ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปเม็ดฝนสาดเทลงมาอย่างหนัก ทั่วทั้งท้องนภาปกคลุมไปด้วยเมฆฝนและลมพายุ
ผู้คนที่อยู่ตามถนนต่างวิ่งกันอย่างชุลมุนเพื่อที่จะหาที่พัก
ชายหนุ่มที่หน้าตาดุร้ายคนหนึ่งค่อยๆควบม้าไปตามถนน โดยไม่สะทกสะท้านกับห่าฝนที่สาดลงมา เขาสวมเสื้อคลุมกันฝนสีดำและมุ่งหน้าไปยังภัตตาคารอาหารแห่งหนึ่ง
“ดูแลม้าของข้าด้วย” ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับยื่นบังเหียนของม้าให้พนักงานคนหนึ่ง จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในภัตตาคารอย่างใจเย็น
เพราะฝน ภายในภัตตาคารจึงคึกคักและเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ชั้นล่างนั้นเต็มไปด้วยผู้คนยากที่จะขยับตัวได้ ทั้งร้านเต็มไปด้วยผู้คนมากมายหลายประเภทเพื่อมาดูและเข้าร่วมการประชุมประจำปี เสียงพูดคุยขณะเมามีให้ได้ยินอยู่เรื่อยๆ เรื่องส่วนใหญจะเป็นพวกข่าวลือกับเหตุการณ์ต่างๆ
“เจ้าได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานแล้วหรือยัง? หลินไห่และลูกชายเขา ไอขยะที่ชื่อหลินเฟิงอออกจากตระกูลหลินไปแล้ว ได้ยินว่าตระกูลหลินกดดันให้พวกเขาออกไป”
“ฮ่าๆ ข้าคิดว่าข่าวนี้คงแพร่ไปทั่วเมืองหยางโจวแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องบอกข้าก็ได้ หลินป้าเต้าแข็งแกร่งมาก แต่ยังมีข่าวที่ว่าหลินป้าเต้าเอาชนะหลินไห่และไล่เขาออกจากตระกูล ทั้งลูกชายและลูกสาวของหลินป้าเต้านั้นมีพรสวรรค์เป็นอย่างมาก พวกเขาทั้ง 2 ทะลวงผ่านขอบเขตจิตวิญญาณแล้ว
“พวกเขาต่างเป็นรุ่นเยาว์ที่น่าภูมิใจที่สามารถทะลวงผ่านระดับนั้นได้ด้วยอายุเท่านี้ พวกเขาแข็งแกร่งกว่าไอเศษขยะนั่นเสียอีก มีคนบอกว่าหลินป้าเต้าเอาชนะหลินไห่และขับไล่เขาออกจากตระกูลหลังจากที่เขาพยายามจะขัดขวางการประลองระหว่างหลินเฟิงและหลินหง หลินเฟิงจะต้องถูกหลินหงสังหารเป็นแน่หากการต่อสู้ยังคงมีต่อไป หลินไห่ได้ใช้วิธีไร้ยางอายโดยการโจมตีรุ่นเยาว์โดยไร้คำเตือน!”
มีคนจำนวนมากแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในตระกูลหลิน หลินเฟิงเพิ่งมาถึงและกำลังจะนั่งลงแต่เมื่อเขาได้ยินสิ่งที่พวกนั้นกำลังคุยกัน เขาลุกขึ้นและมุ่งหน้าไปยังชั้นล่างของภัตตาคาร
“เรื่องโกหกพวกนี้แพร่กระจายไปทั่ว…. เห็นได้ชัดว่าที่พวกเราจากไปเป็นเพราะพวกเราไม่มีที่ยืนอีกแล้ว… ทั้งหลินป้าเต้าและลูกๆของมันเป็นอัจฉริยะ? เหอะ” หลินเฟิงคิดอย่างแดกดัน ดูเหมือนว่าความโง่เขลาของหลินป้าเต้าจะไม่มีที่สิ้นสุด เขากุเรื่องแม้กระทั่งว่าเอาชนะหลินไห่ หลินเฟิงเลือกที่จะเงียบเกี่ยวกับข่าวลือพวกนี้
