ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป“ลืมไปเถอะ” หลินเฟิงไม่อยากที่จะคิดมากเกินไป ดูเหมือนว่าสถานะของนางจะสูงกว่าเหล่าทหารนั่นมากกว่าที่เขาคิด พลังของพวกเขามากกว่าหลินเฟิงในตอนนี้
“ข้าไม่มีความแข็งแกร่งมากนักและไม่มีกองกำลังใดที่จะสนับสนุนข้า” หลินเฟิงคิดขณะจ้องมองไปยังด้านหลังของกองทหาร หลินเฟิงตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะฝึกฝนอย่างเอาเป็นเอาตายหลังจากกลับไปที่นิกายหยุนไห่และเข้าเป็นศิษย์ภายใน
หลินเฟิงควบม้าขึ้นไปบนภูเขา มียาม 2 คนเฝ้าที่นี่ พวกเขาก้มศีรษะมองพื้นและไม่กล้าที่จะสบตาหลินเฟิง ทั้ง 2 คือผู้ที่ได้รับบทเรียนจากหลินเฟิงในครั้งที่แล้ว และเรียนรู้ที่จะอ่อนน้อมถ่อมตน
บรรยากาศของนิกายหยุนไห่เต็มไปด้วยพลังที่ได้รับการหยิบยืมมากจากสวรรค์และปฐพี มันกระตุ้นและเพิ่มพูนพลังให้กับหลินเฟิงอย่างมาก ทุกๆปี จะมีการสอบเข้าเป็นศิษย์ภายใน ศิษย์ทั่วไปที่แข็งแกร่งที่สุดจะสามารถเข้าร่วมได้ ซึ่งหมายความว่าพวกเขาอาจจะกลายเป็นศิษย์ที่แท้จริงของนิกาย
นอกจากนี้ยังกล่าวได้อีกว่า เหล่าหัวกะทิของศิษย์ภายในสามารถที่จะสอบและกลายเป็นศิษย์หลักของนิกายหยุนไห่ ซึ่งจะทำให้พวกเขาเป็นรากฐานที่สำคัญของนิกาย
นิกายหยุนไห่มีอิทธิพลที่น่ากลัวในอาณาหิมะจันทรา แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่นิกายที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ก็ไม่สามารถที่จะล้อเล่นด้วยได้ เหล่าศิษย์นั้นต่างนับถือและภูมิใจในศักดิ์ศรีของนิกาย แม้แต่ในเมืองที่อยู่นอกอาณาจักร ศิษย์หลักของนิกายหยุนไห่ยังได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพในทุกที่ๆพวกเขาไป พวกเขาได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากนิกาย
แม้แต่คนจากตระกูลเองก็ให้ความสำคัญเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ในตระกูลหลินผู้อาวุโสผู้ทรงเกียรติและหลินป้าเต้าในความเคารพต่อตำแหน่งศิษย์หลักของแต่ละนิกายเป็นอย่างมาก ในตระกูลหลินพวกเขาต้องการให้หลินป้าเต้าขึ้นเป็นผู้นำตระกูลเพราะพวกเขาหวังว่าหลินเชียนจะได้กลายเป็นศิษย์หลักของนิกายห้าวเย่ว นี่จะทำให้พวกเขาได้รับเกียรติสูงสุดและยกระดับสถานะของตระกูลภายในอาณาจักร และถ้าหลินเชียนก้าวหน้ายิ่งขึ้น นางอาจจะได้เป็นผู้อาวุโสของนิกายห้าวเย่ว ซึ่งจะเสริมสร้างอิทธิพลให้แก่ตระกูลหลินเป็นอย่างมาก
แต่ที่น่าเสียดาย หลินเฟิงผู้ที่ทุกคนมั่นใจว่าจะได้กลายเป็นศิษย์ที่โดดเด่นของนิกายในอนาคตอย่างแน่นอนกลับไม่ได้เป็นสมาชิกของตระกูลอีกต่อไปแล้ว นี่คือสิ่งที่ทำให้สมาชิกตระกูลหลินทุกคนเสียใจที่สุดจนถึงตอนนี้
