ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปราวกับหลินเฟิงไม่เคยได้ยินคำพูดของเหวินเริ่นเหยียน เขาไม่สนใจคำพูดของเหวินเริ่นเหยียนเลยแม้แต่น้อย หลินเฟิงชอบใช้คำพูดของคนที่ชอบพูดโม้ และใช้มันเพื่อสยบความเย่อหยิ่งของพวกเขา
“หานหมาน เจ้านั้นมันเป็นคนทำร้ายเจ้าใช่ไหม?” หลินเฟิงถามหานหมาน
“ใช่” หานหมานกล่าวพร้อมกับพยักหน้า จากนั้นหานหมานก็กระซิบบอกหลินเฟิง: “เหวินเริ่นเหยียนไม่ได้แข็งแกร่งเท่าถูฟู ตอนนี้ถูฟูกลายเป็นศิษย์หลักแล้ว ทำให้เหวินเริ่นเหยียนกลายเป็นศิษย์ภายในอันดับหนึ่ง เขาเป็นคนที่แข็งแกร่ง และโหดเหี้ยม ข้าเชื่อภายในระยะเวลาสั้นๆ เจ้าสามารถชนะเขาได้อย่างแน่นอน”
เขาแข็งแกร่ง?
ศิษย์ภายในใครก็ตามที่สามารถบรรลุขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 3 ได้อาจได้รับการจัดอันดับให้อยู่อันดับต้นๆได้อย่างไม่มีปัญหา ส่วนผู้ที่บรรลุขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 4 ได้พวกเขามีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะต่อสู้กับศิษย์หลัก ถ้าเหวินเริ่นเหยียนบรรลุขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 4 แล้วเขาคงไม่เป็นศิษย์ภายในอยู่อย่างนี้เขาคงเป็นศิษย์หลักไปแล้ว ตอนนี้เขาอยู่จุดสูงสุดของขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 3 เขายังทะลวงไปยังขั้นที่ 4 ไม่สำเร็จ
ผู้บ่มเพาะพลังในระดับนั้นแข็งแกร่งมากๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเราสามารถยั่วยุใครก็ได้ตามที่พวกเขาต้องการ หลินเฟิงมั่นใจว่าถ้าเขาต้องต่อสู้กับเหวินเริ่นเหยียนแล้วมีโอกาสชนะได้เขาก็จะต่อสู้ต่อ แต่ถ้าหลินเฟิงไม่สามารถต่อสู้กับเหวินเริ่นเหยียนได้เขาก็สามารถหนีออกมาได้อย่างไร้อันตรายใดๆ
“ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ นี่เป็นโอกาสครั้งสุดท้ายที่ข้าจะมอบให้ ถึงแม้เจ้าจะเป็นอัจฉริยะ แต่ข้าก็สามารถพรากชีวิตของเจ้าตอนไหนก็ได้ คุกเข่าต่อหน้าข้าซะ”
เหวินเริ่นเหยียนคิดว่าเขาเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด ทำให้เขามีความเย่อหยิ่งมากมายขนาดนี้ เขาไม่รู้จริงๆว่าโลกมันกว้างใหญ่แค่ไหน เขาคิดว่าหลินเฟิงที่เพิ่งกลายเป็นศิษย์ภายในจะต้องอ่อนแออย่างแน่นอน ทำให้เหวินเริ่นเหยียนคิดว่าเขาสามารถข่มหลินเฟิงได้ และคิดว่าเขาสามารถจัดการหลินเฟิงได้ภายในการโจมตีเพียงครั้งเดียว
เหวินเริ่นเหยียนมีจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งมาก มันไม่มีทางอ่อนแอกว่าพลังดาบของหลินเฟิง เหวินเริ่นเหยียนมั่นใจในความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณเขามากๆ
