ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปหลินไห่และหลินเฟิงมุ่งตรงไปยังเวทีขนาดใหญ่ ข้างบนนั้นมี หลินป้าเต้า, หลินฉาง, หลินห้าวหราน และหลินเชียน พวกเขานั่งในที่ๆจัดไว้สูงกว่าคนอื่น ราวกับว่าเป็นผู้นำของตระกูลหลิน
เมื่อผู้อาวุโสหลินฉางเห็นหลินไห่และหลินเฟิงกำลังใกล้เข้ามา เขายืนขึ้นและพูดด้วยเสียงที่ชัดเจนว่า ” ในที่สุดพวกเจ้าก็มาถึง ตอนนี้พวกเราได้เวลาเริ่มการประชุมแล้ว “
เมื่อหลินไห่ได้ยินคำกล่าวของหลินฉาง เขาหยุดเดินและจ้องไปมองไปที่หลินฉาง ทุกคนจ้องมองไปที่หลินไห่ซึ่งกำลังสงสัยว่าหลินฉางทำอะไรผิด
“หลินไห่ มีอะไรผิดปกติหรือ เจ้ากำลังจะทำอะไร?” หลินฉางถามหลินไห่ที่หยุดเดิน
“เหอะ หลินป้าเต้า ข้าต้องการที่จะถามเจ้า ใครกันแน่คือผู้นำตระกูลหลิน?” หลินไห่ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
หลินป้าเต้าสั่นเล็กน้อย แต่เขาก็ยังอยู่ในท่าทีสงบ ” แน่นอน เป็นเจ้าหลินไห่ ”
“ข้ายังมีคำถามอื่นสำหรับเจ้า ที่นี่ใช่การประชุมประจำปีหรือไม่?”
หลินไห่มองตรงเข้าไปนัยน์ตาของหลินฉาง
“แน่นอน การประชุมประจำปีเป็นงานที่สำคัญที่สุดในทุกๆปี “
“ถ้างั้นก็ดี ข้ายังมีอีกคำถาม ใครเป็นผู้รับผิดชอบจัดงานสำคัญเช่นนี้?”
ใบหน้าของหลินฉางเริ่มหมดหวังเมื่อได้ยินคำถามของหลินไห่ เห็นได้ชัดว่าหลินไห่ต้องการจะสื่อความหมายอะไรในคำถามเหล่านี้
“ผะ ผู้นำตระกูลเป็นผู้รับผิดชอบ”
“ข้าเข้าใจดีว่าทุกอย่างควรที่จะถูกดูแลโดยหัวหน้าตระกูล หลินฉางข้าอยากจะถามเจ้า เจ้าคิดว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่ที่นี่?… ข้ายังคงเป็นผู้นำตระกูลหลินอยู่ใช่หรือไม่?” หลินไห่เปลี่ยนเป็นท่าทีรุนแรง
ทั้งหลินฉางและหลินป้าเต้าจับมือกันเพื่อกดดันให้หลินไห่ลงจากเก้าอี้ผู้นำตระกูล มันไม่ได้เป็นความลับและถูกดำเนินการมาเป็นเวลานานเกือบทุกคนในตระกูลหลินทราบเรื่องนี้ดี หลินฉางกลายเป็นใบ้มากขึ้นเรื่อยๆ วันนี้เขาได้ประกาศเริ่มงานโดยที่ไม่รอให้หลินไห่นั่งด้วยซ้ำ
” ฮิฮิ ท่านลุง ท่านเองไม่ใช่หรือที่มาสาย ผู้อาวุโสที่นับถือนั้นทำในสิ่งที่เขาควรจะทำ มันผิดด้วยหรือที่เป็นหน้าที่ของเขา? ท่านลุงนี่ไม่เข้าใจอะไรเสียเลย” หลินเชียนกล่าวด้วยท่าทีเป็นกลาง
“หุบปาก!!” หลินไห่ตะโกนพร้อมกับปลดปล่อยความโกรธออกมา ” เจ้ากล้าพูดขัดผู้นำตระกูลทั้งๆที่ข้ากำลังพูดอยู่? หลินป้าเต้า ดูแลบุตรสาวเจ้าให้ดี … นางคงได้รับการสั่งสอนที่ไม่ได้เรื่องจวบจนตอนนี้?”
ใบหน้าของหลินเชียนบิดเบี้ยนไปด้วยความโกรธ นางคิดดูถูกหลินไห่มาตลอด ผู้ชายคนนั้นไม่ได้เป็นผู้นำตระกูลมานานแล้วสำหรับนางและเขายังกล้าตะหวาดนาง?