เมื่อหลินเฟิงมาถึงนิกายหยุนไห่ เขาตัดสินใจที่จะชำระล้างสิ่งสกปกออกเป็นอันดับแรกหลังจากที่เดินทางมาตลอด 10 วัน หลังจากนั้นเขาก็สวมเครื่องแบบที่สะอาดสะอ้านของนิกาย และมุ่งหน้าไปยังหอดวงดารา
หลินเฟิงทะลวงผ่านสู่ขอบเขตจิตวิญญาณแล้ว เขาต้องการเทคนิคเคลื่อนที่และทักษะต่อสู้ระดับสูงขึ้น มีเพียงทักษะระดับสูงเท่านั้นที่จะทำให้เขาปลดปล่อยพลังได้อย่างเต็มที่เมื่อเขาต้องต่อสู้
“ผู้พิทักษ์เป๋ย” หลินเฟิงจ้องมองไปยังชายชราที่กำลังนั่งอยู่หน้าหอดวงดาราและกำลังเหม่อมองไปบนท้องฟ้า
แต่หลินเฟิงก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่รู้ว่าชายชราคนนี้คือผู้พิทักษ์ของนิกาย หลินเฟิงรู้ว่าชายชราคนนี้อาจจะดูเกียจคร้าน แต่มันก็เป็นเพียงแง่มุมหนึ่งของบุคลิกของเขา อย่างไรก็ตามถ้าหากหลินเฟิงไม่เห็นด้วยตาของตัวเอง เขาแทบจะไม่เชื่อเลยว่าชายชราคนนี้จะทรงพลังเป็นอย่างมาก
ผู้พิทักษ์เป๋ยเปลี่ยนแปลงท่าทีอย่างฉับพลัน เขาจ้องมองไปที่หลินเฟิงด้วยสายตาที่เป็นประกาย จากนั้นเขาก็ยิ้มขึ้นซึ่งหาได้ยากมากที่เขาจะแสดงออกเช่นนี้ และกล่าว ” โอ้ ในที่สุดเจ้าก็กลับมา”
“ขอรับ ข้าต้องการที่จะหาทักษะใหม่เพื่อฝึกฝน” หลินเฟิงยิ้มและพยักหน้า
“ไปที่ชั้นแรก และใช้เวลาของเจ้า” ผู้พิทักษ์เป๋ยตอบ
“ขอบคุณ ผู้พิทักษ์เป๋ย ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือและขอโทษที่รบกวน” เป้าหมายของหลินเฟิงก็คือไปยังชั้นแรกและได้รับทักษะระดับสูง ตามกฏของนิกายมีเพียงผู้ที่บรรลุของเขตจิตวิญญาณหรือศิษย์ภายในเท่านั้นที่จะเข้ามายังชั้นแรกได้ แต่เหล่าศิษย์ที่บรรลุขอบเขตจิตวิญญาณแต่ยังไม่เข้าร่วมกับศิษย์ภายในจะมีเวลาที่จำกัด พวกเขามีเวลาเพียงเล็กน้อยที่จะเลือกทักษะ พวกเขาจะไม่สามารถไปยังชั้นที่ 2 ได้หากยังไม่ได้เป็นศิษย์ภายใน มีตะเกียงน้ำมันส่องสว่างอยู่ในห้องเมื่อเข้ามาและเมื่อตะเกียงดับลงพวกเขาจะต้องจากไป ในช่วงเวลาสั้นๆ พวกเขาจะต้องตามหาเทคนิคเคลื่อนที่และทักษะต่อสู้ที่เหมาะสมกับตัวเอง
ด้วยเวลาในตะเกียงน้ำมันคงยากที่จะหาทักษะที่เหมาะสมกับตัวเอง มีทั้งเทคนิคเคลื่อนที่และทักษะต่อสู้มากมายในหอดวงดารา มันคงยากมากที่จะหากทักษะที่เหมาะสมในเวลาที่จำกัด แต่กฏก็ต้องเป็นกฏ ไม่มีใครกล้าที่จะฝ่าฝืนกฏของนิกายหยุนไห่ ศิษย์ของนิกายหยุนไห่จะต้องกลายเป็นศิษย์ภายในเพื่อที่จะสามารถเข้าถึงทักษะในชั้นนี้และชั้นที่สองของหอดวงดารา ด้วยวิธีนี้พวกเขาจะสามารถปรับปรุงความสามารถและหาทักษะที่ดีที่สุดสำหรับรูปแบบการต่อสู้ของพวกเขาได้
“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณอะไรข้ามากมายนัก เพียงแต่อย่าขึ้นชั้นที่ 2 เจ้าสามารถอยู่ที่ชั้นล่างและชั้นแรกได้ตราบที่เจ้าต้องการ” ชายชรากล่าวอย่างไม่แยแส
