ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปเป็นไปตามที่หลินเฟิงคาดการณ์ไว้ น่าหลานเฟิ่งเอาชนะเหวินเจียได้อย่างง่ายดายแม้ว่าเขาจะบรรลุขั้นที่สูงกว่านาง มันเป็นเพราะจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งของนาง
ตั้งแต่ต้น ทักษะเดียวที่น่าหลานเฟิงใช้ก็คือ หมัดศักดิ์สิทธิ์ แต่เมื่อเทียบกับของน่าหลานเฉินแล้ว ทักษะของน่าหลานเฟิงนั้นแข็งแกร่งกว่ามาก คลื่นพลังที่นางปล่อยออกมามากพอที่จะสั่นสะเทือนผืนปฐพีด้วยพลังโจมตีที่หนักหน่วง
ทุกครั้งที่น่าหลานเฟิงโจมตีออกไป ทำให้เหวินเจียถอยหลังออกไป 2-3 เมตร ถึงจุดนี้ เขารับแรงกระแทกจากการโจมตีที่ไม่สามารถป้องกันได้อีกต่อไป และรับการโจมตีที่ตามมาไปเต็มๆ ทำให้บาดเจ็บอย่างรุนแรง ทำให้เขาไม่มีทางเลือกนอกจากยอมแพ้
“น่าหลานเฟิงแข็งแกร่งยิ่งนัก สมแล้วที่เป็นเจ้าหญิงจากตระกูลน่าหลาน… ไม่แปลกใจเลยที่นางกลายเป็นตัวตนที่พิเศษ ไม่มีใครสามารถต่อกรกับนางได้”
หลายคนเต็มไปด้วยความรู้สึก เมื่อเห็นว่าน่าหลานเฟิงทั้งแข็งแกร่งและงดงาม พวกเรารู้สึกราวกับว่านางนั้นไม่มีวันแตกดับ เต็มไปด้วยความชื่นชมและความเคารพ น่าหลานเฟิงไม่เพียงแต่งดงามแต่นางยังมากไปด้วยพรสวรรค์ หลายคนปรารถนาที่จะมอบของขวัญให้กับนาง พวกเขารู้สึกตื่นเต้นมาก ที่จะได้เห็นว่านางจะพัฒนาไปในทิศทางเช่นใดและจะแสดงพลังอะไรออกมาอีกบ้างในอนาคต
การประลองรอบที่ 2 กำลังจะเริ่มขึ้น หลินเฟิงต้องเผชิญหน้ากับชิวหลัน ฝูงชนไม่สามารถระงับความตื่นเต้นไว้ได้และเริ่มส่งเสียงเชียร์ แต่บางทีการประลองก็ไม่ได้ตื่นเต้นเหมือนที่พวกเขาคิด มันควรจะรุนแรงกว่านั้น
นอกจากนี้ พวกเขายังไม่รู้ว่าตั๋วมิ่งเป็นใครและสงสัยว่าเขาจะสามารถเอาชนะชิวหลันได้จริงๆหรือ?
หลินเฟิงและชิวหลันเผชิญหน้ากัน ปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้าของชิวหลัน
“ข้าไม่ต้องการที่จะต่อสู้อีกต่อไป ข้าขอยอมแพ้”
ฝูงจนต่างประหลาดใจที่ได้ยินคำว่า ‘ยอมแพ้’ ชิวหลันมีบทบาทในการจัดการประลองยุทธ์ประจำปี นางมีส่วนร่วมในการคัดเลือกผู้เข้าแข่งขัน และตอนนี้นางต้องต่อสู้กับตั๋วมิ่ง แต่นางเลือกยอมแพ้…?
