว ในสายตาพวกเขาหลินเฟิง และหลินเชียน ต่างกันราวฟ้ากับเหวที่เปรียบเทียบกันมิได้
หลินเชียน และศิษย์อีก 2 คนของนิกายห้าวเย่วมาถึงย่านที่อยู่อาศัยในพริบตา ด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อของพวกเขา ผู้คนตื่นตระหนกมากกว่าที่เห็นหลินเฟิงมาที่นี่เสียอีก สมาชิกของตระกูลหลินบางคน หรือแม้แต่ผู้อาวุโสมุ่งหน้าไปยังสวนในบ้านของหลินป้าเต้าที่เขาอาศัยอยู่เพื่อแสดงความเคารพนับถือ อนาคตที่สดใสกำลังรอคอยหลินเชียนอยู่จึงเหมาะที่พวกเขาจะกระทำเช่นนี้
นั่นคือเหตุผลที่หลายๆคนในตระกูลต้องการดันหลินป้าเต้าเป็นประมุข ด้วยวิธีนี้หลินเชียนก็จะมีอำนาจมากขึ้น และนางจะได้หน้าเป็นตาให้ตระกูล คนพวกนี้ช่วยหลินป้าเต้า เพราะเขารอที่จะได้รับความเมตตาจากลูกสาวของเขาในอนาคต
เมื่อเทียบกับย่านที่อยู่อาศัยที่หลินเชียนอาศัยอยู่ กับที่พักของหลินเฟิง ที่พักของหลินเฟิงมันดูอ้างว้าง และดูโดดเดี่ยว แต่อย่างไรก็ตามหลินเชียนไม่ลืมสัญญาณที่นางได้บอกกับหลินเฟิง นางเหลือบมองไปในทิศทางที่หลินเฟิงอาศัยอยู่ พร้อมกับจิตสังหารในนัยน์ตาของนาง สายตาของนางแหลมคมราวกับดาบ
“ครั้งนี้ ข้าจะดูแลให้ความสำคัญกับเจ้าเป็นอย่างดีเลย” หลินเชียนกล่าวขณะจ้องมองไปที่ที่หลินเฟิงอาศัยอยู่ ด้วยรอยยิ้มอันชั่วร้าย
สองวันต่อมา ลูกชายคนโตของหลินป้าเต้า หลินหง ได้เดินทางกลับมายังตระกูลเช่นกัน หลินหงกำลังฝึกฝนอยู่ในหมู่บ้านบนภูเขาที่ชื่อว่า หมู่บ้านเงาหิมะ หมู่บ้านเงาหิมะไม่ใช่นิกาย แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่ด้อยไปกว่านิกายใหญ่ๆ และมีชื่อเสียงมากในอาณาจักรเงาหิมะ นอกจากนี้หมู่บ้านเงาหิมะจะรับเฉพาะผู้บ่มเพาะพลังที่มีจิตวิญญาณหิมะ และน้ำแข็งเท่านั้น
การบ่มเพาะพลังของหลินหงพัฒนาอย่างมากตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เขาอยู่ในตระกูลหลิน อย่างกับก้าวกระโดด เขาทะลวงผ่านขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 9 แล้วเหลือเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้นเขาก็จะสามารถบรรลุขอบเขตจิตวิญญาณ ผู้คนในตระกูลหลินต่างตื่นเต้นที่จะมีคนมีพรสวรรค์เช่นนี้ในหมู่คนรุ่นเยาว์ ดูเหมือนว่าอนาคตของตระกูลทั้งหมดจะอยู่ภายใต้การควบคุมของหลินป้าเต้าอย่างสมบูรณ์
นอกจากหลินหง ยังมีสมาชิกรุ่นเยาว์คนอื่นๆกำลังเดินทางกลับตระกูล พวกเขาเป็นตระกูลสาขาต่างๆที่อยู่ภายในตระกูล เพราะการประชุมประจำปีกำลังใกล้เข้ามาแล้ว
บ้านของหลินป้าเต้ามีผู้คนมาเยี่ยมเยือนอยู่บ่อยครั้งมาก ทำให้ลานบ้านของเขาราวกับเป็นตลาด ทำให้เขาดูเหมือนกับเป็นประมุขตระกูลหลินเรียบร้อยแล้ว แต่ในทางกลับกัน กับไม่มีผู้ใดมาเยี่ยมเยียนบ้านของหลินไห่ผู้ที่เป็นประมุขที่แท้จริงของตระกูล รอบๆบ้านของเขารกร้างมาก ไม่มีใครสนใจที่จะมาเยี่ยมเยียนเขา และให้เกียรติเขาแบบหลินป้าเต้า
ในที่สุดการประชุมประจำปีกำลังจะเริ่มขึ้น ทุกคนที่เป็นสมาชิกของตระกูลหลินรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก พวกเขาสงสัยว่าคนรุ่นเยาว์ในตระกูลของพวกเขาจะพัฒนาไปไกลมากขนาดไหนขณะที่ออกไปฝึกฝนนอกตระกูล และจะมีการตัดสินว่าหมู่คนรุ่นเยาว์พวกนี้จะอยู่ในกลุ่มใด โดยจะมีการแบ่งกลุ่มเป็น อ่อนแอ , ปานกลาง และแข็งแกร่ง หลายคนสงสัยว่าลูกๆของพวกเขาจะดีพอที่จะติดอันดับภายในตระกูล พวกเขาแอบหวังว่าลูกหลานของพวกเขาจะอยู่ในการจัดอันดับที่แข็งแกร่ง มันจะรับประกันว่าพวกเขาจะมีอนาคตที่ดีภายในตระกูล ในระหว่างการแข่งขันผลการแข่งขันทั้งหมดจะประกาศต่อสาธารณชน
