I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Peerless Martial God ตอนที่ 76 ความโหดเหี้ยม

| Peerless Martial God | 2537 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
                

ใบหน้าของหนานกงหลิงกลายเป็นแข็งทื่อ สายตาของเขาคมเหมือนดาบขณะมองไปยังฝูงคนที่อยู่เบื้องหน้าเขา

 

ฉู่ฉิง เป็นประมุขนิกายห้าวเย่ว และเป็นพ่อของฉู่จั่นเผิง

 

ห่านเสวี่ยเทียนเป็นผู้นำของหมู่บ้านน้ำแข็งหิมะ

 

เถิงอูซานเป็นรองประมุขของนิกายโมโซ่ว

 

ส่วนต้วนเทียนหลางเป็นหัวหน้าครอบครัวจักรพรรดิ และเป็นพ่อของต้วนหานที่เพิ่งมานิกายเมื่อไม่นานมานี้ และถูกไล่ออกไปจากนิกาย

 

ผู้คนเหล่านี้ทั้งหมดล้วนเป็นคนของนิกายและตระกูลที่ทรงพลังบางแห่ง พวกเขามาระหว่างการสอบศิษย์ภายใน และรู้สึกได้ว่าพวกเขาไม่ได้มาด้วยเจนตนาที่ดี

 

“ท่านประมุขหนานกงหลิง พวกข้ามาที่นี่ในวันนี้เพื่อเยื่ยมชมนิกายของท่าน”

 

ต้วนเทียนหลางเป็นบุคคลที่อยู่บนสุดของดาบขนาดมหึมาที่ลอยอยู่บนอากาศ เขาสวมเกราะอันงดงามทำให้ดูสง่างามมากขึ้น เขาค่อยๆลอยต่ำลง และเดินไปยังเวทีผู้ชม พร้อมกับเสียงบรรยากาศที่ถูกฉีกขาดภายใต้แรงกดดันของเขา

 

ในเวลาเดียวกัน ฉู่ฉิง และหานเสวี่ยเทียน ค่อยๆเคลื่อนที่ลงไปยังเวที ด้วยท่าทีที่สง่างาม

 

ข้างๆต้วนเทียนหลาง คือ ต้วนหาน เขากำลังจ้องมองหนานกงหลิงอย่างไม่แยแส หนานกงหลิงทำให้เขาอับอายขายหน้า และไล่ให้เขาออกไปจากนิกายหยุนไห่ ตอนนี้เขามีความขุ่นเคืองกับหนานกงหลิงและต้องการสอนบทเรียนให้เขา

 

“โอ้ เป็นเกียรติกับข้าจริงๆที่ ต้วนเทียนหลางมาเยี่ยมนิกาย คิดซะว่านี่เป็นบ้านของตัวเองละกัน” หนานกงหลิงกล่าวด้วยรอยยิ้มอันเยือกเย็น และพูดเสริมว่า: “แต่ข้าไม่คิดว่าพวกท่านจะพาคนมามากมายขนาดนี้ พวกท่านตั้งใจมาทำอะไรนิกายหยุนไห่ของข้ากันแน่?”

 

“เมื่อไม่นานมานี้ ต้วนหานได้มาเยี่ยมเจ้าแล้ว วัตถุประสงค์ที่พวกข้ามาที่นี่มันก็แน่นอนอยู่แล้ว พระราชาเห็นว่าเขาไม่สามารถโน้มน้าวเจ้าได้ เขากำลังวางแผนสร้างลานศักดิ์สิทธิ์หิมะจันทราให้เสร็จ เขาต้องการหาศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดในอาณาจักร นิกายทุกนิกายได้ตอบรับคำขอหมดแล้ว และเลือกส่งศิษย์ของพวกเขามา แต่เหลือเพียงนิกายหยุนไห่เท่านั้น……..”