“ไร้สาระ” หลินเฟิงกล่าวขณะส่ายหัว จากนั้นเขาก็ยิ้มอย่างเย็นชา และกล่าว: “แม้เจ้าต้องการให้ข้าคุกเข่าเพื่อร้องขอความเมตตาจากเจ้า แต่ข้าไม่มีเหตุผลที่ต้องฟังเจ้า”
ทุกคนต่างประหลาดใจเพราะคำพูดของหลินเฟิง เขาดื้อดึง และไม่หนีไม่ว่าเขาจะเผชิญหน้ากับใคร เขาก็ประพฤติตัวราวกับจักรพรรดิ
เหวินเริ่นเหยียนเป็นศิษย์ภายในอันดับหนึ่ง เขาได้ความเคารพนับถือจากทุกๆคน เพราะความแข็งแกร่งของเขา และเหวินเริ่นเหยียนก็คิดว่าหลินเฟิงเป็นเพียงแค่ศิษย์ภายในที่ไม่ต่างจากศิษย์ธรรมดา
“ฮ่าฮ่าฮ่า….ได้….ได้…..” เหวินเริ่นเหยียนกล่าวด้วยรอยยิ้มอันชั่วร้ายที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ดวงตาสีน้ำเงินของเขามีจิตสังหารเล็ดลอดออกมาทำให้ศิษย์คนอื่นๆต่างสั่นกลัว
“น่ากลัว! เหวินเริ่นเหยียนโกรธแล้ว”
ศิษย์บางคนในหมู่ศิษย์รู้ว่ามันจะต้องเกิดสถานการณ์ที่เลวร้ายขึ้น พวกเขาหวาดกลัวเหวินเริ่นเหยียนที่กำลังโกรธมาก ไม่มีใครกล้ายั่วยุเขา เพราะความแข็งแกร่งของเขา
หลินเฟิงรู้สึงได้ถึงอากาศอันเยือกเย็นที่แผ่ออกมาจากร่างของเหวินเริ่นเหยียน เขารู้สึกได้ถึงความโหดร้าย และความชั่วร้ายที่อยู่ในดวงตาของเหวินเริ่นเหยียน
“เหวินเริ่นเหยียน เจ้าตั้งใจจะทำอะไร? เจ้าไม่ได้อยู่ในลานประลองแห่งชีวิตนะ” หลิ่วเฟยกล่าวกล่าว ขณะเดินไปอยู่เบื้องหน้าหลินเฟิง
เหวินเริ่นเหยียนประกาศว่าหลิ่วเฟยเป็นของเขา ในความเป็นจริง ทั้งสองคนเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่หลิ่วเฟยก็เข้าใจแล้วว่าเหวินเริ่นเหยียนเป็นคนยังไง ภายนอกเขาดูแข็งแกร่ง และดูมีความมุ่งมั่น แต่ภายในเขาราวกับเป็นอสรพิษ เขาเป็นคนที่ไม่มีเกียรติ และไร้คุณธรรมต่อคนอื่นๆ
หลิ่วเฟยยังคงต้องการตัวหลินเฟิงให้ไปลานศักดิ์สิทธิ์แห่งหิมะจันทรา ดังนั้นนางจึงไม่อยากให้หลินเฟิงถูกฆ่าตายในสถานการณ์ตอนนี้ ในความคิดของหลิ่วเฟย ถึงแม้หลินเฟิงจะไม่ได้อ่อนแอ แต่เขาไม่สามารถต่อสู้กับเหวินเริ่นเหยียนได้ ถ้าเขาต้องต่อสู้กัน หลินเฟิงจะต้องถูกฆ่าตายแน่นอน
“เจ้าเป็นของข้า แล้วเจ้าปกป้องมันทำไม?”
ใบหน้าของเหวินเริ่นเหยียนดูชั่วร้ายมากในตอนนี้ ราวกับดวงตาสีฟ้าของเขาสามารถฆ่าคนได้เพียงแค่จ้องมอง เขาเปิดเผยเจตนาฆ่าของเขาอย่างชัดเจน
“ข้าไม่เคยพูดว่าข้าเป็นคนรักของเจ้า หรือทรัพย์สินของเจ้า หยุดเพ้อฝันได้แล้ว ข้าไม่เคยมีความสัมพันธ์กับผู้ชายอย่างเจ้า ตรงกันข้าม หลินเฟิงต่างหากที่เป็นคนรักของข้า ถ้าเจ้ากล้าสัมผัสตัวเขา ข้าจะไม่มีวันยกโทษให้เจ้า”
หลิ่วเฟยมองเหวินเริ่นเหยียนและกล่าวอย่างจริงจัง
“โอ้ บร๊ะเจ้า มันเป็นไปได้ยังไงกัน หลิ่วเฟยยอมรับว่านางเป็นคนรักของหลินเฟิง ทำไมเขาถูกโชคดีอย่างงี้ เขาสามารถกุมหัวใจของหลิ่วเฟยที่งดงามที่สุดในนิกายหยุนไห่ได้!”
