I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Peerless Martial God ตอนที่ 57 หลิ่วช่างหลาน

| Peerless Martial God | 2537 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
                

เฉินเฉินยังไม่ได้ออกจากหอดวงดารา เขาไม่ได้รีบร้อนที่จะจากไป กลับกัน เขากำลังยืนรออยู่ที่ประตูทางเข้า 

 

“เจ้าเลยเวลาที่กำหนดเล็กน้อย ครั้งต่อไป จงรักษาเวลาให้ดี” ผู้พิทักษ์เป๋ยกล่าวขณะจ้องมองไปยังเฉินเฉินและส่ายหัว
“ข้าเกินเวลาไปเพียงเล็กน้อย แต่ไอหนูนั่นอยู่นานกว่าข้ามากนัก ข้าอยากรู้จริงๆว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับมัน” เฉินเฉินเฝ้ารอให้หลินเฟิงออกมา

 

หลินเฟิงไม่ได้ทำให้เฉินเฉินรอนานนัก เขาก้าวออกมาจากหอดวงดาราด้วยท่าทีผ่อนคลายราวกับว่าไม่พบปัญหาอะไรเลย

 

“ผู้พิทักษ์เป๋ย นี่คือทักษะและเทคนิคที่ข้าเลือก” หลินเฟิงกล่าวขณะที่เหลือบมองเฉินเฉิน เขายื่นทักษะและเทคนิคที่เขาเลือกให้กับผู้พิทักษ์เป๋ยด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร

 

“เทคนิคชำระล้าง… มันจะช่วยเสริมสร้างพื้นฐานการเคลื่อนที่ให้กับเจ้า มันควรค่าแก่การฝึกฝน” ผู้พิทักษ์เป๋ยกล่าวขณะกำลังพิจารณาทักษะและเทคนิคที่หลินเฟิงเลือก เขาพยักหน้าเห็นด้วยและกล่าวเพิ่ม ” แปดฝ่ามือพิฆาต แม้จะไม่ได้เป็นทักษะที่ดีที่สุดในระดับลึกลับ แต่ก็ยังนับได้ว่าเป็นทักษะที่ทรงพลังอย่างมาก มันยากที่จะเรียนรู้และฝึกฝน แต่เมื่อพิจารณาจากศักยภาพของเจ้าแล้วคงจะไม่มีปัญหามากนัก และเกี่ยวกับดาบแห่งสวรรค์ ทุกคนสามารถที่จะเรียนรู้มันได้ แต่มีเพียงอัจฉริยะที่แท้จริงเท่านั้นที่จะสามารถควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์ เจ้าอาจจะต้องใช้ความพยายามสักหน่อยเพื่อที่จะบรรลุทักษะนี้อย่างสมบูรณ์”

 

ผู้พิทักษ์เป๋ยแสดงความเห็นเกี่ยวกับทักษะและเทคนิคที่หลินเฟิงเลือก “ถ้าสักวันเจ้ามีโอกาสที่สามารถฝึกฝนทักษะดาบสวรรค์ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว หลังจากนั้นอย่าได้ฝึกฝนทักษะระดับลึกลับที่ต่ำกว่าระดับล่างหรือระดับกลางอีก… แต่จงเรียนรู้ทักษะลึกลับระดับสูงขึ้นไปเท่านั้น อย่างไรก็ตามหากเจ้าเชี่ยวชาญทักษะนี้แล้ว เจ้าสามารถต่อกรกับทักษะลึกลับระดับสูงได้”

 

หลินเฟิงยิ้มเมื่อได้ยินคำแนะนำจากชายชรา ช่องว่างของระดับทักษะลึกลับนั้นกว้างเป็นอย่างมาก แต่ถ้าหากเขาสามารถที่จะบรรลุทักษะนี้อย่างสมบูรณ์ การโจมตีที่เขาปล่อยออกมาจะเทียบเท่ากับทักษะลึกลับระดับสูง

 

ด้านข้างของหอดวงดารา ผู้พิทักษ์เป๋ยและหลินเฟิงกำลังพูดคุยกันอย่างเป็นกันเอง มันทำให้ใบหน้าของเฉินเฉินบิดเบี้ยวด้วยความน่าเกลียด ดูเหมือนหลินเฟิงและผู้พิทักษ์เป๋ยจะมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ไม่แปลกใจเลยทำไมหลินเฟิงถึงกล้าที่จะละเลยกฎของนิกาย

 

“เขาอยู่ที่ชั้นแรกนานกว่าเวลาในตะเกียงน้ำมันเสียอีก!” เฉินเฉินเอ่ยขัดขวางการสนทนาของพวกเขาซึ่งทำให้ผู้พิทักษ์เป๋ยขมวดคิ้ว จากนั้นก็หันศีรษะและหันกลับไปยังเฉินเฉิน