 

เมื่อต้วนเทียนหลางพูดจบ เขาก็ยิ้มออกมา และไม่พูดต่อ

 

“อะไรนะ?” หนานกงหลิงทำหน้าแปลกๆ ฉู่ฉิง , ห่านเสวี่ยเทียน ทั้งคู่เป็นคนที่แข็งแกร่งมาก ลูกๆของพวกเขาก็มีพรสวรรค์มากเช่นกัน ถ้าพวกเขาส่งลูกศิษย์ไปที่นั่น พวกเขาก็จะอยู่ภายใต้การดูแลของตระกูลจักรพรรดิ และผลประโยชน์ที่พวกเขาได้รับคือ ในอนาคตพวกเขาจะยิ่งใหญ่กว่านิกายหยุนไห่

 

แต่ฉู่ฉิงสังเกตเห็นว่า ต้วนเทียนหลางพูดอย่างสงบ และน้ำเสียงที่นุ่มนวล ทำให้หนางกงหลิงไม่เข้าใจสิ่งที่เขาหมายถึง

 

“ต้วนเทียนหลางเป้าหมายจริงๆของเจ้าคืออะไร?” หนางกงหลิงถาม

 

“เนื่องจากเจ้าไม่เต็มใจส่งศิษย์ที่ดีที่สุดของเจ้ามา ดังนั้นข้าจึงมาในฐานะตัวแทนของพระราชาเพื่อมาเลือกด้วยตัวเอง วันนี้เป็นวันสอบศิษย์ภายในของนิกายหยุนไห่ ข้าสามารถค้นหาศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดได้ด้วยตาของข้าเอง และข้าจะเลือกหนึ่งในพวกเขา” ต้วนเทียนหลางกล่าว

 

สีหน้าของศิษย์นิกายหยุนไห่เปลี่ยนไปทันที ทำไมเขาถึงหยาบคายขนาดนี้! พวกเขาคิดว่านิกายหยุนไห่เป็นอะไรกัน? พวกเขาคิดว่าสามารถเลือกศิษย์อัจฉริยะได้ตามใจชอบงั้นหรือ?

 

“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าข้าไม่เห็นด้วย?” หนานกงหลิงกล่าวน้ำเสียงของเขาเริ่มเยือกเย็น

 

“หนานกงหลิงเจ้าไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับเหมือนประมุขคนอื่นๆ” ต้วนเทียนหลางกล่าว เขาพูดราวกับสั่งให้หนานกงหลิงทำตาม และไม่มีใครสามารถปฏิเสธคำสั่งของเขาได้

 

”หนานกงหลิงเจ้าไม่ควรตอบปฏิเสธเร็วเกินไป ลานศักดิ์สิทธิ์หิมะจันทราจะไม่ยอมรับศิษย์ทั่วๆไป พวกเขาจะยอมรับเฉพาะศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดในอาณาจักรหิมะจันทราเท่านั้น พวกเขาจะมอบเม็ดยา และอาวุธที่ดีที่สุดให้ พร้อมกับผู้ฝึกสอนด้วยทรัพยากรที่ไม่จำกัด นอกจากนี้บุคคลที่ได้รับเลือกยังมีโอกาสได้เรียนรู้ทักษะที่ทรงพลังมากที่สุด และจะกลายเป็นเสาหลักของอาณาจักรอย่างแท้จริง”

 

ต้วนเทียนหลางพูดให้ศิษย์ของนิกายหยุนไห่ฟัง เขากำลังพยายามล่อลวงศิษย์ของนิกายหยุนไห่ด้วยความมั่งคั่งที่พวกเขามี ถ้าเขาล่อลวงด้วยอาวุธ เม็ดยาคุณภาพสูง หรือทักษะที่ทรงพลัง…ศิษย์ของนิกายหยุนไห่จะต้องถูกล่อลวงอย่างแน่นอน ใครมันจะปฏิเสธโอกาสอันยอดเยี่ยมแบบนี้ ?