“อย่างน้อยนางก็ยังแข็งแกร่งกว่าลูกชายเจ้า ไอเศษขยะนั้นก็ควรได้รับการอบรมณ์ที่ดีเช่นกัน” หลินป้าเต้ากล่าวขณะที่จ้องมองไปยังหลินเฟิงด้วยสายตาที่เยาะเย้ย ทุกคนในตระกูลหลินยินดีให้การต้อนรับหลินเชียนเพราะความสำเร็จของนาง หลินไห่จะกล้าทำร้ายนางได้เยี่ยงไร?
“ดูคำพูดของท่าน ตระกูลเล็กๆอย่างตระกูลหลิน ในสายตาของนิกายห้าวเย่ว ไม่นับเป็นตัวตนที่ทรงพลังอันใด ” หญิงสาวผู้หนึ่งที่มาจากนิกายห้าวเย่วที่นั่งถัดจากหลินเชียนกล่าวอย่างเย็นชา นางสวมเสื้อคลุมอันสวยงาม แม้ว่านางจะไม่ได้งดงามเหมือนหลินเชียน แต่นางก็ถือเป็นศิษย์ภายในของนิกายห้าวเย่ว นางไม่ค่อยพอใจกับตระกูลหลินและไม่เชื่อว่ามันเป็นการคุ้มค่าที่เชิญนางมา
“เจ้ากำลังกล่าวว่านิกายห้าวเย่วของเจ้าเป็นที่วิเศษวิโส แต่ทำไมเจ้าถึงยังนั่งอย่างเท่าเทียมกับคนของตระกูลหลิน? ดูเหมือนว่าพ่อของข้าซึ่งเป็นผู้นำตระกูลยังไม่เคยเชิญชวนเจ้ามาที่นี่ด้วยซ้ำ เจ้านี่ช่างไร้ยางอายเสียจริง ดูเหมือนคนจากนิกายห้าวเย่วจะเป็นเหมือนๆกันหมด” หลินเฟิงผู้ซึ่งสงบเงียบจนถึงเมือครู่กล่าวออกมาอย่างรุนแรง เขาไม่สามารถที่จะอดทนได้อีกจึงเลือกที่จะเปิดปากออกมา ใครจะสามารถแข่งขันกับหลินเฟิงได้ในเมื่อเขาก็ถือเป็นเชาวน์ปัญญาคนหนึ่ง? เขาเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ถึงสองชีวิต ในโลกนั้นภาษามีความหมายลึกซึ้ง
“เจ้า… ” การแสดงออกของหญิงสาวเปลี่ยนไป นางยิ้มอย่างเย็นชาและกล่าว ” เศษขยะจากนิกายหยุนไห่กล้าที่จะพูดจาใหญ่โต ”
“การที่ข้าเป็นเศษขยะนั้นไม่ใช่ปัญหาในตอนนี้ อย่างน้อยข้าก็มีเกียรติและความยุติธรรม ไม่เหมือนใครบางคน ที่มาเยือนตระกูลของคนอื่น และดูถูกพวกเขา เหล่าศิษย์ของนิกายห้าวเย่วเป็นแบบนี้ทั้งหมดเลยหรือ? ”
ขณะที่หลินเฟิงกำลังเยาะเย้ย ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปในทันที
“เจ้าสัตว์เดรัจฉาน กล้าดียังไงดูถูกนิกายห้าวเย่ว!” ผู้อาวุโสยื่นขึ้นและคำรามด้วยความโกรธ
“นี่เป็นเรื่องตลกอย่างแท้จริง นางยืนอยู่ท่ามกลางตระกูลหลิน และดูถูกพวกเรา แต่ท่านก็ยังคิดจะปกป้องนาง ข้าล่ะอยากถามท่านจริงๆ ผู้อาวุโสเจ็ด ตกลงท่านเป็นผู้อาวุโสของตระกูลหลินหรือเป็นสุนัขรับใช้ของนิกายห้าวเย่วกันแน่?”