หลินเฟิงประหลาดใจและมึนงง หลังจากนั้นก็ปรากฏรอยยิ้มขนาดใหญ่บนใบหน้า แน่นอนว่าหลินเฟิงโชคดีมากที่ผู้พิทักษ์จับตามองเขา
“ขอบพระคุณมาก.. ขอบคุณ.. ขอบคุณจริงๆท่านผู้พิทักษ์ที่น่านับถือ”
หลินเฟิงเริ่มคุ้นเคยเมื่อได้พูดคุยกับชายชรา หลังจากนั้นเขาก็เข้าไปในหอดวงดาราและมุ่งตรงไปยังบันไดของชั้นแรก
“สหายตัวน้อย ข้ากังวลว่าระดับการบ่มเพาะของเจ้าจะไม่เหมาะสมกับทักษะและเทคนิคเหล่านั้น มิฉะนั้นข้าคงจะให้เจ้าไปยังชั้นที่ 3 แล้ว” ชายชราคิดขณะที่มองไปยังแผ่นหลังของหลินเฟิง เขาทำได้เพียงส่ายหัวและยิ้ม จากนั้นก็กล่าวอย่างเงียบๆ “หน้าผาจ้านกู้… กลองแปดตัว… เจ้าได้เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ของนิกายหยุนไห่ เจ้าจะสามารถเข้ามายังหอดวงดาราของข้าได้ตามที่เจ้าต้องการ”
ผู้พิทักษ์เป๋ยอาจจะมีความรู้สึกดีๆกับหลินเฟิง แต่ศิษย์คนอื่นไม่ได้คิดเช่นนั้น เมื่อพวกเขาเห็นหลินเฟิงที่สวมเครื่องแบบศิษย์ทั่วไปขึ้นไปยังชั้นแรกของหอดวงดารา ทำให้ผู้คนมากมายกลายเป็นหงุดหงิด
“เขาเป็นใคร? กล้าขึ้นไปยังชั้นแรกของหอดวงดาราได้อย่างไร?”
“ข้าไม่รู้ แต่ที่แน่ๆเขาเป็นศิษย์ภายนอกแน่นอน.. และเขาก็ยังไม่ได้เป็นที่รู้จักในนามของผู้ที่บุกทะลวงขอบเขตวิญญาณ”
หลายคนอิจฉา ไม่เพียงเทคนิคเคลื่อนที่ระดับสูงจะมอบอำนาจให้กับผู้บ่มเพาะพลังในด้านความเร็วและยังเป็นประโยชน์กับการบ่มเพาะ แต่ยังเพิ่มจุดแข็งในตอนที่ต่อสู้อีกด้วย ในการต่อสู้จะทำให้พวกเขามีความได้เปรียบอย่างชัดเจนในเรื่องความเร็วที่เหนือกว่าคู่ต่อสู้ แล้วใครจะไม่ต้องการ?
ทั้งเทคนิคและทักษะต่อสู้ทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็นระดับต่างๆ เช่น ระดับนภา, ระดับปฐพี, ระดับลึกลับ, ระดับเหลือง … ทักษะและเทคนิคทั้ง 4 ระดับกระจายอยู่ทั่วหอดวงดารา ชั้นล่างสุดคือทักษะและเทคนิคระดับเหลือง ชั้นแรกจะเป็นทักษะและเทคนิคระดับลึกลับ มันทรงพลังเป็นอย่างมาก
ชั้นแรกของหอดวงดาราเงียบเหงากว่าชั้นล่างมาก มีผู้คนน้อยมากในชั้นแรก พวกเขากำลังมองหาทักษะและเทคนิคที่เหมาะสมกับตัวเองอย่างเงียบๆ
ทันใดนั้น หลายๆคนจ้องมองหลินเฟิงขึ้นไปยังชั้นแรกด้วยความรังเกียจ
“มีทักษะต่อสู้และเทคนิคเคลื่อนที่น้อยกว่าชั้นล่าง” หลินเฟิงคิดขณะจ้องมองทักษะทั้งหมดในชั้นแรก อย่างไรก็ตามพวกมันก็ยังคงมีคุณค่า เห็นได้ชัดว่าพวกมันหายากกว่าทักษะในชั้นล่าง
“เอาล่ะ เริ่มหาทักษะดีกว่า” หลินเฟิงคิดขณะมองไปที่ตำราทั้งหมด จากนั้นเขาก็เริ่มอ่านและวิเคราะห์พวกมันในทันที
“เทคนิคชำระล้าง ระดับลึกลับ ช่วยดูดซับพลังจากสวรรค์และปฐพีเพื่อชำระล้างร่างกาย กำหนดรูปแบบและควบคุมร่างกายได้ดีขึ้น ยิ่งฝึกไปถึงระดับสูงเท่าไร ร่างกายก็จะยิ่งแข็งแกร่งและควบคุมได้ง่ายขึ้นเท่านั้น”