ทุกๆคนจ้องมองไปที่หลินเฟิง นัยน์ตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา และความหึงหวง
หานหมานที่กำลังได้รับบาดเจ็บอยู่ ยังมองไปที่หลินเฟิงด้วยสายตาที่เคารพนับถือ เขารู้ว่าหลินเฟิงไม่เพียงแต่จะมีร่างกายที่แข็งแกร่งเท่านั้น แต่หัวใจของเขายังเข้มแข็งความคนอื่นๆ
ศิษย์หลักไม่เคยมีใครสามารถเอาชนะใจของหลิ่วเฟยได้ แล้วจู่ๆหลิ่วเฟยก็ประกาศยอมรับว่าหลินเฟิงเป็นคนรัก!!!
หลินเฟิงรู้สึกมึนงง และรู้สึกสับสนกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น เกิดอะไรขึ้น? ข้าเป็นคนรักของนางตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
หลินเฟิงจ้องมองไปที่ฝูงศิษย์ที่กำลังล้อมรอบพวกเขา พวกเขามองหลินเฟิงด้วยสายที่อิจฉาริษยา โธ่เว้ย หลิ่วเฟย……….. เจ้าทำให้ข้าตกอยู่ในที่นั่งลำบากอีกครั้ง
“ดี ข้าจะฆ่าเจ้า” เหวินเริ่นเหยียนกล่าว เขาดูโกรธเกรี้ยวมากกว่าเดิม
“เจ้ากล้า?!” หลิ่วเฟยตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด
“ในนิกายหยุนไห่ ไม่มีสิ่งใดที่ข้าเหวินเริ่นเหยียนไม่กล้าทำ”
จากนั้นเหวินเริ่นเหยียนก็หัวเราะอย่างชั่วร้าย ราวกับเขาไม่สนใจอะไรเเล้วในโลกใบนี้
“เช่นนั้นรึ? ถ้างั้นเจ้าจะได้เห็นดีกัน” กล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
และปรากฏร่างเงาขึ้นในระยะไกล พุ่งเข้ามายังถ้ำของศิษย์ภายใน
“เหวินเริ่นเหยียน เจ้าเป็นใครกันถึงกล้าอวดดีเช่นนี้ เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นประมุขตระกูลรึไง?” ชายผู้ที่เพิ่งมาถึงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น และจ้องมองเหวินเริ่นเหยียน
“เซวียเย่ว มันไม่ใช่ธุระอะไรของเจ้า และอย่ามายุ่งเรื่องของข้า”
เหวินเริ่นเหยียนมองเซวียเย่วด้วยสายตาดูถูก
“เหวินเริ่นเหยียนเจ้ามันอวดดี และไร้มารยาทจริงๆ! เจ้ากล้าดียังไงถึงพูดเช่นนี้กับผู้อาวุโส?”
ศิษย์บางคนที่กำลังมองดูเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นต่างรู้สึกตกใจ เซวียเย่วเป็นผู้อาวุโสของศิษย์ธรรมดา มีผู้คนไม่มากในหมู่ศิษย์ภายในที่กล้าดูหมิ่นเขา
“หึ หลินเฟิงและสหายของเขามาที่นี่เพื่อรับหนังสือรับรองเป็นศิษย์ภายใน และเสื้อคลุมศิษย์ภายใน แต่เจ้ากลับข่มขู่ว่าจะฆ่าเขา แล้วคนอื่นจะมองนิกายหยุนไห่ของพวกเรายังไง? และข้าเป็นถึงผู้อาวุโส ข้าจะเมินเฉยต่อเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร?”
“อาณาเขตแห่งนี้อยู่ภายใต้การดูแลของข้า ดังนั้นเจ้าไม่มีสิทธิที่จะทำอะไรในที่นี่”
เสียงอันเยือกเย็นดังออกมาจากภายในถ้ำ และมีชายหนุ่มวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมสีฉูดฉาดปรากฏตัวออกมาจากเงามืด
“ผู้อาวุโสหลู่” เหวินเริ่นเหยียนกล่าวกับชายที่สวมเสื้อคลุมสีฉูดฉาด เขาก็เป็นผู้อาวุโสเหมือนกัน เขาเป็นผู้รับผิดชอบในการมอบหนังสือรับรองว่าเป็นศิษย์ภายใน รวมทั้งเสื้อคลุมของศิษย์ภายในให้แก่ศิษย์ภายในหน้าใหม่ แถมเขายังเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดอันดับศิษย์ภายในด้วย
หลู่หยวนพยักหน้าให้เหวินเริ่นเหยียนอย่างเป็นมิตร แต่เขาไม่แสดงท่าทีเป็นมิตรกับเซวียเย่ว
“เซวียเย่ว เจ้าควรจะอยู่ในอาณาเขตของเจ้า เจ้าจะมาสร้างปัญหาอะไรที่นี่?”