คำพูดของหลินเฟิงเปรียบได้กับมีดที่แหลมคมและแทงใจดำเป็นอย่างมาก หลินเฟิงกล่าวอย่างรอบคอบและถามคำถามที่ผู้อาวุโสยากจะตอบ
“ลูกชายของข้ากล่าวถูกต้อง ข้าอยากที่จะถามท่าน ผู้อาวุโสเจ็ด แซ่ของท่านยังคงเป็นหลินอยู่หรือไม่?” หลินไห่ยังคงถามอย่างต่อเนื่อง เขารู้สึกประหลาดใจอย่างมากเช่นกันในตอนนี้ ลูกชายของเขามีความก้าวหน้าไม่มากนักในเส้นทางการบ่มเพาะ แต่วิธีการพูดของเขานั้นน่ากลัวยิ่งนัก คำพูดของหลินเฟิงเปรียบได้กับคมมีดเลยทีเดียว
“เอาล่ะ ข้าผิดเอง เจ้าเป็นผู้นำตระกูลจริงๆนั่นแหละ การประชุมในครั้งนี้สำคัญเป็นอย่างมากไม่อาจจะล่าช้าได้ ดังนั้นโปรดก้าวขึ้นมาและจัดการในฐานะผู้นำตระกูลหลิน” หลินฉางผู้ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากหลินป้าเต้ากล่าว มันราวกับว่าพวกเขาต้องการประนีประนอม แต่จริงๆแล้วพวกเขาต้องการจะดูว่าหลินเฟิงและหลินไห่จะก้าวร้าวได้สักเพียงใด
“เหอะ” หลินไห่ปัดแขนของเขาและเดินขึ้นไปบนเวทีท่ามกลางเหล่าชนชั้นสูงของตระกูลหลิน
“เจ้าจะยังภูมิใจได้อีกสักแค่ไหนกันเชียว? เจ้ากล้าที่จะดูถูกศิษย์ภายในของนิกายข้า หลินไห่ ข้าอยากให้เจ้าใส่ใจกับชะตากรรมของเศษขยะที่เจ้าเรียกว่าลูกชาย” หลินเชียนคิดกับตัวเอง
“เริ่มต้นการประชุมประจำปี ณ บัดนี้ ” หลินไห่มองไปยังเวทีที่สร้างขึ้นสำหรับการประลองระหว่างสมาชิกในตระกูล ตระกูลหลินมีสมาชิกราวๆ 500 คน มี 18 คนเป็นรุ่นเยาว์ที่อายุน้อยที่สุด และรุ่นเยาว์อีกประมาณ 70 คนถือเป็นบุคคลที่มีศักยภาพในยุคทองของตระกูลหลิน แต่น่าเสียดายที่มีสมาชิกบางกลุ่มที่ไม่รู้ว่าเป็นใครพยายามทำร้ายลูกชายของเขา ตระกูลหลินไม่ได้เป็นปึกแผ่น แต่ยังมีกลุ่มเล็กๆอีกหลายกลุ่มที่พยายามเพิ่มความแข็งแกร่งของพวกเขา ถ้าหลินไห่สละตำแหน่งผู้นำมันจะเป็นความผิดพลาดและผลักดันให้ตระกูลเกิดความวุ่นวาย
หลินไห่รู้สึกขมขื่น ทำไมเขาต้องกังวลเกี่ยวกับตระกูลหลินและอนาคตของพวกเขา?
“ท่านพ่ออย่างได้กังวล ข้าจะไม่ปล่อยให้ใครทำร้ายข้าได้ ” หลินเฟิงรู้สึกผิดเกี่ยวกับหลินไห่ พ่อของเขากล่าวบางอย่างบนเตียงที่ขณะที่เขากำลังจะตาย น่าเสียดายที่ไม่สามารถจับใจความมันได้
การประชุมประจำปีเป็นการทดสอบที่ยิ่งใหญ่สำหรับรุ่นเยาว์ของตระกูล เพื่อดูความคืบหน้าและคาดการณ์อนาคตของตระกูล
นอกจากนี้ยังมีการประลองบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับการประชุมประจำปีเพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของพวกรุ่นเยาว์
ผู้อาวุโสสองเดินขึ้นไปบนเวทีประลองปละกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ” รอบแรกของการประลองจะเป็นเช่นนี้: ทุกคนต้องขึ้นมาบนเวทีและผู้ที่เหลือรอด 32 คนสุดท้ายจะได้ผ่านเข้ารอบต่อไป ”
เมื่อผู้อาวุโสสองก้าวลงจากเวที เหล่ารุ่นเยาว์ของตระกูลหลินต่างมุ่งขึ้นไปบนเวทีประลอง
หลินเฟิงพยักหน้าให้กับพ่อของเขาหลินไห่ เขาก้าวเดินขึ้นไปบนเวเที
“ข้าไม่รู้ว่าหลินเชียนจะให้ความสำคัญกับข้าตั้งแต่รอบแรกเลยหรือไม่ ” หลินเฟิงผู้ยืนอยู่บนเวทีกำลังครุ่นคิด
สมาชิกรุ่นเยาว์ทั้ง 73 คนได้ขึ้นมาบนเวที ทุกคนระมัดระวังอย่างมากโดยเฉพาะผู้ที่อ่อนแอ พวกเขาถือว่าเป็นเป้าหมายง่ายๆสำหรับผู้ที่แข็งแกร่งที่จะลดจำนวนคู่แข็งลงอย่างรวดเร็ว
