I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Peerless Martial God ตอนที่ 34 แปดคนสุดท้าย (2)

| Peerless Martial God | 2537 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
                

“ดูเหมือนวันนี้ข้าจะโชคดียิ่งนัก” หลินลี่กล่าวขณะเดินเข้าสู่เวทีประลอง และหันหน้าไปทางหลินเฟิง

 

หลินเฟิงยังคงนิ่ง แต่เมื่อเขาเห็นรอยยิ้มของหลินลี่ ทำให้หลินเฟิงคิด: “โชคดี หึ?” หลินลี่อาจะต้องคิดใหม่ในภายหลัง

 

หลินเฟิงโชคดีมากที่ในรอบแรก หลินเชียนได้ช่วยเขาให้ผ่านไปสู่รอบต่อไป ในรอบที่สอง หลินอวี่ได้ยอมแพ้ทำให้เขาเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม มันเป็นเรื่องง่ายมากที่หลินเฟิงจะผ่านเข้ารอบด้วยตัวเอง แต่เขาไม่มีโอกาสที่จะแสดงความสามารถที่แท้จริงของเขา และหลายคนยังเชื่อว่าหลินเฟิงเพิ่งบรรลุขั้นที่ 8 ของขอบเขตพลังปราณ และในรอบที่สามเขาก็ยังเปี่ยมไปด้วยโชค การต่อสู้ครั้งแรกของหลินเฟิงกับคนที่อ่อนแอที่สุดของผู้เข้าร่วมทั้งหมดที่เหลืออยู่: หลินลี่ คงไม่มีโอกาสที่จะแสดงความแข็งแกร่งทั้งหมดของเขาออกมา

 

“บางทีผู้อาวุโสหกอาจจะเป็นคนจัดคู่ต่อสู้เอง” หลินเฟิงคิด

 

“เจ้าจะโจมตีข้าก่อนก็ได้ เอาไหม? ใส่ให้เต็มกำลังล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า” หลินลี่ กล่าวราวกับว่าเขาเป็นผู้ชนะในการต่อสู้ครั้งนี้แล้ว

 

“ย่อมได้” หลินเฟิงกล่าวพร้อมกับพยักหน้า

 

“ทักษะเคลื่อนที่ดั่งเงาจันทรา, เก้าคลื่นทลายสวรรค์” หลินเฟิงตะโกน ทันใดนั้นหลินเฟิงก็เข้ามาใกล้หลินลี่ แต่หลินลี่ก็ยังคงยิ้ม

 

คลื่นกระแทกในอากาศทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยแรงกดดัน คลื่นพลังอันน่าสะพรึงกลัวล้อมรอบกำปั้นของหลินเฟิงแหวกว่ายผ่านอากาศ ใบหน้าของหลินลี่ยังคงปรากฏรอยยิ้ม แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ดูขวัญผวา เขาวางแผนไว้ว่าจะทนรับการโจมตีของหลินเฟิง และจากนั้นก็จะแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของพลัง แต่ตอนนี้เขากลับกลัวการโจมตีของหลินเฟิงอย่างมาก มันยังทันไหมถ้าจะไม่พูดแบบนั้น?

 

“ตู้มมมมม!”

 

“เจ้าแพ้แล้ว”

 

ร่างของหลินลี่บินกระเด็นปลิวไปข้างหลัง หนึ่งหมัด หมัดเดียวเท่านั้นที่เขาได้มอบความพ่ายแพ้ให้กับหลินลี่

 

“ดูเหมือนจะไม่มีใครเห็นหลินเฟิงอยู่ในสายตา แต่เขากลับแข็งแกร่งเช่นนี้ได้อย่างไร?” หลินลี่ คิด

 

มีเพียงหลินเฟิงเท่านั้นที่รู้ว่าพลังการโจมตีของเขามันทรงพลังขนาดไหน

 

สิ่งที่น่าตกใจที่สุดของหลินเฟิง คือ เขาไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อยในการต่อสู้ที่ผ่านมาของเขา หลินเฟิงสามารถหลบการโจมตีของอีกฝ่ายได้ทั้งหมด และสามารถจัดการฝ่ายตรงข้ามได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ไม่มีแม้แต่เศษฝุ่นละอองบนเสื้อคลุมของเขา เพราะฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถแตะเนื้อต้องตัวเขาได้

