I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Peerless Martial God ตอนที่ 32 หนึ่งหมัด

| Peerless Martial God | 2537 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
                

ครึ่งชั่วโมงต่อมา รอบแรกของการประลองเป็นการกำจัดสมาชิกที่อ่อนแอที่สุดในตระกูลออกไป ในที่สุดก็มาถึงบทสรุปของรอบแรก มีเพียงสมาชิก 32 คนที่ยังคงอยู่บนเวที คนที่ถูกกำจัดส่วนใหญ่อยู่ในขั้นที่ 5 หรือขั้นที่ 6 ของขอบเขตพลังปราณ และพวกเขาเหล่านี้ไม่แข็งแกร่งมากนักเมื่อเทียบกับศิษย์ที่มีพรสวรรค์คนอื่นๆภายในตระกูล นอกจากนี้ยังมีสมาชิกบางกลุ่มที่มาถึงขั้นที่ 7 ของขอบเขตพลังปราณ แต่ช่างโชคร้ายนักในระหว่างการต่อสู้ เขาถูกคัดออก เพราะถูกฝ่ายตรงข้ามหลายคนเข้ามาโจมตี และถูกโยนออกไปนอกเวทีโดยใช้จำนวนคนเข้าสู้

 

แต่ก็มีบางคนที่ยังไม่ได้ขยับนิ้วเลยแม้แต่น้อยในรอบแรก คือ หลินเชียน และพี่ชายของนางหลินหง , หลินอู๋ , หลินอวี่ และหลินเฟิง

 

“เห~ เจ้าช่างโชคดียิ่งนักที่หลินเชียนช่วยให้ผ่านไปในรอบต่อไป”

 

“ข้าสงสัยจริงๆว่าทำไมหลินเชียนถึงช่วยให้มันผ่านไปถึงรอบสอง”

 

หลินเฟิงถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆนาๆ แน่นอนความคิดเห็นของพวกเขาเหล่านี้ ต้องเกี่ยวกับเหตุผลที่เขาสามารถผ่านไปถึงรอบสองได้

ในการแข่งขันรอบที่ 2 นี้มีจำนวนผู้ผ่านมาถึงรอบนี้จำนวน 32 คน โดยจะแบ่งออกกลุ่ม 4 กลุ่ม กลุ่มละ 8 คน โดยแต่ละกลุ่มจะต้องสู้กับคนอื่นๆในกลุ่ม 7 คน คนที่เหลือ 2 คนสุดท้ายของแต่ละกลุ่มจะสามารถผ่านไปยังรอบที่ 3 ได้

 

อย่างแรก จะต้องตั้งกลุ่มขึ้น รายชื่อของแต่ละกลุ่มจะประกาศโดยผู้อาวุโสสอง และหลินเชียนได้ถูกใส่ชื่อไว้ในกลุ่มแรก

 

“หลินเฟิง,หลินเหยียน,หลินเถ่า,หลินเย่ว,หลินหราน ,หลินลี่,หลินฉ่ายจู ,หลินอวี่ พวกเจ้าทุกคนอยู่กลุ่มสี่”

 

เมื่อเขาได้ยินชื่อของคนที่อยู่ในกลุ่มสี่ ทำให้ผู้อาวุโสสามหัวเราะ “คนอ่อนแอที่สุดอยู่ในกลุ่มสี่ ด้วยความแข็งแกร่งของหลินอวี่ น่าจะไม่มีปญหา”

 

“หลินอวี่จะต้องครองตำแหน่งอันดับหนึ่งในกลุ่มที่สี่ได้อย่างแน่นอน” หลินป้าเต้ากล่าวอย่างมั่นใจ

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้ามาเดิมพันกับข้าไหม ถ้าหลินอวี่ต่อสู้กับหลินเชียน เขาจะต้องยอมแพ้ต่อนางอย่างแน่นอน” ผู้อาวุโสสามผู้ที่เห็นด้วยกับคนพูดของหลินป้าเต้ากล่าว

 

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าหลินเฟิงมันจะอยู่อันดับที่เท่าไหร่ในกลุ่มที่สี่” ผู้อาวุโสสามกล่าวอย่างเบาๆ โดยไม่มองหลินไห่แม้แต่น้อย