 

” ข้ารู้ ” ผู้พิทักษ์เป๋ยกล่าวอย่างไม่แยแส

 

” ท่านรู้ว่าเขาฝ่าฝืนกฎ แต่ท่านก็ละเลยที่จะลงโทษเขา?” เฉินเฉินไม่คาดคิดว่าผู้พิทักษ์เป๋ยจะยอมรับด้วยท่าทีสบายใจและไม่แยแสเช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกโกรธมาก

 

ผู้พิทักษ์เป๋ยจ้องมองไปที่เฉินเฉิน เขาส่ายหัวและกล่าว ” ข้าอยู่ที่นี่มาหลายปี มีประสบการณ์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสหรือศิษย์หลักก็ต้องผ่านการเห็นชอบข้าทั้งนั้นถ้าพวกเขาต้องการที่จะเข้าไปยังหอดวงดารา หรือเจ้าคิดที่จะสอนให้ข้าทำงาน? “

 

ผู้พิทักษ์เป๋ยเป็นตัวตนที่พิเศษมาก แม้แต่ประมุขนิกายอย่างหนานกงหลิงยังต้องแสดงความเคารพอย่างมากเมื่อเจอกับเขา ในสายตาของเขา เพียงศิษย์ธรรมดาตัวเล็กๆที่ไม่มีอำนาจ ไม่อาจทำอะไรได้มากนัก แม้จะเป็นศิษย์ธรรมดาที่ติดอันดับสูงๆ ก็ยังเป็นเพียงตัวตนเล็กๆ ที่ไม่มีอำนาจและไม่ควรค่าให้เขาต้องเสียเวลา แม้แต่ศิษย์ภายในก็ยังไม่อยู่ในสายตาของผู้พิทักษ์เป๋ยเช่นกัน

 

แต่หลินเฟิงเป็นข้อยกเว้น ผู้พิทักษ์เป๋ยมีความประทับใจหลินเฟิงในครั้งแรกที่เจอ เขาคิดว่าหลินเฟิงสุภาพและฉลาดเป็นอย่างมาก ต่อมาเขาพบว่าหลินเฟิงนั้นมากไปด้วยพรสวรรค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่เขาทำให้กลองทั้ง 8 ตัวดังขึ้น ดังนั้นเขาจึงตีค่าหลินเฟิงไว้สูงมาก
เมื่อเฉินเฉินได้ยินคำกล่าวของผู้พิทักษ์เป๋ย ใบหน้าของกลายเป็นมืดมน จากนั้นก็กล่าวอย่างเย็นชา ” งานของท่านคือการเฝ้าระวังหอดวงดารา ท่านกล้าที่จะละเมิดกฎของนิกาย นี่ถือเป็นความผิดร้ายแรง!”

 

“เหอะ… ” หลินเฟิงพูดไม่ออกเมื่อได้ยินถ้อยคำของเฉินเฉิน… ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาเป็นคนที่โง่เขลาอย่างมาก เขาเพียงแค่ประสมความสำเร็จบ่นเส้นทางการบ่มเพาะเพียงเล็กน้อย ผู้ชายคนนี้คิดว่าตัวเองกำลังข่มขู่ผู้พิทักษ์เป๋ยและกล่าวว่าเขามีความผิดร้ายแรง ศิษย์ธรรมดาอันดับหนึ่ง… ผู้กำลังอยู่ในความฝัน เขาคิดว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์จนทำให้หลงลืมจุดยืนของตัวเองไป

 

ผู้พิทักษ์เป๋ยมองการแสดงออกของเฉินเฉิยด้วยความขบขัน ชายชราทำหน้าที่นี้มาหลายปีและไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน แต่เขาก็ไม่ได้โกรธ… ในขณะนี้ศิษย์ธรรมดาได้เข้ามาหาเรื่องและตำหนิว่าเขาก่อความผิดอันร้ายแรง

 

ผู้พิทักษ์เป๋ยส่ายหัว เขาต้องการที่จะเปิดปากและพูดบางอย่างแต่ก็เปลี่ยนท่าทีอย่างกระทันหันและตะโกนออกไป “ไสหัวไป!”

