I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Peerless Martial God ตอนที่ 51 ความโกรธของหลินเฟิง

| Peerless Martial God | 2537 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
                

ฝ่ามือทองคำปลดปล่อยแรงกดดันมหาศาลพุ่งเข้าใส่หลินเฟิง ฝูงชนต่างคิดว่าหลินเฟิงต้องถูกซัดกระเด็นออกไปด้วยแรงปะทะจากฝ่ามือ น่าหลานเฟิงพ่ายแพ้ให้กับการโจมตีที่คล้ายๆกัน แล้วหลินเฟิงล่ะ?

 

“ไสหัวไป!” หลินเฟิงคำราม ประกายแสงจากดาบของเขาเข้าปะทะกับฝ่ามือทองคำก่อให้เกิดความสวยงามเป็นอย่างมาก และยังทำให้เกิดเสียงดังกระจายไปทั่วบรรยากาศ

 

ด้วยกายาทองคำของชิวหยวนหาวไม่เพียงแต่จะพลังความแข็งแกร่งแต่ก็ยังส่งเสริมพลังป้องกันได้อีกเป็นอย่างดี ดูเหมือนว่าเขาจะทนทานต่ออาวุธทั้งหลาย ดังนั้นดาบของหลินเฟิงจึงไม่สามารถที่จะทำอันตรายต่อเขาได้

 

ชิวหยวนหาวมุ้งเน้นไปที่ทักษะป้องกัน เขาอยู่กับมันมามากพอๆกับความหยิ่งยโสของเขา

 

“ฮ่าๆๆๆๆ เจ้ากำลังล้อข้าเล่นอยู่รึเปล่า? ไอลูกหมา เจ้ามันก็แค่เศษขยะ เจ้าไม่มีทางทำร้ายข้าได้” ชิวหยวนหาวเยาะเย้ยหลินเฟิง แสงสีทองของเขาเริ่มปกคลุมชั้นบรรยากาศอีกครั้ง หลินเฟิงรับรู้ถึงแรงกดดับมหาศาลจากดาบของเขา ความแข็งแกร่งนั้นทำให้ดาบของเขาสั่นสะท้านราวกับจะหลุดออกจากมือ

 

“จริงรึ?” หลินเฟิงตอบอย่างไม่แยแส ถ้าดาบถูกใช้อย่างรวดเร็วมันไม่อาจจะที่หยุดได้อีก มันสามารถบุกทำลายป้อมปราการทั้งหมดได้ ผู้ใช้ดาบสามารถที่จะกวัดแกว่งและทำลายทุกสิ่งบนเส้นทางของเขา ไม่มีผู้ใดสามารถรอดจากดาบที่พวกเขามองไม่เห็นได้

 

มีจิตวิญญาณอาวุธมากมาย แต่จิตวิญญาณดาบถือเป็นหนึ่งในจิตวิญญาณที่ทรงพลังและแข็งแกร่งที่สุด แม้ว่าหลินเฟิงจะไม่ได้ครอบครองจิตวิญญาณดาบ แต่ความเชี่ยวชาญในด้านดาบของเขามีมากกว่าผู้ที่มีจิตวิญญาณดาบส่วนใหญ่เสียอีก

 

“อำนาจดาบ” หลินเฟิงกล่าวอย่างแผ่วเบา ดาบของเขาเปล่งประกายออกมา แสงสว่างสดใสเริ่มกลืนกินห้วงอากาศ ปราณที่แข็งแกร่งถูกปลดปล่อยออกมาจากดาบของเขาอย่างรวดเร็ว

 

“ตู้มมมมมมมมมมมมม!”

 

ดาบของหลินเฟิงปะทะกับจิตวิญญาณของชิวหยวนหาวอีกครั้ง เสียงที่่เหมือนกับกระดาษถูกฉีกเป็นชิ้นๆ กระจายไปทั่วอากาศ การแสดงออกทางสีหน้าของชิวหยวนาหาวเปลี่ยนไปในทันที เขาที่มีความแข็งแกร่งยังต้องหลบหลีกคมดาบที่ทรงพลังและไม่สามารถที่จะพึ่งพาการป้องกันจากกายาทองคำได้

 

เมื่อหลินเฟิงเห็นว่าชิวหยวนหาวถึงกับถอยหลัง เขาพาดดาบไว้กับไหล่และยิ้มอย่างเย็นชา “เจ้าบอกข้าว่า ข้าไม่สามารถที่จะทำร้ายเจ้าได้แล้วทำไมเจ้าถึงก้าวถอยหลังล่ะ?”

