ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป“โอหัง! หลู่หยวน เจ้าช่างไม่ยุติธรรมจริงๆ ตอนนี้หลินเฟิงได้กลายเป็นศิษย์ภายในของนิกายหยุนไห่ เจ้าจะต้องมอบเสื้อคลุมและใบรับรองให้แก่เขา นี่คือกฎของนิกาย เจ้ากล้าพอที่จะฝ่าฝืนกฎของนิกายอย่างโจ่งแจ่งเช่นนี้?” เซวียเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ผู้อาวุโสเซวีย” หลินเฟิงกล่าวทำให้เซวียเย่หันไปมองหลินเฟิง
” วันนี้ ข้ามารับเสื้อคลุมและใบรับรองศิษย์ภายใน แต่ผู้อาวุโสหลู่ไม่ต้องการที่จะให้ข้า เขาดูถูกและขับไล่ข้า ผู้อาวุโสเซวียเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใช่หรือไม่?” หลินเฟิงถาม
“ใช่” เซวียเย่พยักหน้า เขาไม่เข้าใจจุดประสงค์ของหลินเฟิง
“เพียงแค่ข้ามีพยานในเรื่องที่ข้าไม่ได้รับความยุติธรรมแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว” หลินเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชา “ถ้าพวกเขาปฏิเสธที่จะให้ข้าเป็นศิษย์ภายใน นั่นก็หมายความว่านิกายได้เลือกที่จะทอดทิ้งข้า”
เมื่อพูดจบเขาก็รีบหันไปทางหานหมาน ทุกคนมึนงงและไม่เข้าใจถึงความหมายของสิ่งที่หลินเฟิงกล่าว
” เหอะ เจ้าคงไม่คิดจะวิ่งหนีเพียงเพราะเซวียเย่ปกป้องเจ้าหรอกนะ ครั้งต่อไปถ้าข้ายังเห็นเจ้าอีก ข้าจะฆ่าเจ้า” เหวินเริ่นเหยียนรู้ดีว่าเขาไม่สามารถสังหารหลินเฟิงต่อหน้าเซวียเย่ได้
“แล้วข้าจะรอ”
คำพูดของหลินเฟิงนั้นชัดเจน จากนั้นเขาก็เดินจากไป
เซวียเย่ขมวดคิ้ว เขามาไปที่หลู่หยวนและกล่าวด้วยความโกรธ ” หลู่หยวน เจ้าช่างโง่เขลายิ่งนัก! เจ้าจะต้องเสียใจกับการกระทำของตัวเองในวันนี้ ไม่มีอะไรที่เจ้าแก้ไขได้ เตรียมรับผลที่จะตามมาให้ดี!”
เมื่อพูดเสร็จ เซวียเย่สะบัดแขนด้วยความหงุดหงิดและจากไป หลู่หยวนมึนงงเล็กน้อย การสนับสนุนเหวินเริ่นเหยียนเป็นเรื่องถูกต้องหรือไม่? มันจะเป็นประโยชน์ต่อเขาในอนาคตจริงๆหรือ? หลู่หยวนไม่รู้ว่าผู้พิทักษ์และประมุขนิกายตีค่าหลินเฟิงไว้สูงแค่ไหน ถ้าเขารู้เรื่องนี้เขาจะต้องกระอักเลือดและจะทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะขอขมาหลินเฟิงอย่างแน่นอน
“ข้าไม่มีวันเสียใจในสิ่งที่ข้าทำ” หลู่เหยียนแสดงให้เห็นว่าเขาไม่เกรงกลัวต่อผลที่จะตามมา จากนั้นก็หันไปกล่าวกับเหวินเริ่นเหยียน “น่าเสียดายที่เราต้องปล่อยมันไป”
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะต้องฆ่ามันไม่ช้าก็เร็ว” เหวินเริ่นเหยียนกล่าว คำพูดของเขาเป็นดั่งอสรพิษ เขาจ้องมองอย่างชั่วช้าไปที่หลินเฟิงที่กำลังเดินห่างออกไปเรื่อยๆ เมื่อหลินเฟิงจากไป หลิ่วเฟยก็ตามเขาไปเช่นกัน คำพูดของหลิ่วเฟยที่กล่าวว่านางเป็นคนรักของหลินเฟิงทำให้เหวินเริ่นเหยียนอับอายและโกรธแค้นอย่างมาก
…………
“หลินเฟิง….”