“โปรดทราบว่าทักษะเหล่านี้เหมาะสมกับทุกจิตวิญญาณ แต่ก็ไม่สามารถที่จะฝึกได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากต้องเปลี่ยนแปลงกล้ามเนื้อและเส้นโลหิตภายในร่างกายเสียก่อน การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเกินไปจะส่งผลเสียกับร่างกาย”
นั่นคือหนึ่งในเทคนิคที่มีบันทึกเล็กๆน้อยๆเขียนไว้ มันจะช่วยให้เหล่าศิษย์เข้าใจง่ายยิ่งขึ้น
“ข้าเลือกเล่มนี้…” หลินเฟิงกล่าวอย่างแผ่วเบา ราวกับไม่เห็นคำเตือนที่เขียนไว้ เขาเลือกเทคนิคนี้ในทันที
หลินเฟิงไม่ได้ดูเทคนิคอื่นๆ เขารู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่
ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับเทคนิคชำระล้างดูไร้ประโยชน์แต่หลินเฟิงกลับคิดว่ามันยอดเยี่ยมมาก
“ต่อไปก็ทักษะต่อสู้…” หลินเฟิงคิดขณะเดินตรงไปยังชั้นวางทักษะ
“ป่าแห่งความตาย”
“ตำราแผดเผา”
“น้ำแข็งมรณะ”
หลินเฟิงดูทักษะทั้งหมด แต่เขาก็ยังไม่พบทักษะที่สนใจ
” ทักษะแปดฝ่ามือพิฆาต ทักษะระดับลึกลับ แปดการโจมตีที่ทรงพลังครอบคุมไปทั่วสวรรค์และแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะหลบหลีก “
ทักษะนี้ดึงดูดความสนใจของหลินเฟิง
“ข้าจะเลือกเล่มนี้ด้วย” หลินเฟิงหยิบตำราขึ้นมาแต่ยังไม่ได้จากไป เขาต้องการทักษะต่อสู้ มันคงจะนานเกินไปถ้าเขาจะต้องฝึกทักษะต่อสู้ใหม่ๆ ดังนั้นเขาต้องเพิ่มพลังการต่อสู้อย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พบกับทักษะดาบที่ทรงพลัง มันเป็นทักษะระดับลึกลับ แต่ต้องใช้จิตวิญญาณดาบเพื่อให้เข้าใจมันได้อย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้เขายังจำเป็นต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับพลังของดาบและพลังจากธาตุที่อยู่ภายใน ถ้าเขาไม่เข้าใจพวกมัน เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะฝึกทักษะนี้ได้ มันถูกเรียกว่า ‘ดาบแห่งสวรรค์’
ศิษย์หลายคนหลีกเลี่ยงทักษะนี้เพราะเงื่อนไขในการเรียนรู้ของมัน ไม่เพียงแต่เขาต้องมีความเข้าใจในพลังของดาบ แต่ยังต้องมีความรู้เกี่ยวกับโลกรอบตัวและพลังธาตุอีกด้วย มันเป็นขอบเขตความรู้ที่ยากเกินไป
“เยี่ยม อันนี้แหละ” หลินเฟิงตื่นเต้น ราวกับว่าทักษะดาบแห่งสวรรค์ถูกสร้างมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ ทั้งความเข้าใจในพลังดาบ ความเข้าใจอันสมบูรณ์เกี่ยวกับโลกและพลังที่อยู่ภายใน เขาจะบรรลุความเข้าใจทั้งหมดด้วยจิตวิญญาณของเขา มันเป็นทักษะที่สมบูรณ์แบบสำหรับหลินเฟิง
ราวกับทักษะนี้สร้างมาเพื่อเขา! เงื่อนไขที่ต้องมีจิตวิญญาณแห่งดาบถึงจะฝึกฝนทักษะนี้เป็นเรื่องตลกสำหรับหลินเฟิง เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าคนที่มีจิตวิญญาณแห่งดาบจะมีความรู้เกี่ยวกับดาบมากกว่าหลินเฟิง?