ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปศิษย์ภายใน 4 คนรอดชีวิตจากการโจมตีของหลินเฟิง พวกเขายืนเคียงข้างกัน พวกเขากำลังมองไปที่ศพที่นอนกองอยู่บนลานประลองแต่พวกเขาก็ยังคงสงบนิ่ง
เย่หยางอยู่อันดับที่ 71 เขาเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในศิษย์ภายในทั้งห้าคนนี้ แต่หลินเฟิงกลับสามารถฆ่าเขาด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ทำให้ทั้ง 4 คนรู้ว่าพวกเขาไม่สามารถต้านทานการโจมตีของหลินเฟิงได้
หลินเฟิงแข็งแกร่งกว่าเย่หยาง แล้วพวกเขาจะสู้หลินเฟิงได้อย่างไร
เมื่อขบคิดสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้พวกเขาจ้องมองไปที่หลินเฟิงอย่างแปลกใจ พวกเขาจ้องมองหลินเฟิงอย่างระมัดระวัง บรรยากาศรอบๆตัวเขาหลินเฟิงเต็มไปด้วยจิตสังหาร ทำให้ศิษย์คนอื่นๆสั่นเทา
“เมื่อข้าพรากชีวิตของเจ้า ก็เหมือนเจ้าพรากชีวิตของผู้อื่น เจ้าจะถูกฆ่าโดยคนที่แข็งแกร่งกว่าเจ้า นี่เป็นโชคชะตาที่พวกเจ้าได้เลือก ตอนนี้พวกเจ้าต้องเผชิญหน้ากับผลกรรมที่กระทำต่อผู้อื่น”
เมื่อหลินเฟิงพูดจบ เขาก็ก้าวเดินไปข้างหน้า
พลังของดาบเริ่มแผ่กระจายไปทั่วบรรยากาศ ตรงปลายของดาบอันแน่นไปด้วยพลัง
มีเหงื่อท่วมหลังศิษย์ภายในทั้ง 4 คน เมื่อเห็นหลินเฟิงเดินเข้ามาใกล้ พวกเขารู้สึกได้ว่ามีพลังมหาศาลถูกรวบรวมไว้บนปลายดาบ หรือว่าหลินเฟิงเขาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญการใช้ดาบแล้ว? เขาสามารถควบคุมพลังของดาบได้ถึงระดับนี้ได้ยังไงกัน?
พลังปราณที่อยู่ภายในลานประลองค่อยๆหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ศิษย์ภายในทั้ง 4 คนสามารถรับรู้ได้ถึงอัตรายจากดาบของหลินเฟิง ดูเหมือนว่ามันกำลังดูดซับพลังปราณจากบรรยากาศรอบๆ
“พวกเราไม่สามารถชักช้าอยู่ได้ในขณะที่พลังปราณของพวกเราค่อยๆลดลงเรื่อยๆ แต่พลังดาบของหลินเฟิงกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถ้าพวกเรามัวชักช้า พวกเราต้องถูกจัดการแน่ๆ”
ทั้ง 4 คนมองไปที่หลินเฟิงอย่างระมัดระวัง เพราะพวกเขารู้ได้ถึงอันตรายที่กำลังใกล้เข้ามา ในขณะเดียวกันพวกเขาก็เริ่มวิ่งเข้าหาหลินเฟิงจากทิศทางต่างๆ
“ตายซะ”
อำนาจดาบทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อได้กดทับศิษย์ภายในทั้ง 4 คน มือของหลินเฟิงขยับเล็กน้อย และทันใดนั้นเขาก็ตัดผ่านอากาศปรากฏแสงกระพริบเป็นประกาย
ทันใดนั้นเอง ได้มีสายเลือดสองสายสาดกระเซ็นไปทั่วอากาศ และกลายเป็นบ่อเลือดอยู่บนพื้น การกวัดแกว่งดาบของหลินเฟิงนั้นเฉียบขาดมากเพียงแค่เขากวัดแกว่งเขาก็พรากชีวิตผู้คนได้อย่างง่ายดาย
ร่างทั้งสองร่วงหล่นลงพื้น เมื่อพวกเขาพุ่งเข้าใส่หลินเฟิง ส่วนศิษย์ภายในที่เหลือ 2 คน พวกเขาพุ่งเข้าใส่หลินเฟิงช้ากว่าศิษย์ทั้งสองคนที่ถูกฆ่าตายไปก่อนหน้านี้ มิฉะนั้นพวกเขาคงถูกฆ่าตายไปแล้ว พวกเขาได้ทรยศต่อพวกพ้อง และใช้พวกเขาเป็นโล่
พวกเจ้าคิดว่าจะรอดงั้นรึ?