หลิ่วเฟยรีบตามหลินเฟิงออกมาและตะโกนเรียกเขา
“ฮ่าๆๆ ข้าเพิ่งนึกได้ว่ามีสิ่งที่ต้องทำ ข้ากับพั่วจวินขอตัวก่อน”
หานหมานเห็นหลิ่วเฟยกำลังเดินมาหาพวกเขา รอยยิ้มแห่งความยินดีปรากฏบนใบหน้าของเขา จากนั้นเขาก็ดึงพั่วจวินออกมาและให้เวลาส่วนตัวกับหลินเฟิงและหลิ่วเฟย เมื่อตัดสินจากการกระทำของเขา แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าไม่กี่นาทีก่อนเขาจะได้รับบาดเจ็บหนัก
หลินเฟิงกรอกตา ไอเจ้าวายร้าย…. ทำไมถึงได้เจ้าเล่ห์เช่นนี้
“หลินเฟิง ระวังตัวด้วย ครั้งหน้าถ้าเจ้าเจอกับเหวินเริ่นเหยียน โปรดหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับเขา อยู่ให้ห่างจากเขาไว้เป็นดีที่สุด ผู้ชายคนนี้อันตรายมาก” หลิ่วเฟยเตือนหลินเฟิง
หลิ่วเฟยรู้ดีว่าเหวินเริ่นเหยียนจะต้องสังหารหลินเฟิงแน่ถ้าเขามีโอกาส
“ข้าคิดว่าเจ้าจะเกลียดข้าเสียอีก แต่เจ้ากลับเป็นห่วงข้า?” หลินเฟิงหัวเราะราวกับไม่สนใจคำเตือนของหลิ่วเฟย
หลิ่วเฟยถึงกับพูดไม่ออก แม้อยู่ในสถานการณ์ที่หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้เขาก็ยังเห็นเป็นเพียงเรื่องตลก นางรู้ดีว่าเหวินเริ่นเหยียนน่ากลัวขนาดไหนและเขาก็ยังมีสถานะที่สูงส่ง
“ข้าเพียงไม่อยากให้เจ้าตาย ก่อนที่จะไปลานศักดิ์สิทธิ์หิมะจันทราต่างหากล่ะ มันก็แค่นั้น” หลิ่วเฟยกล่าว
“เป็นเช่นนั้นหรือ? แต่ข้าไม่เคยบอกว่าข้าจะไปลานศักดิ์สิทธิ์หิมะจันทราเสียหน่อย ตอนนี้ข้ากำลังคิดเกี่ยวกับ เรื่องที่เจ้าป่าวประกาศไปว่าเจ้าเป็นคนรักของข้า?”
“ข้าพูดไปเพราะสถานการณ์บังคับ” ชายคนนี้กล้าที่จะทำให้นางอับอายอีกครั้ง นางเพียงต้องการแสดงให้ทุกคนเห็นว่าสิ่งที่เหวินเริ่นเหยีนพูดไม่เป็นความจริง นางต้องการให้เขาหยุดสร้างเรื่องโกหกที่เกี่ยวกับนางและทำให้เขาอับอายในเวลาเดียวกัน
“เจ้าพูดเพียงเพราะสถานการณ์บังคับจริงๆหรือ?” หลินเฟิงถาม มือของเขาเริ่มขยับเข้าหาหลิ่วเฟย
“เจ้ากำลังจะทำอะไร?”
หลิ่วเฟยสั่นสะท้านไปถึงกระดูกสันหลังและจ้องมองหลินเฟิงอย่างระมัดระวัง
ไอบ้านี่….
“ตอนนี้เจ้าเป็นคนรักของข้าแล้ว ข้าสมควรจะเริ่มต้นปฏิบัติกับเจ้าในฐานะคนรัก เมื่อเราเป็นคนรักกันเจ้ามีหน้าที่ต้องทำตามที่ข้าบอก ” หลินเฟิงกล่าวขณะเคลื่อนตัวเข้าหาหลิ่วเฟยด้วยท่าทีแปลกๆ
“เจ้า ไอคนบ้า! ฝันไปเถอะ!”