 

เมื่อชิวหยวนหาวได้ยินคำพูดเหล่านั้น ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธและจ้องมองไปยังหลินเฟิง “ข้ายอมรับว่าข้าประเมินเจ้าผิดไป แต่ถึงยังไงข้าก็แข็งแกร่งกว่าเจ้า เจ้าก็เป็นเพียงลูกสุนักที่ไม่แม้จะต้านทานการโจมตีครั้งเดียวได้”

 

“พูดมากเสียจริง แต่ถึงยังไงทุกสิ่งทุกอย่างที่ออกจากปากของเจ้าก็เป็นเพียงอุจจาระ” หลินเฟิงกล่าวอย่างไม่แยแส “ถ้าอัจฉริยะหมายถึงคนที่มีปากใหญ่และโง่เขลาขนาดไปตัดสินคนอื่นๆแล้วล่ะก็ แสดงว่าเจ้าคงเป็นอัจฉริยะที่แท้จริงหาผู้ใดเปรียบ”

 

“กล้าหาญยิ่งนัก ตั๋วมิ่งมีความกล้าที่จะเผชิญอันตรายตลอดเวลา เขาไม่มีความกลัวเลยหรือไง?” ฝูงชนจ้องมองไปที่หลินเฟิงที่กำลังยั่วยุชิวหยวนหาว พวกเขายึดถือว่าตั๋วมิ่งคือคนที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง พวกเขาคิดว่าหลินเฟิงนั้นมีความแข็งแกร่งเพียงเล็กน้อย ทำให้พวกเขาประเมินหลิงเฟิงผิดไป แต่ในตอนนี้พวกเขาเข้าใจแล้วว่าหลินเฟิงแข็งแกร่งยิ่งกว่าน่าหลานเฟิงและหลินเชียน

 

ทั้งน่าหลานเฟิงและหลินเชียนจ้องมองหลินเฟิง พวกนางไม่คิดมาก่อนว่าเขาจะทรงพลังมากขนาดนี้ ทำให้พวกนางตระหนักถึงความอ่อนด้อยและความโง่เขลาของตัวเอง แต่จริงๆแล้วเป็นหลินเฟิงระมัดระวังไม่ให้ปลดปล่อยพลังมากเกินไป เขานั้นแข็งแกร่งกว่าพวกนางทั้งคู่

 

“แม้ว่าที่ผ่านมาเราจะไม่เห็นใบหน้าของเขา แต่เขายังเยาว์วัยนักและเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง เขาต้องเป็นผู้ที่เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ที่สูงส่ง ถ้าเขาเข้าร่วมกับตระกูลน่าหลานคงจะดีไม่น้อย…” น่าหลานเฟิงคาดหวังว่าตั๋วมิ่งจะเข้าร่วมกับตระกูลของนาง จากนั้นนางก็เดินตรงไปที่หลินเฟิงและกล่าว ” ตั๋วมิ่ง ข้าประเมินเจ้าต่ำไป ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า ตระกูลน่าหลานของข้าจะให้ความเคารพแก่เจ้า ได้โปรดเข้าร่วมตระกูลของข้าและสนับสนุนพวกเราในอนาคต จากนั้นเจ้าจะสามารถพบข้าได้ทุกวัน ไม่ดีอย่างงั้นหรือ? โปรดไตร่ตรองให้ดี”

 

คำพูดของน่าหลานเฟิงทั้งเย่อหยิ่งและมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างมาก นางฟื้นตัวจากก่อนหน้านี้ อาศัยความงามอย่างธรรมชาติและเสน่ห์อันเย้ายวนของนางเพื่อที่จะโน้มน้าวหลินเฟิง ทั้ง 2 จะได้รับประโยชน์มากมายจากความสัมพันธ์นี้ นอกจากนี้นางยังงดงามเป็นอย่างมากและเชื่อว่าหลินเฟิงคงไม่กล้าที่จะปฏิเสธข้อเสนอของนาง

 

“ไสหัวไป!”