การประชุมประจำปีเป็นหนึ่งวันที่มีการเฉลิมฉลองและมีความสุขมากที่สุดภายในตระกูลต่างๆ เนื่องจากเป็นวันที่จะแสดงให้เห็นถึงอนาคตของตระกูล พรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมในหมู่คนรุ่นเยาว์จะทำให้ตระกูลมีศักดิ์ศรี และเกียรติยศมากขึ้นในอนาคต
สามเดือนที่แล้ว มีผู้คนบางคนต้องการให้หลินไห่สละที่นั่งประมุข แต่หลินไห่แข็งแกร่งเกินไป ทำให้พวกเขาหวาดกลัว แต่ว่าในระหว่างการประชุมประจำปีครั้งนี้ พวกเขาจะมีความกล้ามากกว่าปกติ เพราะหลินเชียนจะเป็นคนพิสูจน์ว่าอนาคตของตระกูลคู่ควรกับหลินป้าเต้า สมาชิกของตระกูลหลินบางคนมีสหายจากตระกูลต่างๆ พวกเขาได้เข้าร่วมเพื่อมาเป็นพยานกับเหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้น
หลินเฟิงออกมาจากห้องพร้อมกับเหยียดแขนเหยียดขา เขาหายใจเข้าลึกๆ และใช้เวลาชื่นชมดวงอาทิตย์ในท้องฟ้า
หลินเฟิงไม่คิดว่าวันนี้จะต่างไปจากวันอื่นๆ สถานะของประมุขตระกูล หลินเฟิงไม่ได้สนใจ สิ่งที่เขาใฝ่หาคือจุดสูงสุดบนเส้นทางแห่งการบ่มเพาะพลัง เฉพาะผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่จะสามารถเรียกร้องความสนใจจากผู้อื่นได้ ประมุขตระกูลเป็นเพียงแค่ชื่อ ถ้ามีคนที่แข็งแกร่ง และมีพลังมากพอ ก็จะไม่มีใครสามารถต่อต้านเขาได้ แล้วใครจะกล้าฝ่าฝืน?
หลินเฟิงรู้ว่าพ่อของเขาไม่ได้สนใจเรื่องนี้เช่นกัน หลินไห่ไม่ได้ถูกอำนาจและอิทธิพลดึงดูด มิฉะนั้นเขาคงจะไม่เงียบสงบ และเยือกเย็นจากเหตุการณ์ดังกล่าว หากตระกูลหลินไม่ได้จัดกิจกรรมสำคัญเช่นนี้ขึ้น เขาคงไม่ปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนเขาคงจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆนาๆ และพยายามให้เขาสละที่นั่งประมุข
“หลินเฟิงน้อย เจ้าฝึกฝนเสร็จแล้วหรือยัง” หลินไห่กล่าว และเดินไปหาหลินเฟิง เขาตั้งใจจะปลุกหลินเฟิงจากการทำสมาธิ
“ใช่ ข้าฝึกเสร็จแล้ว” หลินเฟิงกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
“ถ้างั้นไปกันเถอะ”
พวกเขาสองพ่อลูกไปการประชุมประจำปีพร้อมกัน
จำนวนผู้เข้าร่วมการประชุมประจำปี มีสมาชิกของตระกูลหลินเข้าร่วมจำนวนมาก พวกเขามาถึงที่นี่ก่อนที่การประชุมจะเริ่มขึ้น พวกเขาทุกคนล้วนตื่นเต้นกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น เมื่อหลินเฟิง และหลินไห่มาถึงที่ประชุมประจำปี เหล่าผู้คนเริ่มจ้องมองพวกเขา ทุกคนมีการแสดงออกสีหน้าที่แตกต่างกันไป แต่ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนแสดงออกแนวเยาะเย้ย หรือดูถูก
“นั่นมันหลินเฟิงนี่”
หลานคนจ้องมองไปที่หลินเฟิงอย่างเย็นชา การบ่มเพาะพลังของหลินเหิงถูกทำลายโดยหลินเฟิง เช่นเดียวกับ หลินหยุน หลินเชียน หลินอวี่ และแน่นอน นอกจากนี้ยังมีลุงสามของหลินเฟิง หลินห้าวหราน ลูกชายสองคนของหลินห้าวหราน คือ หลินหยุน ผู้ซึ่งได้รับความอัปยศจากหลินเฟิง และหลินเหิงผู้ที่ถูกทำลายการบ่มเพาะพลังโดยหลินเฟิง ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องง่ายที่จะบอกว่าใครเป็นคนที่เกลียดหลินเฟิงมากที่สุดในตระกูลหลิน
เขาไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างหลินเหิง และหลินเฟิง นอกจากนี้เขาไม่ต้องการเห็นพ่อของหลินเฟิงที่ภูมิใจกับแผนการที่ทำให้หลินเหิงเป็นคนพิการ และทำลายจุดยืนของหลินห้าวหรานภายในตระกูล