ใบหน้าของหลิ่วเฟยกลายเป็นสีแดงด้วยความโกรธและอับอาย นางรีบถอยห่าง
ไอบ้านี่…. มันหมายความว่ายังไง “ทำตามที่เขาบอก?” … เขาไปเอาความไร้ยางอายเช่นนี้มาจากที่ไหน
หลินเฟิงสังเกตว่าหลิ่วเฟยกำลังจะจากไป ร่างกายของนางประดับไปด้วยความงดงามอย่างไม่น่าเชื่อ ปรากฏรอยยิ้มที่อ่อนโยนบนใบหน้าของหลินเฟิง ความรู้สึกไม่ดีที่เขามีกับหลิ่วเฟยเริ่มหายไป กลับกันเขามีความประทับใจในตัวนางมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นางเป็นยิ่งสาวที่งดงาม ไม่มีใครปฏิเสธว่านางงดงามและมีเสน่ห์มาก
“ข้าไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้มาก่อน?” หลินเฟิงคิดขณะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
ครั้งแรกที่เขามาถึงโลกนี้ เขาคิดว่ามันเป็นโลกที่โหดร้ายและไร้ความปรานี มีเพียงความแข็งแกร่งของตัวเองอย่างเดียวที่เขาจะสามารถพึ่งพาได้
ตอนนี้หลินเฟิงเริ่มคุ้นเคยกับโลกใบนี้แล้วและรู้สึกผ่อนคลายลงบ้าง เขาต้องการที่จะให้คนอื่นเคารพและเลือกที่จะไม่อยู่ภายใต้อำนาจของใคร เขาจะไม่ยอมโดนรังแกเหมือนชีวิตที่ผ่านมา
ความมุ่งมั่นและแน่วแน่ของหลินเฟิงเป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะธรรมดาไม่อาจเทียบได้ เขามีความภูมิใจในทักษะดาบของตัวเองและมุ่งมั่นที่จะพัฒนามันให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เขาต้องการที่จะแข็งแกร่งเหนือผู้อื่น
…………
แสงที่อบอุ่นกำลังสาดส่องไปที่พื้น
ในวันนี้นิกายหยุนไห่ดูอ้างว้างอย่างมาก ราวกับกลายเป็นนิกายร้าง
แต่ในสถานที่ห่างไกลภายในหุบเขาแห่งความป่าเถื่อน
ตอนนี้ภายในหุบเขาแห่งความป่าเถื่อนเต็มไปด้วยสมาชิกทั้งหมดของนิกายหยุนไห่ที่รวมตัวกันอยู่
เหล่าผู้อาวุโสต่างนั่งอยู่ในที่สูงที่สามารถมองเห็นลานประลองแห่งชีวิตได้
ที่นั่งเหล่านั้นดูยิ่งใหญ่และสง่างามมากสำหรับคนที่มอง มันทำมาจากหิน จากมุมมองนี้มันทำให้หลินเฟิงต้องถอนหายใจด้วยความชื่นชม เขายังจดจำสเตเดี่ยมในชีวิตก่อนหน้านี้ได้แต่ก็ยังคิดว่าที่นั่งในหุบเขาแห่งความป่าเถื่อนงดงามกว่ามากนัก นิกายหยุนไห่ไม่ค่อยได้ใช้ที่นั่งเหล่านี้บ่อยนัก แต่เวลานี้พวกเขาต้องการแสดงให้เห็นว่าการทดสอบศิษย์ภายในสำคัญอย่างไร
มันเป็นจุดเริ่มต้นของการทดสอบศิษย์ภายในรอบที่สอง ศิษย์ธรรมดาที่มีรายชื่อติดอันดับมีจำนวน 100 รายชื่อ รายชื่อศิษย์ภายในที่ติดอันดับมี 81 รายชื่อและรายชื่อศิษย์หลักที่ติดอันดับที่มีเพียง 36 รายชื่อ
เมื่อมองดูอันดับรายชื่อ จะเห็นได้ว่าศิษย์แต่ละคนมีอำนาจและทรงพลังขนาดไหน พวกเขาทุกคนเป็นตัวขับเคลื่อนิกายและเป็นเสาหลักของนิกายในอนาคต
หนานกงหลิงยืนขึ้น ทุกคนกลายเป็นเงียบอย่างรวดเร็ว
หนานกงหลิงยิ้มและกล่าวเล็กน้อย แต่ในตอนนั้นเองเขาก็ต้องประหลาดใจและขมวดคิ้ว เขาจ้องมองไปที่พายุที่รุนแรงที่อยู่บนเส้นขอบฟ้า ลมพายุที่แปลกประหลาดกำลังเข้ามาใกล้
“หนานกงหลิ่ง นั่นคือฉู่โม่วจากนิกายห้าวเย่ มีกลุ่มคนมากับเขาด้วย”
เกิดพายุที่น่าสะพรึงกลัวบนท้องฟ้า อากาศสั่นไหวอย่างรุนแรง เสียงที่ดังสนั่นผ่านเขาไปในหูของเหล่าศิษย์มันราวกับจะทะลุเข้าไปในวิญญาณของพวกเขา
“ทรงพลังอะไรเช่นนี้!”