 

ไม่มีใครคิดว่าหลินเฟิงไม่เพียงจะปฏิเสธข้อเสนอของน่าหลานเฟิงแต่ยังชี้ดาบไปหานางด้วย ทำให้เขาดูโหดเหี้ยมเป็นอย่างมาก

 

ม่านตาของน่าหลานเฟิงเบิกกว้าง นางปลดปล่อยจิตวิญญาณแขนศักดิ์สิทธิ์ทองและโจมตีด้วยหมัดศักดิ์สิทธิ์ไปที่ดาบของหลินเฟิง

 

แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดาบยาวไม่ขยับเลยแม้แต่มิลเดียว จากนั้นเสียงอัสนีคำรามสั่นสะท้านไปทั่วบรรยากาศ มันเต็มไปด้วยความรุนแรงจากปราณที่ระเบิดออกมาและดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก

 

 

ใบหน้าของน่าหลานเฟิงเปลี่ยนไปทันที นางรีบหลบการโจมตีจากหลินเฟิงอย่างรวดเร็ว

 

“ตู้มมมมมมมมมมมมม!”

 

หลินเฟิงเหวี่ยงมือซ้ายออกไปตามด้วยเสียงระเบิดที่ดังสะนั่น เงาหมัดซ้อนทับกันตามมาด้วยความพลังที่รุนแรง ราวกับน้ำป่าที่ไหลทะลัก

 

พวกมันทั้งหมดพุ่งตรงไปยังน่าหลานเฟิงด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ

 

น่าหลานเฟิงกรีดร้อง นางถูกกระแทกกระเด็นไปไกลและดูอ่อนแอเป็นอย่างมาก นางคลานไปทางด้านหลังของเวทีประลองหลัก อีกเพียงก้าวเดียวนางก็จะได้ออกไปแล้ว

 

ฝูงชนต่างสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น หลินเฟิงสร้างปาฏิหาริย์มากเกินไป

 

ทุกครั้งที่หลินเฟิงเคลื่อนไหว พวกเขาจะพบกับความมหัศจรรย์ของหลินเฟิงและตระหนักได้ว่าประเมินเขาต่ำเกินไป ราวกับว่าหลินเฟิงค่อยๆปลดปล่อยความแข็งแกร่งออกมาเรื่อยๆ ทำให้พวกเขาประเมินหลินเฟิงผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้แต่ในตอนที่หลินเฟิงเอาชนะน่าหลานเฟิงได้อย่างรวดเร็ว

 

พวกเขาจำได้ว่า พวกเขาคิดว่าน่าหลานเฟิงและหลินเชียนคือตัวเต็งในการแข็งและไม่เห็นหลินเฟิงอยู่ในสายตา พวกเขาคิดว่าหลินเฟิงทั้งน่าหัวเราะและโง่เขลา ถ้าชิวหยวนหาวไม่ได้อยู่ที่นี่ หลินเฟิงสมควรจะถูกเรียกว่าบรรพบุรุษของพวกเขาไปแล้ว

 

ไม่เฉพาะฝูงชนที่คิดเช่นนั้น ทั้งน่าหลานเฟิงและหลินเชียน โดยเฉพาะน่าหลานเฟิงนางเมินและไม่สนใจหลินเฟิงโดยสมบูรณ์ เมื่อทั้งสามอยู่ในสนามประลองสุดท้าย พวกนางลืมไปแล้วว่าหลินเฟิงก็อยู่ที่นั่นด้วย พวกนางดูถูกเขาจริงๆ พวกนางประเมินความสามารถของหลินเฟิงผิดไปมาก และอาจจะตายด้วยคมดาบของเขา

 

“เจ้าแข็งแกร่งมาก…. โปรดชี้แนะการบ่มเพาะของข้าได้หรือไม่….?” หลินเฟิงล้อเลียนด้วยท่าทีหยาบคายขณะจ้องมองไปยังน่าหลานเฟิง หลินเฟิงเต็มไปด้วยความขุนเคืองและโกรธแค้น เพราะพฤติกรรมที่หยิ่งยโสของนาง แต่สิ่งที่ทำให้หลินเฟิงหงุดหงิดมากที่สุดก็คือการที่นางไม่เคารพผู้อื่น…. และนางยังต้องการให้คนอื่นเคารพนาง มิฉะนั้นแล้วนางอาจจะส่งกองกำลังไปหาในตอนกลางคืนและโจมตีคนเหล่านั้น หลินเฟิงไม่สามารถที่จะทนกับหญิงสาวที่หยิ่งยโสเช่นนี้ได้