 

“เจ้าเศษขยะ…… หรือว่าเขาจะเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง?” หลินลี่ ไม่มีความเกลีดซัง หรือความไม่พอใจแม้แต่น้อยในนัยน์ตาของเขา เขาจ้องมองหลินเฟิงอย่างเคารพ ถึงแม้ว่าเขาจะยังคงหวาดกลัวอยู่ เขารู้ว่าหลินเฟิงได้ออมมือไว้

 

“หลินเฟิงเป็นฝ่ายชนะ” ผู้อาวุโสหกประกาศผู้ชนะ ทำให้ฝูงชนถอนหายใจลึกๆ

 

“มันต้องเล่นตุกติกแน่ๆ หลินลี่อยู่ในขั้นที่ 8 ของขอบเขตพลังปราณเขาไม่มีทางที่จะแพ้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ”

 

“หลินเฟิงเขาอยู่ขอบเขตพลังปราณขั้นไหนกัน?”

 

เหล่าฝูงชนล้วนรู้สึกว่าเศษขยะที่พวกเขากำลังมองดูอยู่ได้เปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์ และกลายเป็นบุคคลที่ลึกลับ เขาจะเป็นคนเจ้าเล่ห์ หรือบรรลุขั้นที่ 8 ของขอบเขตพลังปราณ มันไม่สำคัญ เขาได้ทำให้ผู้คนมากมายอยากรู้อยากเห็น และได้รับความเคารพจากสมาชิกตระกูลหลินมากมาย

“มันแอบโจมตีทีเผลอ เศษขยะยังไงก็ยังคงเป็นเศษขยะ ช่างเป็นคนขี้ขลาดยิ่งนัก” หลินอู๋ กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เกลียดชัง เมื่อเขาได้ยินความคิดเห็นของฝูงชน

 

“ถูกต้อง มันต้องเป็นเช่นนั้น หลินเฟิงชนะเพราะโจมตีทีเผลอ ขณะที่หลินลี่ยังไม่พร้อม มิฉะนั้นมันจะโยนหลินลี่ลงจากเวทีได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร?” สมาชิกตระกูลหลินคนหนึ่งกล่าว และสนับสนุนคำพูดของหลินอู๋

 

เมื่อฝูงชนได้ยินคำพูดของหลินอู๋ว่าหลินเฟิงชนะได้อย่างไร ทำให้ฝูงชนบางคนเริ่มที่จะดูถูกหลินเฟิง

 

แต่หลินเฟิงก็หาได้สนใจความคิดเห็นของผู้คนไม่ ใครก็ตามที่ทำให้เขาต้องอับอายขายหน้า มันผู้นั้นจะต้องได้รับบทเรียน เศษขยะ? โจมตีทีเผลอ? ทุกๆคนจะต้องเสียใจ

 

รอบที่สี่: หลินอู๋ ปะทะ หลินเหิน

 

ขณะที่ทุกคนกำลังมองพวกเขาบนเวที สายตาของหลินเฟิงแสดงถึงความอยากรู้อยากเห็น ในรอบสุดท้าย หลินอู๋ และหลินเหิน อยู่ในกลุ่มเดียวกัน แต่การต่อสู้ครั้งนั้นหลินเหินได้ปฏิเสธที่จะต่อสู้ และขอยอมแพ้ แต่รอบนี้ หลินเหิน และหลินอู๋ ได้ปะทะกันอีกครั้ง เป็นไปได้หรือไม่ว่าผู้อาวุโสหกตั้งใจที่จะทำเช่นนี้?