ทุกคนต่างจ้องมองไปยังกลุ่มคนที่เคลื่อนตัวใกล้เข้ามาราวกับพายุ พวกเขาดูราวกับภัยพิบัติที่น่ากลัว
ในเวลาเดียวกัน บนที่ฟ้าที่เมฆกำลังก่อตัวขึ้น ได้มีเกล็ดหิมะที่กำลังล่วงโลยลงมาจากท้องฟ้า
“ห่านเสวี่ยเทียน จากหมู่บ้านน้ำแข็งหิมะมาเยือนแล้ว”
เสียงตะโกนสะท้อนผ่านออกมาพร้อมกับพายุที่หิมะ มันทำให้ทุกคนรู้สึกหนาวเหน็บ
ห่าวเสวี่ยเทียนเป็นผู้นำหมู่บ้านน้ำแข็งหิมะ
“ต้วนเทียนหลางและเถิงอูซานมาเยือนแล้ว”
พายุเริ่มโหมกระหน่ำ หิมะเริ่มปกคลุมไปทั่วบรรยากาศ ทุกคนหนาวสั่นไปด้วยความเย็นและเกรงกลัวต่อพลังตรงหน้า
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคืออากาศที่หนาวเย็นแฝงไปด้วยปราณดาบที่ทรงพลัง มันดูคมมากและพร้อมจะตัดผ่านผิวหนังได้ตลอดเวลา อย่างไรก็ตามไม่สามารถระบุถึงที่มาของมันได้
ในระยะไกลมีเงาดำเคลื่อนผ่านท้องฟ้า มันคือสัตว์อสูรขนาดใหญ่สีดำสนิท การกระพือปีกแต่ละครั้งของมันสร้างพายุที่รุนแรงในอากาศ
สัตว์อสูรสีดำมีความยาวหลายสิบเมตร คนที่ขี่อยู่บนหลังของมันสวมเสื้อผ้าที่สวยงามอย่างมาก
สัตว์อสูรตัวนี้มีลักษณะคล้ายกับปลาและงูเหลือมมันสามารถบินไปบนท้องฟ้าและดำลงไปในมหาสมุทรได้ มันมีเกล็ดสีดำสนิทและปีกขนาดใหญ่อยู่ข้างหลัง มันคล้ายกับสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดและลึกลับอย่างมาก
“นั่นมันสัตว์อสูรอะไรกัน!” ทุกคนประหลาดใจเมื่อจ้องมองไปยังสัตว์อสูรตนนั้น
สิ่งที่น่าหวาดกลัวก็คือรอบๆปีกอันใหญ่ยักษ์ของมันมีปราณดาบจำนวนมากมายอย่างไม่น่าเชื่อ
ทันใดนั้นเองทุกคนต่างสามารถมองเห็นดาบขนาดมหึมากำลังลอยอยู่ในอากาศ และมีคนยืนอยู่ด้านบนพร้อมกับรอยยิ้มที่หยิ่งยโส…