 

น่าหลานเฟิงอับอายเป็นอย่างมากเมื่อจำถึงสิ่งที่นางพูดออกไป นางตระหนักได้ว่าตัวเองนั้นโง่เขลาเสียจริง

 

“เข้าร่วมตระกูลของเจ้า ได้เจอเจ้าทุกวัน เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? เจ้าคิดว่าเป็นผู้เดียวที่อยู่บนจุดสูงสุดของโลก และคิดว่าคนอื่นต่อยต่ำกว่าเจ้า อะไรที่ทำให้เจ้ามีสิทธิ์คิดว่าข้าอยากจะพบเจ้าทุกวัน?”

 

หลินเฟิงยังคงพูดต่อไปมันทำให้นางเข้าใจได้ว่าตัวเองนั้นน่าขบขันและไม่มีคุณค่าพอที่จะหยิ่งยโส

 

น่าหลานเฟิงรู้สึกราวกับว่าใบหน้ากำลังถูกเผา นางไม่สามารถที่จะหาอะไรมาลบล้างคำพูดของหลินเฟิงได้

 

ในตอนนั้นน่าหลานซงมองมาที่พวกเขา เขากำลังจ้องมองหลินเฟิงด้วยความโกรธ หลินเฟิงมอบความพ่ายแพ้ให้กับน่าหลานเฟิงอย่างง่ายดาย ตั๋วมิ่งราวกับว่ากำลังจะสังหารคนที่หยิ่งยโสอย่างน่าหลานเฟิง ซึ่งเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลน่าหลาน

 

ฝูงชนไม่สามารถที่จะระงับความตื่นเต้นไว้ได้ หลินเชียน,น่าหลานเฟิง,ตั๋วมิ่ง และชิวหยวนหาว ทั้งหมดต่างเป็นอัจฉริยะที่แข็งแกร่งกว่าผู้อื่นโดยสิ้นเชิง

 

ไม่มีคนใดในพวกเขาที่จะดูถูกได้ บางคนในนั้นแข็งแกร่งจนทำให้เลือดที่ไหลเวียนอยู่ในตัวผู้คนเดือดพล่าน พวกเขาทั้งหมดจ้องมองไปที่หลินเฟิง

 

หลินเฟิงค่อยๆเปิดเผยความแข็งแกร่งของเขาออกมาเรื่อยๆ และเริ่มที่จะกลายเป็นคนที่โหดเหี้ยมขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน ยิ่งโหดเหี้ยมมากเท่าไรก็ยิ่งตื่นเต้นขึ้นเท่านั้น ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะกล้าสู้กับเขา หลินเฟิงโหดร้ายและไร้ปรานีเกินไป

 

“โอ้ เจ้ายังอยู่ที่นี่ด้วยสินะ ข้าไม่มีความตั้งใจที่จะสู้กับเจ้า หรือยัดเยียดความแค้นให้กับเจ้า… แต่ถ้าเจ้ายังคงพยายมบีบบังคับข้าและยังคิดว่าเจ้าเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกล่ะก็ ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงเป็นอย่างไร”

 

หลินเฟิงหันไปมองชิวหยวนหาวและกล่าวด้วยอย่างเย็นชา “เจ้าบอกว่าน่าหลานเฟิงเป็นคนที่หยิ่งยโสและตั้งตัวเองเหนือทุกคน… และบอกว่านางสามารถที่จะทำแบบนี้ได้เฉพาะเมืองเล็กๆและน่าสังเวชอย่างเมืองหยางโจว … แล้วเจ้าล่ะ? อัจฉริยะ? เรียกว่าข้าลูกสุนัข… ตอนนี้ ข้าอยากจะถามเจ้าว่า อะไรที่ทำให้เจ้าเป็นอัจฉริยะ?”