“ท่านแขกผู้ทรงเกียรติ มีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่?” พนักงานเข้ามาทักทายหลินเฟิง
“ข้าอยากได้ไวน์และผักดอง” หลินเฟิงกล่าว ไม่นานสิ่งที่เขาสั่งก็มาว่างอยู่บนโต๊ะ ภัตตาคารจะวุ่นวายมากในช่วงนี้ของปี
“ข้าได้ยินมาว่าภัตตาคารนกหวีดแห่งนี้เป็นที่สามารรับฟังข่าวสารล่าสุดได้ ข้าสงสัยว่าจะมีใครบอกข้าเกี่ยวกับการประชุมประจำปีของเมืองหยางโจวได้หรือไม่?” หลินเฟิงคิดขณะเทไวน์ลงในแก้ว เขายกแก้วขึ้นมาและดื่มอวยพรให้แก่พ่อของเขาที่หลุดพ้นจากตระกูลหลิน เขาได้ดื่มมันไปจนหมด ไวน์ทำให้เขารู้สึกอบอุ่น ภายในกระเพาะของเขาเต็มไปด้วยไวน์ที่แรงมากในคืนนี้ มันต่างจากที่เขาได้กินก่อนหน้านี้ เขาเคยได้ลิ้มรสไวน์รสเลิศจากชั้นบนสุดของภัตตาคาร
ในตอนนั้นเองก็ได้มีคนสามคนเดินเข้ามา เป็นหญิงสองและชายหนึ่ง ทุกคนในภัตตาคารต่างจ้องมองไปยังทั้งสามคนที่เดินเข้ามา ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่โบกพัดขนนกเพียงเล็กน้อย พวกเขาออกมาจากรถม้าที่สง่างามและถือพัดไว้ในมือ พวกเขาทั้งหมดดูมีภูมิฐานและเชื่อมั่นในตัวเอง หญิงสาวทั้งสองสวมเสื้อคลุมสีเขียว หนึ่งสีเขียวอ่อนในขณะที่อีกคนมีสีน้ำเงินปะปนเล็กน้อย พวกนางสง่างามเป็นอย่างมากด้วยใบหน้าที่อ่อนเยาว์และร่างกายอันทรงเสน่ห์
ฝูงชนให้ความสนใจกับหนึ่งในหญิงงามเป็นพิเศษ
แม้ว่าข้างนอกฝนจะตก แต่กลับไม่ปรากฏเม็ดฝนบนร่างกายของนางแม้แต่น้อย นางสวมเสื้อคลุมสีเขียวผสมสีน้ำเงิน นางดูนิ่งและเงียบสงบราวกับมหาสมุทรเหมือนกับว่าสีเสื้อที่นางสวมจะบ่งบอกถึงนิสัยของนาง ทุกส่วนในร่างกายดูน่าหลงใหล ดวงตาของนางใสราวกับน้ำ นางมีเสน่ห์และสง่างามราวกับเทพธิดา หญิงสาวที่สวมเสื้อคลุมสีเขียวอ่อนที่ยืนอยู่ข้างๆได้สูญเสียแรงดึงดูดไปทั้งหมดเมื่อยืนเคียงข้างกับสาวงามคนนี้
“น่าหลานไห่ เจ้าไปชั้นบนก่อน ข้าจะอยู่ที่นี่สักครู่” หญิงสาวอีกคนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะ
“ก็ได้” น่าหลานไห่ยังคงโบกพัดขนนกไปมา ทันใดนั้นเขาก็ขึ้นไปยังชั้นบน จากนั้นหญิงสาวที่สวมเสื้อเสื้อคลุมสีเขียวอ่อนก็มองลงไปในห้องเพื่อที่จะหาที่นั่ง
“คุณหนู ดูเหมือนว่าจะไม่มีที่นั่งเหลือเสียแล้ว” หญิงสาวที่สวมเสื้อคลุมสีเขียวอ่อนมองไปรอบๆห้อง แต่ก็ไม่พบที่ๆสามารถนั่งได้ ดูเหมือนว่าภัตตาคารแห่งนี้จะหนาแน่นกว่าปกติ
” คุณหนู โปรดรอสักครู่ ” หญิงสาวที่สวมเสื้อคลุมสีเขียวอ่อนสังเกตเห็นชายหนุ่มที่นั่งตามลำพังที่โต๊ะของเขา นางเริ่มเข้าไปหาหลินเฟิง
หลินเฟิงเงยหน้ามองหญิงสาวก่อนที่จะถาม ” มีอะไรให้ข้าช่วยเช่นนั้นหรือ?”