 

ราวกับพลังที่บ้าคลั่งเข้าปะทะกับร่างกายของเฉินเฉิน ทันใดนั้นดวงตาของผู้พิทักษ์เป๋ยก็เต็มไปด้วยจิตสังหาร ร่างกายของเขาปลดปล่อยปราณที่ทรงพลังออกมา

 

เฉินเฉินรู้สึกถึงพลังที่แข็งแกร่งเข้าปะทะกับร่างกายและลงเอยที่เขาต้องคุกเข่าลงกับพื้น เขาสั่นด้วยความกลัวตั้งแต่หัวจรดเท้า
เฉินเฉินไม่ใช่ผู้เดียวที่สั่นด้วยความกลัว ผู้คนในหอดวงดาราต่างก็ตกตะลึงกับเสียงตะโกนเช่นกัน บางคนก็ออกมาดูสิ่งที่เกิดขึ้นและเห็นร่างของผู้พิทักษ์เป๋ยรายล้อมไปด้วยปราณที่ทรงพลัง พวกเขาทั้งหมดต่างเงียบด้วยความกลัว พวกเขาไม่คิดว่าชายชราที่ดูขี้้เกียจคนนี้จะทรงพลังเป็นอย่างมาก บางทีอาจจะแข็งแกร่งกว่าผู้อาวุโสของนิกายด้วยซ้ำไป เขาราวกับเทพเจ้า

 

ชายชรามีความแข็งแกร่งที่น่ากลัวโดยไม่ต้องสงสัย

 

เป็นที่รู้กันดีว่าเมื่อทะลวงสู่ขอบเขตจิตวิญญาณ ผู้บ่มเพาะจะได้รับพลังที่ลึกล้ำยิ่งขึ้น และเมื่อทะลวงไปถึงขอบเขตปฐพี กล่าวกันว่าพลังทั้ง 3 ของผู้บ่มเพาะ พลังปราณ พลังวิญญาณและแก่นแท้ จะผสานเข้าด้วยกัน ทำให้ผู้บ่มเพาะได้รับพลังที่บริสุทธิ์และความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง

 

พลังปราณภายในร่างกายจะบริสุทธิ์อย่างแท้จริงคล้ายกับปราณจากสวรรค์และปฐพี เพียงแค่เศษเสี้ยวพลังปราณบริสุทธิ์ที่ถูกควบแน่น ก็เพียงพอที่จะทำลายภูเขาได้ทั้งลูก

 

เสียงตะโกนของผู้พิทักษ์เป๋ยปลดปล่อยปราณบริสุทธิ์ออกมา พลังที่เข้าปะทะกับร่างของเฉินเฉินนั้นเล็กน้อยเป็นอย่างมากเพราะผู้พิทักษ์เป๋ยได้ควบคุมไว้อย่างสมบูรณ์ แต่ก็แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นผู้บ่มเพาะที่ทรงพลังอย่างมากที่ทะลวงผ่านขอบเขตปฐพีแล้ว

 

ขอบเขตปฐพี : เป็นระดับการบ่มเพาะที่แข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อ อาจจะทำให้กลายเป็นผู้อาวุโสนิกายหยุนไห่ได้อย่างง่ายดาย

 

” ขะ.. ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ ” เฉินเฉินสั่นกลัวและจ้องมองไปที่หลินเฟิงอย่างชั่วร้าย ” ไอเศษขยะ.. ถึงกับใช้พลังของผู้อื่น… เมื่อเจ้าเข้าร่วมการสอบศิษย์ภายใน ข้าจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี!”

 

เมื่อกล่าวเสร็จ เฉินเฉินหันหลังกลับและเชิดหัวขึ้น

 

หลินเฟิงส่ายหัวขณะจ้องมองเฉินเฉิน แม้ว่าเขาเป็นศิษย์ธรรมดาอันดับหนึ่ง เขายังคงหยิ่งยโสและเห็นว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น เฉินเฉินอาศัยอยู่ในโลกใบเล็กๆที่คิดว่าตัวเองมองเห็นและรอบรู้ทุกอย่าง เขาไม่เข้าใจว่าโลกใบนี้ยิ่งใหญ่แค่ไหนและไม่รู้ว่ามีเสือซ่อนมังกรหมอบอยู่ทุกที่

 

ผู้พิทักษ์เป๋ยมีความแข็งแกร่งที่น่ากลัว ศิษย์ธรรมดาอันดับหนึ่งไม่ได้อยู่ในสายตาของเขา และเขายังโปรดปรานหลินเฟิงเป็นอย่างมาก

 

นอกจากนี้สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเฉินเฉินพยายามแสดงให้เห็นว่าเขานั้นโดดเด่นกว่าหลินเฟิง แต่กลับกลายเป็นว่าเขาทำร้ายตัวเอง

 

“นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้ทำอะไรแบบนี้ ข้าคงจะแก่เกินไป” ผู้พิทักษ์เป๋ยคิด จากนั้นก็กล่าว “เซวียเย่ว ข้ากำลังจะจากไป เจ้าจะต้องมาทำหน้าที่เฝ้าหอดวงดาราแทนข้า”
หลังจากพูดคุยเสร็จ ตัวเขาเริ่มสั่นและมีปีกปรากฏออกมา เขาบินสูงขึ้นไปบนฟ้าและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

 

ฝูงชนต่างมึนงง พวกเขาเห็นว่าชายชราหายลับไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว มันเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่ออย่างมาก ชายชราคนนี้ปกปิดความแข็งแกร่งมาตลอด?