 

ขั้นตอนในการต่อสู้รอบที่ 2 จะแบ่งการต่อสู้ออกเป็น 4 รอบในแต่ละกลุ่ม โดยชื่อที่ประกาศจะต้องออกมาต่อสู้กันเป็นคู่แรกของแต่ละกลุ่ม

 

“กลุ่มแรก : หลินเชียน ปะทะ หลินหาน ; กลุ่มสอง: หลินหง ปะทะ หลินเลี่ย ; กลุ่มสาม: หลินอู๋ ปะทะ หลินเสี่ยว ; กลุ่มสี่: หลินเฟิง ปะทะ หลินเหยียน”

 

ผู้คนในฝูงชนล้วนตื่นเต้นเมื่อพวกได้ยินยินว่าใครต่อสู้กับใคร ในกลุ่มหนึ่ง ทุกคนจดจ่อการต่อสู้บนเวที มันราวกับว่าผู้อาวุโสสองได้ประกบคู่ด้วยด้วยตัวเอง

 

สมาชิกรุ่นเยาว์ที่อยู่ในกลุ่มแรกเป็นที่รู้จักกันดี ทำให้ไม่มีคนพูดคุยเกี่ยวกับหลินเชียน และพี่ชายของนาง หลินหง หลินอู๋ก็เป็นคนที่มีชื่อเสียงเช่นกันในบรรดาหมู่คนรุ่นเยาว์ แม้ว่าหลินเฟิงจะอ่อนแอแต่ฝูงชนก็รู้ว่าหลินเฟิงอ่อนแอขนาดไหน นั่นคือเหตุผลที่หลินเฟิงได้รับการคัดเลือกให้ออกมาต่อสู้เป็นคู่แรกของกลุ่ม ไม่ใช่หลินอวี่

 

หนุ่มสาวรุ่นเยาว์ในตระกูลทั้ง 8 คนอยู่ในพื้นที่ของตนบนเวทีขนาดใหญ่ คนที่ดึงดูดความสนใจจากฝูงชนมากที่สุดคือ หลินเชียน และหลินเฟิง พวกเขาอยากจะรู้ว่าหลินเชียนจะแข็งแกร่งขนาดไหน และพวกเขาก็อยากจะรู้ว่าหลินเฟิงอยู่ในขอบเขตพลังปราณขั้นไหน ผู้ซึ่งเป็นเศษขยะของตระกูลหลิน

 

“ข้ายอมแพ้” หลินหานกล่าวอย่างซื่อตรง ซึ่งสร้างความผิดหวังแก่ผู้คนจำนวนมากในกลุ่มฝูงชน แต่ก็มีหลายคนเข้าใจหลินหาน ว่ากันตามจริงใครมันจะกล้าขึ้นไปต่อสู้กับหลินเชียน?

 

“กลุ่มหนึ่ง : หลินเชียนเป็นผู้ชนะ” ผู้อาวุโสสองประกาศ

 

เนื่องจากการต่อสู้รอบแรกของกลุ่มหนึ่งไม่ได้เกิดขึ้น ทำให้ทุกคนหันไปสนใจการต่อสู้ของกลุ่มสี่แทน

 

หลินเฟิง ปะทะ หลินเหยียน

 

“ข้าไม่อยากจะทำให้ตัวเองอัปยศ และดาบของข้าต้องแปดเปื้อน มันไม่มีค่าพอที่จะให้ข้าต้องสู้ ข้าขอยอมแพ้” หลินเหยียนผู้ที่บรรลุขั้นที่ 7 ของขอบเขตพลังปราณ และมีจิตวิญญาณแห่งดาบกล่าว ฝูงชนเห็นว่าหลินเหยียนได้บรรลุขั้นที่ 7 ของขอบเขตพลังปราณมองไปยังฝ่ายตรงข้ามด้วยสายตาอันเย่อหยิ่ง

 

“กลุ่มที่สี่ หลินเหยียน เป็นผู้ชนะ”

 

ผู้อาวุโสสองประกาศผลการต่อสู้ของกลุ่มสี่

 

“เหี้- ไรเนี่ย?!” หลินเฟิงตกตะลึง หลินเหยียนชนะ ขณะที่เจ้าตัวกล่าวว่ายอมแพ้?!