“อันที่จริงแล้ว” หญิงสาวกล่าวขณะโยนเหรียญเงินหนึ่งเหรียญลงบนโต๊ะของหลินเฟิง “ข้าให้เจ้าหนึ่งเหรียญเงินเพื่อแลกกับโต๊ะของเจ้า”
หลินเฟิงโกรธและยิ้มเล็กน้อย เขาหยิบมันขึ้นมาและว่างมันไว้ที่เดิม
“หมายความว่ายังไง?” หญิงสาวถามขณะขมวดคิ้ว
หลินเฟิงเงยศีรษะและจ้องมองไปยังตาของหญิงสาว “ข้าคืนเหรียญของเจ้า ไปหาโต๊ะอื่นและไปให้พ้นหน้าข้า”
“เจ้ากล้า.. ” หญิงสาวทั้งโกรธและสับสน หลังจากนั้นนางก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “เจ้ากล้า? เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”
หลินเฟิงยังคงเงียบและส่ายหัว เขายังคงเทไวน์ลงในแก้วและดื่มด่ำกับมัน
“ข้าไม่สนใจว่าเจ้าเป็นใคร ไสหัวไปได้แล้ว” หลินเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาเป็นอย่างมาก
ไม่ว่าหญิงสาวคนไหนที่ได้ยินคำพูดที่ไม่สุภาพของหลินเฟิง ต่างต้องโกรธเป็นธรรมดา ทันใดนั้นนางปลดปล่อยพลังปราณออกจากร่าง หลินเฟิงแสดงความตกตะลึงบนใบหน้า นางดูอายุน้อยกว่าเขาแต่สามารถบรรลุถึงขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 8 ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมนางถึงหยิ่งยโส
“เหอะ ตอนนี้เจ้าเริ่มกลัวแล้วใช่ไหม?” หญิงสาวถามเมื่อสังเกตเห็นใบหน้าของหลินเฟิง นางปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้า ราวกับว่าได้รับชัยชนะ
หลินเฟิงรู้สึกหดหู่ใจกับปฏิกิริยาของนาง แต่ก็ยังคงเงียบอยู่ ” ลวี่เอ๋อ อย่าได้สร้างปัญหา” มีเสียงที่นุ่มนวลและอ่อนโยนกล่าวออกมา เป็นหญิงสาวที่น่าหลงใหลในชุดเสื้อคลุมสีเขียวและน้ำเงิน นางจ้องไปที่เด็กสาวในชุดสีเขียวอ่อนด้วยสายตาที่ตำหนิ
“ลวี่เอ๋อเป็นแบบนี้เสมอ ดังนั้นได้โปรดอย่าตำหนินาง” สาวงามยิ้มให้หลินเฟิง คำพูดของนางราวกับสายลมที่อ่อนโยนในฤดูใบไม้ผลิ จากนั้นนางก็เดินไปหาหลินเฟิงและนั่งลงข้างๆเขา นางดูสบายใจมาก
หลินเฟิงขมวดคิ้ว เขาไม่ได้รับการขอโทษใดๆจากพวกนาง ราวกับว่าพวกนางไม่จำเป็นต้องอธิบายตัวเอง นอกจากนี้สาวงามในชุดเขียวน้ำเงินนั่งลงก่อนที่จะได้ถามเขาเสียด้วยซ้ำ
“ข้าดูเหมือนคนรับใช้ของเจ้าหรือไม่? ในโลกนี้มีทั้งนายและบ่าว วันนี้ข้าเป็นนายของโต๊ะนี้ และข้ายังไม่ได้อนุญาตให้คนรับใช้เช่นเจ้านั่ง” หลินเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงแดกดัน
สาวงามถึงกับพูดไม่ออกและแสดงท่าทีไม่พอใจ ทุกที่ที่นางไปจะมีแต่คนให้ความเคารพนาง ถ้านางนั่งอยู่โต๊ะเดียวกับผู้ใดเท่ากับว่าโต๊ะนั้นได้รับเกียรติเป็นอย่างมาก ผู้ชายส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสจะได้ใกล้ชิดกับนาง แต่ในวันนี้นางกับคิดไม่ถึงว่าคนอย่างหลินเฟิงจะเยาะเย้ยนาง
” คุณหนูพวก พวกเราควรจะให้บทเรียนกับคนแบบนี้” หญิงสาวในชุดสีเขียวอ่อนกล่าวด้วยความโกรธ
“ลืมมันไปซ่ะ ลวี่เอ๋อ ” สาวงามส่ายศีรษะ จากนั้นนางก็ยืนขึ้นและกล่าว “เนื่องจากเขาไม่ต้องการต้อนรับเรา งั้นเราไปหาโต๊ะอื่นกันเถอะ นี่ก็เป็นเพียงแค่บางคนที่ไม่รู้จักกาลเทศะ ครั้งต่อไปเราความจะระวังและหลีกเลี่ยงคนเหล่านี้”
หลังจากกล่าวเสร็จ สาวงามหันหลังและเดินจากไป
“คุณหนูน่าหลาน ชายคนนั้นคงไม่รู้จักท่านและความยอดเยี่ยมของท่าน ตระกูลของท่านเป็นหนึ่งในขุมพลังที่ยิ่งใหญ่ อย่าลดตัวเองลงไปเลย ข้ามีความเคารพต่อท่านมาก ถ้าท่านต้องการท่านสามารถนั่งที่นี่ได้” มีบางคนในนั้นเชิญชวนสาวงามให้ไปนั่งกับพวกเขา