“อาจเป็นไปได้ว่าบางทีชิวหลันเคยสู้กับตั๋วมิ่งมาก่อน และนั่นทำให้ชิวหลันคิดว่าไม่สามารถเอาชนะตั๋วมิ่งได้?” ฝูงชนหายสับสน พวกเขาพยายมคาดเดาสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น
” เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้น การประลองต่อไป ” ชายชรากล่าวอย่างไม่แยแส
“สำหรับประลองครั้งสุดท้าย ผู้เข้าร่วมทั้ง 3 คนจะเข้าสู่เวทีหลัก คนสุดท้ายที่เหลือรอดบนเวทีจะเป็นผู้ชนะ”
“หืมม?” หลินเฟิงมึนงง เขาคิดว่าชายชราจะให้เขาสู้กับหลินเชียนก่อนแล้วค่อยเข้าสู่การประลองรอบสุดท้าย เขาไม่คิดว่าคนที่เหลือจะต้องมาต่อสู้พร้อมกันแถมยังเป็นการต่อสู้แบบอิสระ
แต่ก่อนหน้านั้น หลินเฟิงได้เดินกลับไปที่เวทีหลักและไปรวมตัวกับผู้เข้าร่วมคนอื่นๆ ทั้งน่าหลานเฟิงและหลินเชียนก็ขึ้นมาบนเวทีด้วยเช่นกัน
“เห้ออออออ ….. การต่อสู้ในครั้งนี้ มาดูกันว่าใครจะเป็นผู้ชนะ”
“มันควรจะเป็นน่าหลานเฟิง นางทั้งทรงพลังและยังมีจิตวิญญาณแขนศักดิ์สิทธิ์ทอง นางแทบจะไร้ผู้ต้าน หลินเชียนและตั๋วมิ่งไม่น่าจะต่อกรกับนางได้”
“ข้ายังไม่แน่ใจนัก หลินเชียนยังไม่ได้แสดงความแข็งแกร่งทั้งหมด ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะตัดสินนาง นางยังไม่ได้ปลดปล่อยจิตวิญญาณเลยด้วยซ้ำ เจ้ารู้หรือไม่ว่านางครอบครองจิตวิญญาณแบบไหน?”
“ข้าเห็นด้วย ด้วยจิตวิญญาณน้ำแข็งและไฟแห่งจักรวาล นางแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ ที่จริงข้าคิดว่าคนที่จะมีศักยภาพมากพอที่จะเป็นผู้ชนะน่าจะเป็นหลินเชียน”
ทุกคนแสดงความเห็นเกี่ยวกับกระประลอง พวกเขาคิดว่าตัวเต็งผู้ชนะคือหลินเชียนและน่าหลานเฟิง ไม่มีใครคิดว่าหลินเฟิงจะชนะ
แม้ว่าหลินเฟิงจะได้รับการยกย่องอย่างมากในฐานะผู้แข็งแกร่ง แต่เหล่าฝูงชนก็ยังคิดว่ามีเพียง 2 คนเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ชนะ
ผู้บ่มเพาะที่งดงามและหยิ่งยโสจากเมืองหยางโจว : น่าหลานเฟิง และ หลินเชียน ความแข็งแกร่งระหว่างพวกนางกับเด็กหนุ่มภายใต้หน้ากากนั้นห่างชั้นกันเกินไป จึงไม่มีใครที่จะให้ความสำคัญกับเขา
ทั้ง 3 ยืนอยู่ในแต่ละมุมของเวที แต่น่าหลานเฟิงจ้องมองหลินเชียนตั้งแต่ต้น หลินเชียนก็จ้องมองยังน่าหลานเฟิงเช่นกัน
พวกนางจ้องมองกันราวกับว่าทั้งเวทีมีแค่พวกนาง 2 คน ดูเหมือนหลินเฟิงจะถูกเมินเสียแล้ว
หลินเฟิงจ้องมองไปยังหญิงสาวทั้ง 2 และยิ้มในใจ พวกนางทั้งคู่ต้องการที่จะสังหารเขา แต่ตอนนี้ไม่แม้จะรู้ถึงตัวจริงของเขาและเมินเขาโดยสมบูรณ์
“น่าหลานเฟิง เจ้าจะต้องเสียใจกับสิ่งที่ทำกับข้าในคืนนั้น และเจ้า หลินเชียน เจ้าบังคับให้ข้าและท่านพ่อต้องออกจากตระกูล และเจ้ายังคิดที่จะฆ่าข้าและท่านพ่อ…. เวลาแห่งการแก้แค้นได้มาถึงแล้ว” หลินเฟิงคิด ในโลกที่โหดร้ายนี้ มีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งที่จะเป็นที่เคารพและควรค่าแก่การจดจำ
ในโลกแห่งนี้ ผู้ที่จะสามารถพึ่งพาได้ก็มีเพียงตัวเองเท่านั้น
จากนั้นไม่นาน ในที่สุดความสนใจของน่าหลานเฟิงก็ถูกดึงดูดออกจากหลินเชียน นางยิ้มอย่างหยิ่งยโส
“เจ้าแข็งแกร่งมาก ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าร่วมกับตระกูลน่าหลาน พวกเราจะลืมเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เจ้าได้ทำ นอกจากนี้พวกเราจะให้ความช่วยเหลือในเส้นทางการบ่มเพาะของเจ้า “
ปรากฏรอยยิ้มกว้างบนหน้าน่าหลานเฟิง นางไม่ได้ตั้งใจที่จะหยิ่งยโส เพียงแต่นางไม่สามารถเก็บซ่อนความหยิ่งผยองที่ถูกสลักไว้ในดวงวิญญาณของนางได้ เกี่ยวกับที่พูดเมื่อครู่ นางให้อภัยและไม่ติดใจเอาความที่หลินเฟิงสังหารน่าหลานเฉิน