 

“เจ้าจะมัวยืนอยู่บนเวทีทำไม?” ผู้อาวุโสถามหลินเฟิงที่ยังคงยืนอยู่บนเวที

 

“ข้าพูดว่าข้ายอมแพ้?” หลินเฟิงถาม

 

ผู้อาวุโสสองขมวดคิ้ว และกล่าว “เจ้าจะยอมแพ้ หรือไม่มันก็มีค่าเท่ากัน รีบลงมาจากเวทีซะ”

 

“ข้ายังไม่ได้ประกาศว่าข้ายอมแพ้ แล้วท่านมีสิทธิอะไรถึงประกาศว่าหลินเหยียนเป็นผู้ชนะ?” หลินเฟิงถามผู้อาวุโสสองโดยไม่สนใจกับคำพูดของผู้อาวุโสสอง

 

“ข้าเป็นผู้อาวุโสสอง และข้าก็เป็นหนึ่งในผู้ดูแลการประชุมประจำปี ทำไมข้าจะไม่มีสิทธิ”

 

“หึ ดูเหมือนจะไม่มีใครไว้หน้าข้าผู้ที่เป็นประมุขของตระกูลเลยสินะ” หลินไห่กล่าวอย่างใจเย็น เขาสงบสติอารมณ์ และความโกรธไว้ “ผู้อาวุโสสองมีสมาชิกตระกูลหลินมากมายหลายคนอยู่ในที่แห่งนี้ ท่านจะระเมิดกฏของการประชุมประจำปีหรือ? และประกาศให้หลินเหยียนเป็นผู้ชนะในทันที ท่านมีสิทธิที่จะทำเช่นนั้นหรือ?”

 

“ท่านประมุข การต่อสู้ครั้งนี้มันไม่จำเป็นที่จะต้องสู้กัน พวกเราก็รู้ผลลัพธ์แล้ว และข้าก็ช่วยท่านไม่ให้เสียหน้าด้วยการกระทำเช่นนี้ ”

 

“ช่วยข้าไม่ให้เสียหน้า? เจ้าพยายามทำให้ข้าดูเป็นคนโง่ เจ้าลงมาข้างล่างซะ ข้าจะให้ผู้อาวุโสหกเป็นผู้รับผิดชอบการต่อสู้แทน”

 

“ข้าไม่เห็นด้วย” หลินป้าเต้ากล่าว

 

“ข้าก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน ตำแหน่งของผู้อาวุโสสองเป็นตำแหน่งที่ได้รับโดยชอบธรรม” หลินห้าวหราน และหลินฉาง กล่าวพร้อมกัน

 

“พวกเจ้าตั้งใจให้ข้าสอดมือเข้าไปยุ่ง?” หลินไห่กล่าว และเหลือบมองพวกมันทุกคน รวมไปถึงผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องทางสายเลือดของตระกูลหลิน

 

“แล้วถ้าข้าต้องการทำเช่นนั้น?” หลินไห่กล่าวและยิ้มอย่างเย็นชา

 

“ท่านประมุข ผู้อาวุโสสองไม่ได้ทำผิดพลาดแม้แต่อย่างใด ท่านไม่มีสิทธิ์ที่จะกีดกันเขาไม่ให้เป็นผู้จัดงานประชุมประจำปี หากท่านยืนยันในวิธีทางของท่าน ท่านจะทำให้สมาชิกตระกูลหลินทุกคนหวาดกลัว โดยใช้สถานะประมุขตระกูลของท่าน” หลินห้าวหรานกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา

 

หลินไห่ยิ้มอย่างเย็นชา และพูดเสียงต่ำว่า: “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าต้องการทำอะไร เจ้าเพียงแค่ต้องการหาข้ออ้าง ดังนั้นข้าก็จะใช้ข้ออ้างเช่นกัน”

 