สาวงามไม่ได้ปฏิเสธ นางพยักหน้าและตอบรับ ทำให้คนผู้นั้นเป็นปลื้มอย่างมาก
“เจ้านั่นโชคดีเป็นบ้า ทำไมข้าถึงไม่ชวนนางก่อนนะ..?” บางคนเริ่มเสียดาย พวกเขารู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่ไม่ได้เชิญเป็นคนแรก
“ไอเด็กบ้านั่นเป็นใคร? มันไม่มีตาหรือไง คุณหนูน่าหลานต้องการที่จะนั่งกับเขามันคือสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งเดียวในชั่วชีวิต … แต่เขาก็ปฏิเสธมัน นั่นอาจจะเป็นโชคที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา เขาช่างโง่เขลาเสียจริง”
หลินเฟิงได้ยินทุกคำพูดของคนรอบข้าง เขาส่ายหัว ผู้คนต่างยึดติดกับชื่อเสียง เงินทอง และพลัง
หลินเฟิงเชื่อเพียงการแสดงความเคารพซึ่งกันและกัน ถ้าหากมีคนแสดงความเคารพต่อหลินเฟิง หลินเฟิงก็จะแสดงความเคารพต่อพวกเขา ทั้งหญิงสาวในชุดเขียวน้ำเงินก็ได้ หรือหญิงสาวในชุดเขียวอ่อนก็ดี พวกนางไม่ได้แสดงความเคารพต่อหลินเฟิงเลยตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ
หลินเฟิงได้ยินการสนทนาเกี่ยวกับหญิงสาวในชุดเขียวน้ำเงิน นางเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของเจ้าเมือง ทั้งงดงามและมากไปด้วยพรสวรรค์ นางชื่อ น่าหลานเฟิง
“ทั้งน่าหลานเฟิงและหลินเชียนต่างมีความคล้ายคลึงกัน เมื่อพิจารณาจากทุกสิ่งแล้ว พวกนางละเลยทุกคนและสนใจเพียงเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเอง พวกนางนี่ช่างเห็นแก่ตัวมากจริงๆ ” หลินเฟิงคิดขณะส่ายหัว ข่าวลือที่เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับนางนั้นฟังดูน่าอัศจรรย์และสมบูรณ์แบบ แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับตรงกันข้าม
“คุณหนูน่าหลานเฟิง ในเมื่อมาถึงแล้ว ทำไมถึงไม่ขึ้นมาข้างบนล่ะ? พวกเราอาจจะได้พูดคุยกัน” เสียงดังมากจากด้านบนของภัตตาคาร เหล่าฝูงชนตกตะลึง ใครกันที่อาจหาญพูดกับนางแบบนี้? ผู้ใดกันกล้าที่จะหยาบคาย?
“ฮ่าๆๆ ข้าทำให้คุณหนูแห่งตระกูลหลินต้องรอนานเสียแล้ว น่าหลานจะไปหาท่านเดี๋ยวนี้” น่าหลานเฟิงหัวเราะ นางรีบเดินขึ้นไปชั้นบน
“คุณหนูตระกูลหลิน?”
“นางต้องเป็นหลินเชียนแห่งตระกูลหลิน ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนางถึงกล้าพูดกับน่าหลานเฟิงแบบนี้”
“ข้าได้ยินมาว่าหลินเชียนนั้นเปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์ นางมีพรสวรรค์ที่น่าทึ่งและมีชื่อเสียงมากภายในนิกายห้าวเย่ว”
“ถูกต้อง นางจะต้องเป็นหลินเชียน ข้าไม่คิดว่าเมืองหยางโจวจะมีสองสาวงามที่มากไปด้วยพรสวรรค์เช่นนี้
เสียงที่ได้ยินนั้นแน่นอนว่าเป็นเสียงของหลินเชียน นางยังคงหยิ่งยโสเช่นเดิม หลินเเฟิงรับรู้ได้ในทันที
หลินเฟิงได้รับรู้หลายสิ่งหลายอย่างขณะที่ฟังคนในภัตตาคารสนทนา เขาได้ยินถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเมือง ในวันนี้ผู้บ่มเพาะที่น่าทึ่งที่สุดคือน่าหลานเฟิง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด หลินเชียนยังมาพร้อมกับคนจากตระกูลกู่และตระกูลเหวิน …. พวกเขากำลังดื่มกินอยู่ข้างบนโดยไม่รู้เลยว่าหลินเฟิงอยู่ข้างล่างพวกเขา