“เจ้า… ต้องการที่จะช่วยข้าบ่มเพาะพลัง?” หลินเฟิงงงงวย หญิงสาวคิดว่าตัวเองนั้นดีที่สุดในโลก ไม่เพียงแต่หยิ่งยโส แต่หยิ่งยโสที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอ
“แน่นอน ข้าจะช่วยเจ้าในการบ่มเพาะพลังเป็นการส่วนตัว” น่าหลานเฟิงกล่าว นางคิดว่าหลินเฟิงจะต้องรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง นางยิ้มและยังกล่าวต่อ “เจ้าต้องเข้าใจว่านี่เป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวในชีวิต และถือว่าโชคดีอย่างมาก”
จริงๆแล้ว ข้อเสนอของน่าหลานเฟิงเป็นที่สนใจสำหรับคนธรรมดา ผู้บ่มเพาะพลังหลานคนใฝ่ฝันที่จะได้รับโอกาสนี้ นอกจากนี้ตัวนางเองก็ยังน่าสนใจและรอยยิ้มของนางก็ยั่วยวนสุดๆ อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่การประลองยุทธ์สำหรับคนธรรมดา เห็นได้ชัดว่าการแสดงออกของนางนั้นหยิ่งยโสอย่างมาก
” อ่าาา จะดีมากหากมันเกิดขึ้นกับข้า…. แม้ว่ามันเป็นเพียงควานฝัน แต่ข้าก็ไม่อยากที่จะตื่น”
“เจ้าหญิงน่าหลาน… ส่วนตัว…”
หลายคนอิจฉาหลินเฟิงเป็นอย่างมาก พวกเขาจ้องมองหลินเฟิงด้วยความริษยา เขาโชคดีอย่างน่าเหลือเชื่อ
…. แล้วหลินเฟิงต้องการความช่วยเหลือจากน่าหลานเฟิงในการบ่มเพาะหรือไม่? มันเหมือนกับว่านางเสนอถ่านหินและบอกว่ามันคือเพชร
“อื้มมมม ข้าควรจะต้องรู้สึกปลาบปลื้มมากสินะ?” หลินเฟิงถามด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันและล้อเลียน เนื่องจากหน้ากากของหลินเฟิง น่าหลานเฟิงจึงไม่สามารถที่จะมองเห็นการแสดงออกทางสีหน้าของเขาได้ แต่อย่างไรก็ตามน้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไปเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้
“แล้วทำไมเจ้าถึงไม่รู้สึกแบบนั้น?” น่าหลานเฟิงถามด้วยน้ำเสียงที่แปรเปลี่ยนพร้อมกับรอยยิ้มที่เล็กลง
หลินเฟิงเงียบชั่วครู่ สมแล้วที่นางคือผู้ที่หยิ่งยโสที่สุดที่เขาเคยเจอ
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ น่าหลานเฟิง ข้าจะคิดเลยว่าเจ้าจะโง่เขลาขนาดนี้ ข้าไม่คิดว่าคำแนะนำจากคนโง่ จะส่งเสริมเส้นทางการบ่มเพาะของข้าได้จริง”
ทันในนั้นก็ได้มีเสียงหัวเราะดังมาจากในฝูงชน
จากนั้น มีร่างเงาพุ่งออกมาจากฝูงชน มันราวกับนกในตำนานและร่อนลงบนเวที คนๆนี้ดูท่าทางหยิ่งยโสเป็นอย่างมาก
เป็นชายหนุ่มที่หล่อเหล่าเป็นอย่างมาก และเปล่งประกายความเย่อหยิ่งตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ไป๋ หยวน หาว ” น่าหลานเฟิงกล่าวขณะจ้องมองอย่างแปลกใจ นางหรี่ตาและไม่คิดว่าชายคนนี้จะมา
“ข้าเอง” ชายหนุ่มจ้องมองไปที่น่าหลานเฟิง และยิ้ม ” น่าหลานเฟิง ในเมืองจักรพรรดิ เจ้าเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ข้าไม่คาดคิดว่าเจ้าจะเรียกตัวเองว่าเจ้าหญิงแห่งเมืองหยางโจว เจ้าดูเย่อหยิ่งกับสิ่งที่ตัวเองมีมากเกินไป เจ้าเป็นเพียงคนใช้ราคาถูก”
“หุบปากเหม็นๆของเจ้าไปซ่ะ!” น่าหลานเฟิงตะโกนสุดเสียง
“หืม? เจ้ากำลังโกรธที่ข้าเรียกเจ้าว่าคนใช้ราคาถูก? ดังนั้นมันคงจะเป็นความจริงที่เจ้าเชื่อว่าตัวเองนั้นเป็นเจ้าหญิง…” ชายหนุ่มเพียงชำเลืองมองผ่านๆและยิ้ม
” เหอะ เจ้าก็เป็นเพียงสุนัขไร้ค่า ไม่มีอะไรมากกว่านั้น” น่าหลานเฟิงพยายามที่จะทำให้เขาเสียศักดิ์ศรี
“พูดแบบนี้แสดงว่าเจ้าก็ยอมรับตัวเองว่าเป็นเพียงคนใช้ราคาถูก?” ชายหนุ่มหัวเราะขณะที่ใบหน้าของน่าหลานเฟิงเริ่มบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธ นางไม่หลงเหลือความสง่างามอีกแล้วตอนนี้
“หุบปาก!” น่าหลานเฟิงตะโกนด้วยความอับอาย
เมื่อฝูงชนได้ยินบทสนทนาพวกเขาทำให้พวกเขาสับสนเป็นอย่างมาก เจ้าหญิงแห่งเมืองหยางโจวที่งดงามและเป็นที่ชื่นชมกลับถูกเรียกว่าคนใช้ราคาถูกจากชายหนุ่มปริศนา?