 

“พวกเราไม่จำเป็นต้องต่อสู้กันผลลัพธ์ก็รู้ๆกันอยู่ เจ้าต้องการสู้หรือไม่?” หลินอู๋ กล่าวขณะมองไปที่หลินเหิน เขาคิดว่าหลินเหินเป็นแค่คนขี้ขลาดไม่กล้าที่จะต่อสู้ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น

 

“ไม่” หลินเหินตอบกลับพร้อมกับส่ายหัวและยิ้ม

 

“เจ้ามันขี้ขลาด”

 

“เจ้ากำลังทำให้ตระกูลหลินอับอายขายหน้า”

 

หลายคนเริ่มที่จะต่อว่าหลินเหิน หลินเหินผ่านมาถึงรอบนี้ได้เพราะรอบที่แล้วเขามีคุณสมบัติเพียงพอ แต่การที่เขามาขอยอมแพ้ตอนนี้ มันอภัยให้ไม่ได้จริงๆ มันเป็นความอับอายของตระกูลหลิน

 

“ไอคนขี้ขลาดตาขาว ถ้าเจ้าไม่ต้องการต่อสู้ก็ลงไปจากเวทีประลองซะ” หลินอู๋กล่าว เขาโกรธมากที่ได้ยินหลินเหินประกาศยอมแพ้อีกครั้ง

 

หลินเหินจ้องมองไปที่หลินอู๋ จู่ๆสีหน้าของหลินเหินก็เปลี่ยนไป เขาไม่ได้ลงจากเวทีประลอง แต่เขากลับเดินไปหาหลินอู๋แทน

 

“ข้าจะนับ 1 ถึง 3 ถ้าเจ้าไม่ลงไปจากเวทีประลองก่อนที่ข้าจะนับเสร็จ เจ้าอย่าได้โทษข้าที่ไร้ความเมตตา” หลินเหิน กล่าว

 

ใบหน้าของหลินเหินเต็มไปด้วยจิตสังหาร ทันใดนั้น พลังอันมหาศาลได้ล้อมรอบตัวของหลินเหิน และกำลังจะเข้าปะทะกับหลินอู๋

 

“หนึ่ง” หลินเหินเริ่มนับ

 

ในขณะนั้นร่างกายของหลินอู๋กำลังสั่นเทา ราวกับเขาถูกแช่แข็งด้วยความหวาดกลัว หยาดเหงื่อไหลออกมาจากหน้าผากของเขา และใบหน้าของเขาแสดงให้เห็นถึงความหวาดกลัว เขาจ้องมองไปที่หลินเหิน นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

 

“เป็นไปได้ยังไง? เจ้าทำได้ยังไงกัน?!” หลินอู๋เริ่มบ้าคลั่ง “เจ้ามีความแข็งแกร่งเทียบเท่าผู้บ่มเพาะพลังที่บรรลุขอบเขตจิตวิญญาณรึ?!”

 

หลินอู๋ ไม่ใช่คนเดียวที่มึนงง คนอื่นๆในฝูงชนก็มึนงงเช่นกัน ขอบเขตจิตวิญญาณเขาเพิ่งใช้พลังของผู้บ่มเพาะพลังที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณ หลินเหินผู้ที่เงียบสงบ และเป็นคนชอบเก็บตัวเขาได้ซ่อนพลังของเขาตลอดเวลา ทุกๆคนล้วนแต่ตกใจที่หลินเหินได้ซ่อนพลังอันยิ่งใหญ่เช่นนี้

 

ขอบเขตจิตวิญญาณ……ดูเหมือนว่าในหมู่รุ่นเยาว์นอกเหนือจากหลินเชียนมีเพียงหลินเหินคนเดียวเท่านั้นที่บรรลุขอบเขตจิตวิญญาณ… แต่ยังไงหลินเชียนก็ยังคงเป็นรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นที่สุด

 

ผู้อาวุโสหกยิ้มอย่างพึงพอใจ เขามีรอยยิ้มขนาดใหญ่บนใบหน้าของเขา หลินเหินแอบปิดบังระดับการบ่มเพาะพลังของเขา และซ่อนความสามารถของเขา ตราบใดที่หลินเหินยังไม่แสดงความสามารถของเขา มันเป็นเรื่องยากมากที่คนอื่นๆจะรู้ว่าเขาบรรลุขอบเขตจิตวิญญาณแล้ว ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่าหลินเหินได้ซ่อนพลังของเขาไว้

 