ผู้คนที่ถูกหลินไห่กล่าวถึงแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องว่าหลินไห่หมายถึงอะไร

 

หลินไห่หันไปรอบๆ และเริ่มพูดกับฝูงชนสมาชิกตระกูลหลินว่า : “ลูกข้าหลินเฟิง และหลินเหยียนจะต้องสู้กัน หลินเฟิงยังไม่ได้ยอมแพ้ และไม่เคยที่จะยอมแพ้ แต่เจ้ากลับประกาศว่าหลินไห่เป็นผู้ชนะ ข้าคิดว่าสิ่งนี้มันพิสูจน์ให้เห็นว่าผู้อาวุโสสองเกลียดประเพณีของตระกูลหลิน นอกจากนี้ยังมีใครบางคนในที่แห่งนี้คิดว่าข้าจะใช้อำนาจของข้าเพื่อแก้แค้นศัตรูในเรื่องส่วนตัว ; นั่นคือเหตุผลที่ข้าต้องอธิบายแก่พวกเจ้าทุกๆคน ถ้าหลินเฟิงแพ้ ถือว่าข้าเป็นฝ่ายผิด และข้าจะลาออกจากตำแหน่งประมุขตระกูล”

 

ฝูงชนเกิดความโกลาหลขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของหลินไห่ หลินเฟิงอยู่ที่ขั้นที่ 6 ของขอบเขตพลังปราณเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว บางทีตอนนี้เขาอาจจะอยู่ขั้นที่ 7 ของขอบเขตพลังปราณ แล้วเข้าจะต่อสู้กับหลินเหยียนได้อย่างไร? เขาจะไม่ไว้หน้าคนอื่นที่สบประมาทลูกของเขาเลยหรือ?

 

นัยน์ตาของหลินป้าเต้าเปล่งประกายด้วยความดีใจ เขาไม่เคยคาดคิดว่าหลินไห่จะพูดเรื่องนี้ต่อหน้าฝูงชน โดยที่เขาไม่ต้องหาข้ออ้างอื่นๆเพื่อที่จะได้รับตำแหน่งประมุขตระกูล

 

“แต่ถ้าหลินเฟิงชนะ มันจะเป็นข้อพิสูจน์ว่าผู้อาวุโสสองดูถูกประเพณีของตระกูลหลิน และข้าจะลงโทษเขาอย่างหนัก” น้ำเสียงของหลินไห่ค่อยๆแปลงเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงที่เหยือกเย็นขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆคนเริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศที่หนาวเย็น หลินไห่ได้เดิมพันโดยใช้ตำแหน่งประมุขตระกูลของเขา

 

“ย่อมได้” หลินป้าเต้ากล่าวอย่างไม่ลังเล เพราะหลินเฟิงจะเอาชนะหลินเหยียนได้อย่างไร?

 

“ข้าก็ยอมรับเช่นกัน” หลินฉาง กล่าว

 

“ดี แล้วท่านล่ะผู้อาวุโสสอง?” หลินไห่กล่าวขณะมองตรงไปยังนัยน์ตาของผู้อาวุโสสอง

 

ผู้อาวุโสสองแอบดูถูกหลินไห่ในใจ ถึงแม้หลินเฟิงจะชนะ มันก็ไม่มีปัญหาอันใดเกิดขึ้นกับหลินป้าเต้า และหลินฉาง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งสองไม่อาจพลาดโอกาสที่จะกำจัดหลินไห่เช่นนี้ได้ การตัดสินใจครั้งนี้ทำให้ผู้อาวุโสสองรู้สึกอึดอัด จากนั้นเขาพยักหน้าและตอบกลับว่า : “ข้ายอมรับ”

 

“ช่างน่าขัน” หลินห้าวหรานกำลังสาปแช่งด้วยเสียงเบาๆ หลินเฟิงได้ทำลายการบ่มเพาะพลังลูกชายของเขาหลินเหิงได้ อย่างน้อยหลินเฟิงมันต้องอยู่ขั้นที่ 8 ของขอบเขตพลังปราณ หลินเหยียนจะต้องพ่ายแพ้อย่างไม่มีข้อกังขา เขาอยากจะเตือนไม่ให้พวกเขาทำแบบนั้น แต่หลินป้าเต้า และหลินฉาง ตอบกลับอย่างรวดเร็วทำให้เขาเตือนไม่ทัน ณ ตอนนี้เขารู้สึกแย่พอๆกับผู้อาวุโสสอง