ชายหนุ่มที่เพิ่งปรากฏตัวออกมาเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้พูดไร้สาระ
“กล้าหาญอะไรเยี่ยงนี้ เจ้ากล้าที่จะเข้ามาสร้างความวุ่นวายภายในการประลองยุทธ์ที่ถูกจัดขึ้นโดยตระกูลน่าหลานของข้า เจ้าคงเบื่อที่จะมีชีวิตแล้วกระมัง?” น่าหลานซงจ้องมองชายหนุ่มด้วยความโกรธ
“หุบปากของเจ้าไป” ชายหนุ่มกล่าวขณะหันไปรอบๆ เราจ้องมองไปที่น่าหลานซงที่กำลังโกรธและกล่าว ” เจ้าเป็นเพียงผู้นำตระกูลน่าหลาน ไม่มีอะไรมากกว่านั้น เจ้ากล้าที่จะโอ้อวด ข้าจะบอกให้รู้ไว้ ข้าสามารถทำให้ตระกูลของเจ้าหายไปได้ในพริบตาหากข้าต้องการ”
“เจ้าาา… ” น่าหลานซงโกรธจนแทบคลั่ง เขาไม่คิดว่าชายหนุ่มจะอวดดีแบบนี้
ฝูงชนยิ่งสับสนและไม่เข้าใจสถานการณ์มากยิ่งขึ้น พวกเขาสงสัยถึงตัวตนของชายหนุ่มที่เพิ่งปรากฏตัว ดูเหมือนว่าเขาจะหยิ่งยโสกว่าน่าหลานเฟิงหรือหลินเชียนเสียอีก เขากล้าที่จะข่มขู่และดูถูกผู้นำตระกูลน่าหลาน
“เอาล่ะ ข้า น่าหลานซง อย่างที่จะเห็นนักว่าเจ้าจะใช้วิธีการอะไรมาลบการลบตระกูลข้าให้หายไป” น่าหลานซงกลับมาสงบและยิ้มอย่างเย้ยหยัน นี่เป็นครั้งแรกในเมืองหยางโจวที่มีคนกล้าพูดกับเขาแบบนี้ ชายคนนี้หยิ่งยโสเกินไป
“ท่านพ่อ โปรดให้ข้าเป็นผู้แก้ไขปัญหาด้วยตัวเองได้หรือไม่?” น่าหลานเฟิงได้กล่าวถามพ่อของนางในทันที มันทำให้น่าหลานซงตกตะลึง เขาเริ่มที่จะสั่นกลัว…กับสิ่งที่น่าหลานเฟิงหมายถึง…
“ไป๋หยวนหาว ทำไมเจ้าถึงไม่ได้อยู่ที่เมืองจักรพรรดิ เจ้ามาที่เมืองหยางโจวทำไม?”
“ข้ามาเพื่อชำระหนี้” ไป๋หยวนหาวยิ้ม จากนั้นก็มองไปที่หลินเฟิงและกล่าว “เอาล่ะ เจ้า ลงมา”
“หือ?” หลินเฟิงขมวดคิ้ว ไป๋หยวนหาวสั่งเขาราวกับว่าเป็นเจ้านาย
หลินเฟิงจ้องมองไป๋หยวนหาวและไม่ได้ขยับไปไหน ไป๋หยวนหาวขมวดคิ้วและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา ” ลงมา.. ลงมาจากเวทีเดี๋ยวนี้!”