 

เป้าหมายของศิษย์ที่เข้าร่วมนิกายหยุนไห่คือเพื่อบ่มเพาะพลัง พวกเขาต้องการกลายเป็นบุคคลที่แข็งแกร่ง และทรงพลัง ถ้าลานศักดิ์สิทธิ์หิมะจันทราสามารถทำให้การบ่มเพาะพลังของพวกเขาก้าวหน้าขึ้นด้วยสภาพแวดล้อมที่ดีต่อการบ่มเพาะพลัง ในเมื่อมันดีกว่านิกายหยุนไห่ แล้วพวกเขาจะอยู่ในนิกายหยุนไห่ต่อไปทำไม?

 

ในขณะนั้นศิษย์จำนวนมากหลายคนรู้สึกสับสน และมีหลายคนเตรียมพร้อมเพื่อให้ลานศักดิ์สิทธิ์หิมะจันทรายอมรับ

 

“เป็นวิธีที่ที่น่ารังเกียจจริงๆ”

 

หนานกงหลิงสาปแช่ง ต้วนเทียนหลางพยายามสร้างความแตกแยกภายในนิกายหยุนไห่ มันเป็นแผนการที่ฉลาด และไร้ยางอาย

 

การกระทำเหล่านี้มันเหลืออดเกินไปทำให้หนานกงหลิงไม่อาจยอมรับได้

 

“ข้าอยากเห็นจริงๆใครมันกล้าต่อต้านนิกายหยุนไห่” หนานกงหลิงคิด จากนั้นเขาก็มองไปยังต้วนเทียนหลาง และกล่าว: “ต้วนเทียนหลางต้องการดูการสอบคัดเลือกเป็นศิษย์ภายใน ข้าอนุญาตให้พวกเขาอยู่ดู”

 

“การต่อสู้จัดอันดับศิษย์ธรรมดา และศิษย์หลักเลื่อนออกไปวันอื่น วันนี้จะเป็นการต่อสู้ของศิษย์ภายในเท่านั้น”

 

เหล่าศิษย์ต่างรู้สึกสับสนเมื่อได้ยินคำพูดของหนานกงหลิง แต่หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็รู้ว่าทำไมหนานกงหลิงถึงตัดสินใจเช่นนี้

 

ศิษย์ธรรมดาเป็นศิษย์ที่อ่อนแอมาก มันจะทำให้นิกายหยุนไห่อับอายขายหน้า ส่วนศิษย์หลักพวกเขาคือหัวใจของนิกายหยุนไห่ และหนานกงหลิงก็ไม่สามารถเสียลูกศิษย์พวกนี้ไปได้ เพราะในไม่ช้าศิษย์หลักก็จะกลายเป็นเสาหลักใหม่ของนิกาย นอกจากนี้มันจะเป็นวิธีการที่ไม่ฉลาดนักถ้าแสดงความแข็งแกร่งของศิษย์หลักให้แขกคนอื่นเห็น ดังนั้นการต่อสู้ของศิษย์ภายในจึงเป็นการตัดสินใจที่เหมาะสมที่สุด

 

ต้วนเทียนหลางยิ้ม หนานกงหลิงเจ้าคิดว่าผลลัพธ์มันจะเปลี่ยนเเปลงไปงั้นรึ?

 

“ศิษย์ภายในทุกคน เข้าไปในลานประลองแห่งชีวิตซะ และจัดแถวตามลำดับที่ระบุไว้ในรายชื่อ” หนานกงหลิงกล่าว

 

ศิษย์ภายในที่มีอันดับทั้งหมด 81 คนก้าวขึ้นสู่ลานประลอง ฝูงศิษย์ทุกคนกำลังจ้องมองพวกเขาด้วยความชื่นชม และหวังว่าพวกเขาจะมีโอกาศที่จะสร้างเกียรติยศให้กับตัวเอง และนิกาย

 