 

หลินเฟิงกล่าวขณะที่ก้าวเดิน เขาปลดปล่อยจิตวิญญาณออกเป็นครั้งแรก

 

ดูเหมือนว่าทุกคนจะไม่ได้สังเกตว่าเขาได้ปลดปล่อยจิตวิญญาณออกมา…

 

ในดวงตาของหลินเฟิงทั้งโลกกลายเป็นมืดมิด สายตาของหลินเฟิงกลายเป็นสีดำสนิท เขาดูชั่วร้ายอย่างแท้จริง ราวกับว่าหลุมดำได้เข้ามาแทนที่ดวงตาของเขา ราวกับว่าเขาได้กลายเป็นปีศาจ

 

ทุกอย่างรอบตัวเขาดูเหมือนจะเชื่องช้าลง ทุกการเคลื่อนไหว ทุกใบหน้า ทุกอย่าง…. หลินเฟิงสามารถมองเห็นทุกอย่างรอบตัวได้ในเวลาเดียวกันและคมชัดราวกับว่าทุกอย่างเกือบจะหยุดเคลื่อนไหว ไม่มีอะไรสามารถรอดพ้นจากสายตาของเขาไปได้ หลินเฟิงสามารถที่จะรู้ว่าทุกคนทำอะไรอยู่ในเวลานี้

 

หลินเฟิงยังได้ยินเสียงหัวใจของตัวเอง เขายังสัมผัสได้ถึงเส้นเลือดที่ไหลเวียนอยู่ข้างใน หลินเฟิงรับรู้ทุกการเคลื่อนไหวของชิวหยวนหาว แม้กระทั่งจังหวะการหายใจของเขา

 

หลินเฟิงไม่สามารถที่จะพูดได้ราวกับว่าเขาเป็นดั่งเทพเจ้ามีอำนาจเหนือทุกสิ่ง เขาสัมผัสถึงทุกสิ่งได้ในเวลาเดียวกัน ราวกับดวงตาขนาดใหญ่ที่สามารถมองเห็นทุกอย่างได้ในจักรวาล… แต่ดวงตาไม่สามารถพูดได้

 

ภายใต้หน้ากากที่หลินเฟิงสวมใส่ ชิวหยวนหาวสามารถมองเห็นสายตาของหลินเฟิงได้ เขาเริ่มสั่นด้วยความกลัว เขาไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวเท่านี้มาก่อน เขาไม่รู้ว่าตัวเองกำลังมองอะไรอยู่ เกิดอะไรขึ้นกับสายตาของหลินเฟิง? ทำไมมันเหมือนกับว่าเขากำลังจ้องมองความตายที่ไร้ที่สิ้นสุด

 

ทันใดนั้นเองที่ชิวหยวนหาวสับสนและหวาดกลัว เขาสัมผัสได้ว่าความกลัวของเขาทะลักเข้าไปในกระดูกและทำให้เขาสั่นสะท้านราวกับถูกแช่แข็ง มันราวกับภาพหลอนไม่มีใครอยู่ข้างหน้าของเขา

 

หลินเฟิงยืนอยู่ตรงหน้าเขาอย่างชัดเจน แต่ชิวหยวนหาวไม่สามารถสัมผัสได้ถึงตัวตนของเขา เพียงแค่เขากระพริบตาหลินเฟิงก็มายืนอยู่ตรงหน้าของเขา มันราวกับว่าที่ๆหลินเฟิงยืนอยู่คือหลุมดำดูดกลืนการมีอยู่ของเขา

 

“ตู้มมมมมมมมมมมมม!”

 

….

 

“ตู้มมมมมมมมมมมมม!”

 

…….

 

“ตู้มมมมมมมมมมมมม!”

 

………

 

ทันใดนั้นบรรยากาศกลายเป็นเงียบงัน ทุกคนจ้องมองไปที่หลินเฟิงราวกับว่าเขาเป็นเพียงผู้เดียวที่ยืนอยู่ในจักรวาล

แม้ว่าการเคลื่อนไหวของหลินเฟิงแทบจะไม่มีเสียงเลยก็ตาม แต่ทุกคนที่จ้องมองทำให้เกิดความรู้สึกสะพรึงกลัวภายในจิตใจของพวกเขา ราวกับว่ามันสามารถระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ มันคือความกลัวอย่างแท้จริง สัญชาตญาณแรกที่เกิดขึ้นมีเพียงสิ่งอย่างเดียวคือ… วิ่ง

 

ดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ทุกย่างก้าวของหลินเฟิงทำให้ชิวหยวนหาวราวกับถูกแช่แข็ง

 

ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
comments