 

ผู้พิทักษ์เป๋ยเดินทางไปไกลกว่า 10 กิโลเมตรในพริบตา มันเป็นพลังที่ล้ำลึกเป็นอย่างมาก ฝูงชนราวกับว่าพวกเขาอยู่ในความฝันเมื่อชายชราที่คอยเฝ้าหอดวงดาราแสดงพลังที่แท้จริงออกมา ในตอนนี้พวกเขาเริ่มเกลียดตัวเองที่ไม่ได้สังเกตและขอคำแนะนำจากชายชรา ราวกับมีตาแต่หามีแววไม่

 

หลินเฟิงเองก็ประหลาดใจเช่นกัน หัวใจของเขาเต้นรัวไปด้วยความตื่นเต้น ผู้พิทักษ์เป๋ยแข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดอย่างมาก

 

ชายวันกลางคนเดินออกมาจากหอดวงดารา นั่นคือชายที่ผู้พิทักษ์เป๋ยเรียกก่อนที่เขาจะออกเดินทาง : เซวียเย่ว
………………

 

ในตอนนั้นเอง บนยอดเขาที่สูงที่สุดของนิกายหยุนไห่ ในห้องหนึ่งในอารามมีพลังปราณหนาแน่นมากในบรรยากาศ

 

ผู้คนมากมายรวมตัวกันอยู่ในห้องนั้น มันราวกับว่าพวกเขากำลังโต้เถียงบางอย่าง

 

“เฟยเฟย ข้าจะพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจัง เจ้าอย่าได้กังวล” ประมุขนิกายหยุนไห่ หนานกงหลิงกล่าวขณะยิ้ม เขากำลังพูดกับหลิ่วเฟยที่ยืนอยู่ข้างๆเขา

 

ด้านหลังของหลิ่วเฟยมีกลุ่มคนที่สวมเสื้อผ้าเหมือนกัน พวกเขาทั้งหมดสวมเสื้อเกาะชั้นสูงสีแดง ทั้งหมดเป็นคนที่หลินเฟิงพบเจอที่เนินเขา พวกเขาคือกองทหารม้าโลหิต

 

เมื่อนางได้ยินคำตอบของหนานกงหลิง หลิ่วเฟยขมวดคิ้วอย่างขุ่นเคือง คำตอบของหนานกงหลิงไม่ได้ทำให้นางความสุข แต่นางก็ยังพอเข้าใจเขาได้ การปล่อยให้ศิษย์ที่ดีที่สุดของนิกายหยุนไห่ออกเดินทางร่วมกับนางคือการตัดสินใจที่ยากลำบาก

 

ศิษย์นิกายหยุนไห่แต่ละคนเปรียบเสมือนอนาคตอันยิ่งใหญ่ของนิกาย หนานกงหลิงจะละทิ้งพวกเขาได้อย่างไร?

 

“ท่านลุงหนานกงหลิง ท่านก็รู้ว่าพ่อของข้าไม่ได้เป็นคนเห็นแก่ตัว มันคือโชคชะตาและจะเป็นประโยชน์ต่ออาณาจักรหิมะจันทรา เขาจะได้รับประโยชน์มากมายเมื่อกลับมายังนิกายหยุนไห่ และจะได้รับการดูแลอย่างดี พวกเขาจะมีสถานะที่สูงส่งและกลายเป็นเสาหลักของนิกาย”

 

หลิ่วเฟยยังคงกล่าวอย่างต่อเนื่อง

 

“พ่อของเจ้าและข้าฝึกฝนและเติบโตมาด้วยกัน… พวกเรามีสายสัมพันธ์กันดั่งพี่น้อง ถ้าเขายังอยู่ในนิกายหยุนไห่ เขาจะสามารถกลายเป็นประมุขนิกาย ข้า หนานกงหลิงจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นคนเช่นไร? แต่ตอนนี้ ในฐานะประมุขนิกายหยุนไห่ ข้าต้องพิจารณาเป็นอันดับแรกว่าอะไรดีและไม่ดีต่อนิกาย ข้าไม่สามารถที่จะผลีผลามด่วนตัดสินใจเองได้”
หนานกงหลิงกลายเป็นมืดมน เขาจดจำเกี่ยวกับความบ้าบิ่นที่เคยร่วมกับหลิ่วช่างหลาน พวกเขาทั้ง 2 เป็นอัจฉริยะจากนิกายหยุนไห่ แต่ในวันนี้ในฐานะประมุขของนิกาย เขาไม่อาจละเลยความรับผิดชอบได้

 

ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
comments