“ข้าจะเปลี่ยนแปลงกฏของการสอบรอบที่สองของศิษย์ภายใน ถ้าเจ้าต้องการมีชื่ออยู่ในอันดับศิษย์ภายในเจ้าต้องท้าทายคนที่มีรายชื่อในอันดับศิษย์ เจ้าพวกเจ้าชนะคู่ต่อสู้ได้ อันดับนั้นก็จะเป็นของเจ้า ไม่สามารถท้าทายซ้ำคนได้”

 

หนานกงหลิงยังคงพูด ทำให้ฝูงศิษย์เกิดความสับสนอีกครั้ง รอบนี้เป็นโอกาสของศิษย์ที่จะทดสอบตัวเอง และความแข็งแกร่งของตัวเอง อย่างไรก็ตามเพราะกฏถูกเปลี่ยนแปลง ทำให้ศิษย์จำนวนมากไม่มีโอกาสได้ทดสอบตัวเอง และต่อสู้กับศิษย์ภายใน

 

“การต่อสู้ครั้งนี้จะมีการตายเกิดขึ้น ไม่มี….ข้อจำกัดในการต่อสู้”

 

“ตู้มมมมมมม” ฝูงศิษย์รู้สึกราวกับมีระเบิดตกลงมาใสหัว ไม่มีข้อจำกัด….จะมีการตายเกิดขึ้น…….

 

ถ้าพวกเขาท้าทายศิษย์ภายในที่แข็งแกร่ง แล้วถ้าพวกเขาพ่ายแพ้ พวกเขาก็จะต้องตาย การต่อสู้ครั้งนี้ไม่สามารถประกาศยอมแพ้ได้

 

ผู้ที่ชนะการต่อสู้จะทำให้พวกเขามีชื่อในอันดับศิษย์ภายใน แต่คนที่พ่ายแพ้จะต้องถูกฆ่าตายปราศจากความเมตตา นั่นเป็นราคาที่จะต้องจ่ายหากพ่ายแพ้

 

“อันตราย”

 

“การเดิมพันด้วยช่วยชีวิตมันอันตรายเกินไป ข้าจะพยายามอีกครั้งในปีหน้า”

 

ศิษย์มากกมายกำลังส่ายหัว หลังจากพูดประโยคก่อนนี้ หลายคนเห็นพ้องกันว่าการเดิมพันด้วยชีวิตเพื่อมีรายชื่อติดอยู่ในอันดับศิษย์มันไม่คุ้มค่าที่จะเสี่ยง

 

“หลินเฟิง ท่านประมุขเป็นคนที่โหดเหี้ยมจริงๆ ข้าเพิ่งเข้าร่วมเป็นศิษย์ภายในตอนนี้ข้าอยู่ขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 1 เท่านั้น แต่คนที่อ่อนแอที่สุดในอันดับศิษย์ภายในทั้ง 81 คน เขาอยู่ขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 2 แล้ว ข้าไม่มีโอกาสที่จะชนะพวกเขาเลยแม้แต่น้อย”

 

แต่หลินเฟิงกลับรู้สึกต่างจากหานหมาน กฏใหม่นี้มันอาจนำไปสู่การต่อสู้อันน่าทึ่ง ไม่เพียงแต่ผู้ท้าทายจะเป็นคนที่กล้าหาญมากแล้วเท่านั้น แต่พวกเขาก็จะเป็นศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดของนิกาย เฉพาะเหล่าศิษย์ที่โดดเด่นเท่านั้นที่กล้าเสี่ยงชีวิตของตัวเอง นั่นคือสิ่งที่หนานกงหลิงต้องการเห็น เขาต้องการแสดงให้คนเหล่านั้นเห็นว่าศิษย์ของเขาแข็งแกร่งขนาดไหน

 

“ศิษย์ภายในที่มีรายชื่อติดอันดับทั้ง 81 คน ที่อยู่บนลานประลองแห่งชีวิตในตอนนี้ พวกเจ้าสามารถท้าทายพวกเขาคนไหนก็ได้”

 

เมื่อหนานกงหลิงพูดจบ เขาก็นั่งลง และจับตาดูต้วนเทียนหลาง

 