 

“หลินเหยียน ขึ้นมาบนเวที และต่อสู้กับหลินเฟิง” ผู้อาวุโสสองกล่าวและเหลือบมองหลินไห่ หลินไห่จะต้องยอมแพ้ และลาออกจากตำแหน่งประมุขตระกูลแน่นอน

 

หลินเหยียนกลับขึ้นมาบนเวที และหัวเราะเยาะหลินเฟิง พร้อมกับกล่าว: “ไอเศษขยะเจ้าจะต้องได้รับความอับอายขายหน้า กับสถานการณ์ที่พ่อของเจ้าสร้างขึ้น แต่อย่างไรก็ตามข้าหลินเหยียน ผู้มีส่วนทำให้มีการแต่งตั้งประมุขตระกูลคนใหม่ มันก็ไม่เลว!”

 

“ถ้าเจ้าใช้ดาบไม่เก่งเท่ากับปากของเจ้า ข้าแนะนำให้เจ้าก้าวลงไปจากเวทีซะ” หลินเฟิงกล่าว

 

“ตายซะ!” หลินเหยียนกล่าวขณะชักดาบออกมา และพุ่งเข้าหาหลินเฟิง

 

“ดาบเงา”

 

“เจ้านั้นแหละพ่ายแพ้ไปซะ!” หลินเฟิงกล่าวอย่างเงียบสงบ จากนั้นเขากระโดดไปด้านข้างและปัดดาบของหลินเหยียนและปล่อยหมัดตรงข้าไปที่หน้าอกของมัน ส่งผลให้มันปลิวออกไปยังนอกเวที

 

ดาบยาวของหลินเหยียนปักลงบนพื้นเวที หลินเหยียนนอนกองอยู่บนพื้น และมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ข้าแพ้….ข้าแพ้ได้อย่างไร?

 

“ดาบของเจ้า ความเร็วของเจ้า ความแม่นยำของเจ้า และความเร็วในการตอบสนองของเจ้า…. เจ้าไม่มีความสามารถในการต่อสู้เลย รูปแบบการต่อสู้ของเจ้ามีแต่จุดอ่อนเต็มไปหมด เจ้ามันเป็นความอัปยศของตระกูลผู้ที่แบกชื่อตระกูลหลิน เจ้ามันเศษขยะ” หลินเฟิงเตะดาบของหลินเหยียน และส่งมันบินไปหาหลินเหยียน
ไม่เพียงแค่หลินเหยียนที่รู้สึบสับสน ฝูงชนก็เช่นกันพวกเขารู้สึกสับสน และเป็นไบ้ไม่สามารถพูดได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น มันเหมือนกับ 3 เดือนก่อนที่หลินหยุน พ่ายแพ้หลินเฟิง โดยการโจมตีเพียงครั้งเดียว เขาดูผ่อนคลาย ราวกับเป็นชัยชนะที่ง่ายดายมากสำหรับเขา

 

ทุกคนจับตามองไปที่หลินเฟิง หลินเฟิงดูมีความมั่นใจในตัวเอง และดูหยิ่งเล็กน้อย เศษขยะที่พวกเขากล่าวถึงมันเปลี่ยนแปลงไปอย่างสมบูรณ์ เขาสามารถเอาชนะหลินเหยียนได้ผู้ที่อยู่ขั้นที่ 7 ของขอบเขตพลังปราณโดยการโจมตีเพียงครั้งเดียว

 

“ม…มันเป็นไปได้ยังไงกัน?” ร่างกายของผู้อาวุโสสองสั่นเทาด้วยความกลัว เขารู้สึกหนาวเย็นตั้งแต่หัวจรดเท้า เพราะประมุขตระกูลหลินกำลังเดินเข้ามาหาเขาอย่างช้าๆ พร้อมกับสายตาที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร

 

ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
comments