หลินเชียนยืนอยู่บนเวทีอย่างสงบนิ่ง รุ่นเยาว์หลายๆคนต่างยอมแพ้และก้าวลงจากเวที พวกเขาไม่กล้าที่จะท้าทายคนที่แข็งแกร่งกว่าตัวเอง เป้าหมายของรอบแรกคือการกำจัดคนที่อ่อนแอที่สุด ผู้ที่แข็งแกร่งจะไม่ค่อยถูกโจมตีเว้นแต่จะไปเอาปัญหาเข้าตัวเอง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลินเชียนเป็นหนึ่งในรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งที่สุดบนเวที หลายคนไม่สามารถที่จะต่อกรกับนางได้
ในทางกลับกันหลินเฟิงสังเกตได้ถึงหลายคนที่กำลังจ้องมองเขา พวกมันมีแววตาที่ดุร้ายเมื่อจ้องมองมายังหลินเฟิงราวกับมองดูทองคำด้วยความโลภ พวกมันทั้งหมดถือว่าเขาเป็นเป้าหมายที่ง่ายที่จะจัดการ
บางแห่งบนเวทีได้เกิดการต่อสู้ขึ้นแล้ว สมาชิกรุ่นเยาว์คนหนึ่งกวัดแกว่งหอกและพุ่งเข้าหาหลินเฟิง ทุกคนที่อยู่ใกล้เริ่มที่จะเข้าล้อมหลินเฟิง หลินเฟิงรู้ดีว่าพวกมันไม่คู่ควรให้เขาต้องเสียเวลา
” ไสหัวไป ลงจากเวทีไปซ่ะ ถ้าเจ้ายังอยู่ที่นี่พวกเราจะบังคับให้เจ้าต้องอับอาย!” หลินอู๋กล่าวด้วยความเกลียดชังที่มีต่อหลินเฟิง เขาเป็นลูกชายของผู้อาวุโสเจ็ดซึ่งถูกหลินเฟิงทำให้เสียหน้าและอับอาย
หลินอู๋บรรลุขั้นที่ 7 ขอบเขตพลังปราณเมื่อ 6 เดือนก่อน ด้วยการฝึกฝนอย่างนักเขาเกือบจะบรรลุขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 8 แล้ว ความแข็งแกร่งของเขาคล้ายคลึงกับหลินอวี่
“มันเป็นของข้า!”เสียงกล่าวที่เย็นชาราวกับธารน้ำแข็ง เป็นเสียงที่ทำให้หนาวไปถึงกระดูกสันหลัง หลินเฟิงมองเห็นหลินเชียนในชุดสีแดงที่ดูหยิ่งผยอง
“ดูเหมือนจะต้องเป็นอย่างนั้น” ถึงหลินอู๋จะไม่เห็นด้วยแต่ก็เปิดทางให้นาง
หลินเชียนก้าวไปหาหลินเฟิงและกล่าว ” อย่าได้กังวล ไม่มีใครสามารถแตะต้องเจ้าได้ในรอบแรก ถ้าเจ้าถูกเขี่ยออกเร็วเกินไป มันก็ไม่สนุกนะสิ ”
“หืม?” หลินเฟิงมึนงง เขาไม่คาดฝันว่าหลินเชียนจะปกป้องเขาและป้องกันไม่ให้เขาถูกเขี่ยทิ้งเร็วเกินไป นั่นเป็นเรื่องน่าขบขัน … แต่เขาก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร แน่นอนหลินเฟิงเข้าใจ หลินเชียนคิดว่าหากนางไม่ปกป้องหลินเฟิงตอนนี้ด้วยจำนวนผู้เยาว์ที่เขารายล้อมเขา หลินเฟิงจะต้องถูกเขี่ยออกจากเวทีอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตามในลองประลองแห่งชีวิตของนิหายหยุนไห่ หลินเฟิงได้มอบความพ่ายแพ้ให้กับนักสู้ขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 9 ด้วยกระบวนท่าเดียว
“หลินเชียนกำลังทำอะไร ทำไมนางถึงต้องปกป้องขยะอย่างมัน?” หลินฉางซึ่งกำลังเฝ้าดูความอัปยศของหลินเฟิงกล่าว เขาไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นและต้องการคำอธิบายจากหลินป้าเต้า
“เจ้าไม่คิดว่าการที่เห็นเจ้าขยะนั้นเข้าไปยังรอบที่ 2 เป็นเรื่องตลกหรอกหรือ? นอกจากนี้ในรอบที่ 2 ยังประกอบไปด้วยการต่อสู้ ทุกคนยังต้องต่อสู้กัน ในสถานการณ์แบบนั้นเจ้าคิดหรือว่าไอเศษขยะนั้นจะไม่เป็นอันตรายอะไรเลย? เราต้องรอให้ถึงรอบที่ 2 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความสนุก
” อ่าาา ข้าพลาดไปได้เยี่ยงไร? เป็นการประลองที่น่าสนุกจริงๆ” หลินฉางรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เขาสามารถจินตนาการได้ว่าหลินเฟิงจะกลายเป็นคนพิการแบบไหนในรอบที่ 2