“เขาซ่อนพลังที่แท้จริงไว้” หลินป้าเต้าคิดขณะมองไปที่ผู้อาวุโสหก แต่เขาก็ยังคงหวังอยู่ลึกๆว่าหลินอู๋จะชนะได้

 

“เจ้าปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้ดีจริงๆ” หลินป้าเต้ากล่าวขณะจ้องมองผู้อาวุโสหกด้วยรอยิ้มอันเย็นชา เมื่อการประชุมประจำปีสิ้นสุด เขาจะพยายามอีกครั้งเพื่อที่จะได้เก้าอี้ประมุขตระกูล หลินป้าเต้าไม่เข้าใจว่าทำไมประมุขคนก่อนถึงให้หลินไห่เป็นประมุขคนต่อไปแทนที่จะเป็นเขาผู้เป็นเสาหลักของตระกูล และยอมอุทิศชีวิตให้กับตระกูล

 

การได้เป็นประมุขตระกูลนั้นเป็นความใฝ่ฝันของหลินป้าเต้า เขาพยายามหลายครั้งแต่มันก็ล้มเหลวตลอด ทำให้เขามีปมอยู่ในใจ

 

“สอง” พลังของหลินเหินเริ่มที่จะแข็งแกร่งขึ้น และแข็งแกร่งขึ้น มันเป็นแรงกดดันที่ทำให้หลินอู๋แทบจะไม่สามารถหายใจได้ เขาไม่เคยรู้สึกถูกกดดันขนาดนี้มาก่อน และเสียใจกับตัวเองที่ทำตัวหยิ่งในก่อนหน้านี้

 

ทุกๆคนเชื่อว่าหลินอู๋อยู่ในขั้นที่ 8 ของขอบเขตพลังปราณ แต่ความจริงแล้วเขาได้บรรลุขั้นที่ 9 ของขอบเขตพลังปราณแล้วเมื่อไม่นานมานี้ เขาตั้งใจที่จะทำให้ทุกคนประหลาดใจในการประชุมประจำปีครั้งนี้ แต่แล้วมันก็ล้มเหลว เขาไม่มีโอกาสที่จะแสดงความสามารถให้ฝูงชนดู หลินเหินได้ข่มขู่เขาในตอนนั้น และบอกให้เขาออกไปในขณะที่ยังมีโอกาส มิฉะนั้นเขาจะต้องเสียใจ

 

“ก่อนที่เจ้าจะดูถูกคนอื่น เจ้าควรจะคิดให้รอบครอบก่อน ข้าไม่เต็มใจที่จะสู้กับเจ้าเพื่อผลประโยชน์ของตระกูล ไม่ใช่เพราะข้ามีพลังน้อยกว่าเจ้า แต่เป็นเพราะข้าเกลียดเจ้า และถ้าไม่ใช่ว่าพวกเรามีสายเลือดเดียวกันข้าคงฆ่าเจ้าไปแล้ว” หลินเหินกล่าว เขาดูเหมือนคนที่ต่างไปจากคนเดิมอย่างสิ้นเชิง พลังของหลินเหินยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และหลินเหินกำลังจะนับครั้งสุดท้าย

 

“สะ…….“

 

“ข้ายอมแพ้” หลินอู๋ รู้สึกราวกับกำลังจะถูกพลังของหลินเหินบดขยี้ จากนั้นเขาหันหลังกลับ และเดินออกจากเวทีโดยไม่หันหลังกลับไปมองแม้แต่น้อย

 

“หลินเหินแข็งแกร่งมาก!” เหล่าฝูงชนกล่าวอย่างนับถือ การที่จะทะลวงผ่านขอบเขตจิตวิญญาณมันเป็นความใฝ่ฝันของผู้บ่มเพาะพลังทุกคน และถ้าบรรลุก่อนที่จะอายุ 20 ปีจะทำให้มีโอกาสมากขึ้นในอนาคตที่จะทะลวงผ่านระดับการบ่มเพาะที่สูงมากขึ้น เช่น ขอบเขตปฐพี หรือแม้แต่ขอบเขตนภา