“ข้า หลัวเลี่ย ต้องการท้า โหยวหลิน สู้”

 

หลัวเลี่ยก้าวขึ้นสู้ลานประลองทันที เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่จะท้าทายคนคนเดียวกันถึงสองครั้ง คนที่ขึ้นไปต่อสู้คนแรกๆจะได้เปรียบคนอื่นๆ เพราะพวกเขาสามารถเลือกศิษย์ภายในที่มีอันดับต่ำๆได้ก่อนคนอื่น และโหยวหลินก็เป็นศิษย์ภายในอันดับ 81

 

ในขณะนั้น สีหน้าของโหยวหลินกลายเป็นบิดเบี้ยว เพราะเขาเป็นคนแรกที่ถูกท้าสู้…มันเป็นความอัปยศ

 

“ใครก็ตามที่เลือกท้าทายศิษย์ภายในที่มีอันดับ ถ้าพ่ายแพ้ความตายจะเป็นบทลงโทษของพวกเจ้า”

 

เหวินเริ่นเหยียนผู้ที่ยืนอยู่หัวแถวบนลานประลองกล่าว เขาชี้แจงให้ศิษย์ทุกคนฟังด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาของเขา ว่าเหล่าศิษย์ที่มีอันดับจะสังหารผู้ท้าสู้ทั้งหมดของพวกเขา

 

“ก็ได้ ข้ารับคำท้า” โหยวหลิน กระโดดไปยังส่วนอื่นของลานประลอง เขาเริ่มปลดปล่อยทักษะทั้งหมดของเขาออกมาทันทีด้วยพลังทั้งหมดที่เขามี แม้เหวินเริ่นเหยียนจะไม่พูดประโยคนั้น โหยวหลินก็ตั้งใจจะฆ่าผู้ท้าเขาสู้อยู่แล้ว

 

………………..

 

หุบเขาแห่งความป่าเถื่อนกลายเป็นสถานที่ที่เงียบสงบทันที

 

ฝูงศิษย์กำลังจ้องมองการต่อสู้บนลานประลองแห่งชีวิต ลานประลองถูกย้อมไปด้วยสีแดงของเลือด และมีซากศพกองอยู่บนเวที ศพทั้งหมดล้วนเป็นศพของผู้ท้าชิง ถ้าพวกเขาแพ้ พวกเขาจะถูกฆ่าโดยไม่มีข้อยกเว้น พวกเขาไม่ได้ยกซากศพออกไปจากลานประลอง แต่ทิ้งไว้บนนั้นเพื่อเตือนสติให้ผู้ท้าทายทุกคนได้ดู

 

ถ้าพ่ายแพ้ มันหมายถึง ความตาย

 

มันเป็นบทเรียนที่โหดร้าย และนองไปด้วยเลือด ด้วยเหตุนี้ทำให้ผู้ท้าทายค่อยๆลดลงเรื่อยๆ

 

ศิษย์ที่ถูกท้าสู้คือศิษย์ที่มีอันดับล่างๆของอับดับศิษย์ภายใน แต่มันไม่สามารถเลือกท้าศิษย์ภายในซ้ำคนได้ ทำให้พวกเขาต้องเลือกคนที่มีอันดับสูงขึ้นเรื่อยๆ

 

อย่างที่คิดศิษย์ภายในที่มีอันดับไม่มีใครคนใดเลยที่มีฝีมือธรรมดา แม้แต่โหยวหลินผู้ที่อยู่อันดับ 81 ยังแข็งแกร่งขนาดนี้

 

หนานกงหลิงยังคงนั่งมองดูการต่อสู้บนลานประลองอย่างไม่แยแส บทเรียนที่นองเลือดนี้มันกำลังสอนให้ศิษย์รุ่นเยาว์คนอื่นๆรู้ว่ามันยากแค่ไหนถึงได้เป็นศิษย์ภายในที่มีอันดับ ความโหดเหี้ยม และเลือดเย็นคือบทเรียนอย่างหนึ่งในเส้นทางการบ่มเพาะพลัง