“หมายความว่าไง?” เซวียเย่วถามขณะจ้องหลู่หยวน
“หมายความว่าไงงั้นรึ? นี่มันอาณาเขตของข้า ข้าไม่ต้องการให้เจ้ามายุ่งเรื่องของพวกข้า
“เจ้าหมายถึงภายในอาณาเขตของเจ้า เหวินเริ่นเหยียนสามารถฆ่าศิษย์คนอื่นได้ตามใจชอบรวมทั้งศิษย์ภายในงั้นรึ?”
“ถึงแม้เขาจะฆ่าศิษย์ที่อ่อนแอไปคนสองคน แล้วใครมันจะสนศิษย์พวกนั้นกัน? ที่แห่งนี้ผู้อ่อนแอไม่สมควรมีชีวิตอยู่ เฉพาะผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่สามารถอยู่รอดได้ เซวียเย่วเจ้าสร้างปัญหามากเกินไปแล้ว”
ทุกๆคนต่างรู้สึกตกใจ พวกเขาไม่คิดว่าปัญหาระหว่างหลินเฟิง และเหวินเริ่นเหยียนจะนำไปสู่การพูดโต้เถียงกันระหว่างสองผู้อาวุโสของนิกาย แต่อย่างไรก็ตามคำพูดขอบผู้อาวุโสหลู่ทั้งดูหยาบคาย และดูโหดเหี้ยม
ตามที่ผู้อาวุโสหลู่ได้กล่าว หลินเฟิงอ่อนแอกว่าเหวินเริ่นเหยียน แม้ว่าเขาจะถูกฆ่าโดยเหวินเริ่นเหยียน แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหา เขายังบอกอีกว่าหลินเฟิงไม่สมควรมีชีวิตอยู่ น่าขัน
หลินเฟิงเข้าใจสิ่งที่ผู้อาวุโสหลู่กล่าวว่ามันหมายถึงอะไร
เขากลายเป็นศิษย์ภายใน และต้องมารับหนังสือรับรอง กับเสื้อคลุมของเขา แต่คนที่รับผิดชอบเรื่องพวกนี้กลับบอกว่าเขาอ่อนแอ และสมควรตายเพราะอ่อนแอกว่าเหวินเริ่นเหยียน พูดงี้มันหมายความยังไงกัน?
เป็นครั้งแรกที่หลินเฟิงได้เห็นผู้อาวุโสเซวียเย่ว หลังจากผู้พิทักษ์เป๋ยได้มอบหมายหน้าที่ให้เขาปกป้องหอดวงดารา เห็นได้ชัดว่าเขาต้องเป็นหนึ่งในสหายที่ผู้พิทักษ์เป๋ยไว้วางใจ
“ผู้อาวุโสเซวียว” หลินเฟิงกล่าว ทำให้เซวียเย่วหันหลัง มามองหลินเฟิง
“ขอบคุณ” หลินเฟิงกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม
จากนั้นหลินเฟิงก็จ้องมองไปที่เหวินเริ่นเหยียน และหลู่หยวน และกล่าว: “ผู้อาวุโสหลู่ ข้าหลินเฟิงมาเพื่อรับหนังสือรับรอง และเสื้อคลุมศิษย์ภายใน”
หลู่หยวนเหลือบมองหลินเฟิงด้วยสายตาดูถูก จากนั้นเขาก็มองไปที่เหวินเริ่นเหยียน เหวินเริ่นเหยียนไม่ได้แข็งแกร่งมากๆอย่างเดียวเท่านั้น แต่เขายังมีภูมิหลังที่น่าหวาดกลัว
เพราะหลู่หยวนเขาเห็นคุณค่าของเหวินเริ่นเหยียน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเป็นศัตรูกับหลินเฟิง
“ผู้อาวุโสหลู่ ข้าหลินเฟิงมาเพื่อรับหนังสือรับของ และเสื้อคลุมศิษย์ภายใน”
หลินเฟิงกล่าวเสียงดังกว่าก่อนหน้านี้ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความหนักแน่น
“เจ้าไม่รู้หรือไงว่าเจ้ากำลังพูดคุยกับใครอยู่” หลู่หยวนกล่าวขณะเหลือบมองหลินเฟิงและตะโกน: “ไปให้พ้น!”