“น่าสนใจจริงๆ” หลินเฟิงกล่าวพร้อมกับหัวเราะ หลินเหินได้ทะลวงผ่านขอบเขตจิตวิญญาณ….บางทีผู้อาวุโสหกตั้งใจจัดให้พวกเขาทั้งสองสู้กันเพื่อให้ลูกชายของเขามีชื่อเสียงมากขึ้น หลินเหินได้ยอมแพ้ในรอบที่สอง ดังนั้นเขาจึงอยากเห็นหลินเหินต่อสู้กับหลินอู๋อีกครั้งในรอบที่สาม เขามีความสุขที่เห็นหลินอู๋ได้รับบทเรียนต่อหน้าฝูงชนจำนวนมาก เขายอมแพ้เหมือนคนขี้ขลาด ซึ่งก่อนหน้านี้เขาได้เรียก หลินเหินว่าคนขี้ขลาด

 

“เจ้าเศษขยะ เจ้ามีสิทธิอะไรถึงได้หัวเราะเยาะข้า? เจ้ามันเป็นความอับอายขายหน้าของตระกูล” การแสดงออกของหลินอู๋น่ารังเกียจมากขึ้น เมื่อเขาได้เห็นรอยยิ้มของหลินเฟิง หลินอู๋ไม่สามารถอดกลั้นได้เขาตะโกนใส่หลินเฟิงอย่างดัง ทำให้เสียงของเขาดังกึกก้องไปทั่วเวทีลานประลอง

 

เมื่อเหล่าฝูงชนเห็นหลินอู๋ตะโกนใส่หลินเฟิง ทำให้พวกเขาไม่สามารถที่จะอดกลั้นที่จะหัวเราะได้

 

โดยเฉพาะหลินป้าเต้ากล่าว : “หลินอู๋ได้พ่ายแพ้ต่อหลินเหินผู้ที่บรรลุขอบเขตจิตวิญญาณแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่ได้รู้สึกอับอายมากนัก แต่เขาไม่คิดว่าเจ้าเศษขยะนั้นมันจะหัวเราะหลินอู๋ มันเป็นความอัปยศอย่างแท้จริง ที่ถูกเศษขยะหัวเราะเยาะ

 

เมื่อหลินฉางได้ยิน เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า: “เจ้าเศษขยะอย่าได้ประเมินตัวเองสูงเกินไป”

 

หลินไห่อยู่ไม่ไกลจากพวกเขานัก เขาแสดงออกอย่างเยือกเย็น และปราบปรามให้พวกเขาหยุดยั่วยุกัน

 

หลินเฟิงมึนงง เขาไม่เคยคิดเลยว่าหลินอู๋มีอะไรที่เขาจะต้องโกรธ เขาโชคร้ายนักที่ไปยั่วยุผิดคน ด้วยความเย่อหยิ่งของเขา ทำไมเขาถึงพยายามที่จะกลั่นแกล้งและดูถูกผู้อื่น?

 

“เจ้ามองอะไร ไอเศษขยะ? แทนที่จะหลบซ่อนอยู่ข้างหลังพ่อของเจ้า เจ้ากล้าพอที่จะสู้กับข้าหรือไม่?” หลินอู๋โกรธมาก ดังนั้นเขาจึงพยายามยั่วยุหลินเฟิงเพื่อระบายความโกรธทั้งหมดของเขา

 

“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นคนโง่เขลา และน่าเยาะเย้ยเช่นเจ้า เจ้าแค่รู้สึกอับอายขายหน้าเพราะความเยอะหยิ่งของตัวเอง ดังนั้นเจ้าจึงพยายามข่มข้า ช่างน่าสมเพชนัก”

 

หลินเฟิงส่ายหัว และเดินไปหาหลินอู๋

“ข้าจะนับถอยหลังจาก 3 ถึง 1 แล้วอย่าโทษข้าที่ไร้ความเมตตา”

 

หลินเฟิงใช้คำพูดเดียวกับหลินเหิน ทำให้ทั่วทั้งพื้นที่ตกอยู่ในความเงียบ และได้ยินเสียงของหลินเฟิงอย่างชัดเจน

 

ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
comments