 

บนเส้นทางบ่มเพาะพลัง เฉพาะผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งเท่านั้นที่จะประสบความสำเร็จ เช่นเดียวกับความมุ่งมั่น และจิตใจที่แข็งแกร่งราวกับหิน พวกเขาสามารถก้าวเดินไปข้างหน้าได้ด้วยความห้าวหาญ

 

“ไอพวกขยะเอ้ย พวกเจ้ามันอ่อนแอจริงๆ”

 

เหวินเริ่นเหยียนกล่าวขณะชี้ไปยังซากศพ 5 ร่างบนลานประลอง จากนั้นเขาก็เหลือบไปมองฝูงศิษย์ด้วยสายตาดูถูก ราวกับเขากำลังเยาะเย้ยศิษย์ภายในที่ไม่มีอันดับ

 

เขาเป็นศิษย์ภายในที่มีอันดับสูงสุด และทั้ง 5 คนนั้นมันไม่มีค่าพอที่เขาจะต้องสละเวลาไปต่อสู้ด้วย

 

ศิษย์ภายในทุกคนรู้สึกโกรธ แต่พวกเขาก็รู้สึกไร้พลัง พวกเขาไม่สามารถพูดโต้เถียงคำพูดของเหวินเริ่นเหยียนได้ เขาเป็นถึงอัจฉริยะที่ได้รับการยอมรับจากทุกคน น้อยคนนักที่กล้ายั่วยุเขา

 

“ท่านประมุข ข้าคิดว่าท่านควรเพิ่มอันดับศิษย์ภายในให้มากขึ้น พวกเขาดูน่าสงสาร และน่าสมเพชจริงๆ”

 

เหวินเริ่นเหยียนมองไปที่หนานกงหลิง ขณะที่เขาดูถูกศิษย์ภายในคนอื่นๆ เพื่อทำให้ตัวเองดูดี

 

หนานกงหลิงมองรอบๆไปยังฝูงศิษย์ที่กำลังพยักหน้าเล็กน้อย เหวินเริ่นเหยียนเป็นคนที่อวดดี แต่สิ่งที่เขาพูดมันก็ถูก

 

“ไร้สาระ น่าตลกจริงๆ”

 

พูดเสียงดังกังวาลไปทั่วบรรยากาศ ทำให้ฝูงศิษย์สั่นเทา

 

เหวินเริ่นเหยียนรู้สึกประหลาดใจ เขามองไปรอบๆเพื่อดูว่าใครเป็นคนพูดเช่นนี้กับเขา

 

“เจ้าอีกแล้ว” เหวินเริ่นหยวนกล่าว สายตาของเขาเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า “มันไร้สาระตรงไหนกัน?”

 

“เจ้าเป็นศิษย์ภายในที่มีอันดับสูงสุด ไม่ต่างจากความอวดดีของเจ้า เจ้ามองศิษย์คนอย่างดูถูก และเรียกพวกเขาว่าขยะ…..ตอนที่เจ้าเริ่มฝึกบ่มเพาะพลังเจ้าแข็งแกร่งเท่าตอนนี้เลยรึไง? เจ้าเกิดมาบรรลุขอบเขตวิตวิญญาณเลยรึไง? เจ้าคิดว่าผู้บ่มเพาะพลังคนอื่นๆไร้ความสามารถรึไง?”

 

หลินเฟิงกล่าว และปรากฏรอยยิ้มอันเยือกเย็นตรงมุมปากของเขา ขณะด่าทอเหวินเริ่นเหยียน หลินเฟิงพูดเพื่อทำให้เหวินเริ่นเหยียนรู้ว่าโลกใบนี้มันกว้างใหญ่ขนาดไหน เหวินเริ่นเหยียนเป็นเหมือนกบอยู่ในกะลาที่ไม่เคยเห็นโลกภายนอก

 

ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
comments