ทุกๆคนในฝูงศิษย์ต่างสั่นเทาเพราะความหวาดกลัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกศิษย์ภายใน เป็นไปได้ยังไงกัน? หลินเฟิงแข็งแกร่งขนาดนี้ได้ยังไงกัน? เขาเป็นแค่นักสู้ขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่หนึ่ง แต่เขากลับสามารถฆ่าศิษย์ภายในที่มีอันดับด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว เขาควรจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบเพราะต้องสู้กับศิษย์ภายในถึง 5 คน แต่เขากลับฆ่าศิษย์ภายในไปได้ถึง 3 คนแล้ว
“ทักษะดาบแห่งสวรรค์….มันเป็นทักษะระดับลึกลับ ทักษะนี้จะเพิ่มพลังทุกครั้งที่โจมตี และยังช่วยให้ผู้บ่มเพาะพลังมีพลังมากขึ้นเมื่อใช้ดาบ”
หลายคนกำลังจ้องมองหลินเฟิง และการกวัดแกว่างดาบของเขา ดูเหมือนเขาจะเลือกทักษะที่ไม่ค่อยมีคนสนใจ หลายคนคิดว่าทักษะดาบแห่งสวรรค์เป็นทักษะที่ไร้ประโยชน์ อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ไม่รู้ว่าทักษะดาบแห่งสวรรค์มันจะทรงพลังมากขนาดนี้ และมันอาจมีศักยภาพเป็นทักษะระดับลึกลับขั้นสูงได้ แต่มันก็ต้องใช้ความเข้าใจมหาศาล และพลังของธาตุ มันเป็นทักษะที่ฝึกฝนได้ยากมาก นั่นคือเหตุผลว่าทำไมศิษย์จำนวนมากถึงไม่สนใจทักษะนี้
แต่หลินเฟิงกลับสามารถใช้ทักษะนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ และได้ประโยชน์มากมายจากพลังของดาบที่เพิ่มขึ้น
“ต้องหนี”
ศิษย์ภายในทั้งสองคนคิดในใจ การหลบหนีเป็นสิ่งเดียวที่อยู่ภายในจิตใจของพวกเขา พวกเขาไม่สามารถต่อสู้กับหลินเฟิงได้ ทั้งสองหันหลัง และพยายามหนีไปในทิศทางที่ต่างกัน
“ตาย”
สายตาของหลินเฟิงกลายเป็นแหลมคม ดาบของเขาเริ่มเรืองแสง และปราณดาบที่ทรงพลังกระจายไปทั่วทั้งบรรยากาศ และแหวกว่ายผ่านบรรยากาศ เป้าหมายของพวกมันคือศิษย์ภายในทั้งสองคน เมื่อพลังปราณของหลินเฟิงเจาะผ่านร่างของพวกเขา ร่างทั้งสองร่วงหล่นลงสู่พื้นทันที
ชื่อของศิษย์ภายในทั้งห้าคนหายไปจากแผ่นหินที่สลักรายชื่อศิษย์ที่ติดอันดับเอาไว้
“ดาบแห่งสวรรค์…..ทำไมถึงทรงพลังขนาดนี้ … !”
ศิษย์ธรรมดามากมายหลายคน หรือแม้แต่ศิษย์ภายในพวกเขาจ้องมองหลินเฟิงอย่างชื่นชม ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงกล้ายั่วยุเหวินเริ่นเหยียน ความสามารถของหลินเฟิง และพรสวรรค์ตามธรรมชาติของเขาสูงกว่าเหวินเริ่นเหยียน แต่การบ่มเพาะของเขาต่ำกว่าเหวินเริ่นเหียน ถ้าเขามีเวลาฝึกฝนมากพอ เขาจะต้องแข็งแกร่งกว่าเหวินเริ่นเหยียนแน่นอน
ดวงตาอันงดงามของหลิ่วเฟยเปิดกว้าง นางสั่นเพราะสิ่งที่นางเพิ่งได้เห็น เจ้าบ้าหลินเฟิงฆ่าศิษย์ภายในได้ถึง 5 คน?
“ดูเหมือนข้าจะไม่มีวันแก้แค้นเขาได้สำเร็จ และเอาชนะเขาได้”
หลิ่วเฟยคิด เป้าหมายหลักของนางคือ แข็งแกร่งขึ้นและมอบความพ่ายแพ้ให้กับหลินเฟิง แต่นางไม่คิดว่าคนบ้าอย่างหลินเฟิงจะมีพลังและพรสวรรค์มากกว่าที่นางคิดไว้ ราวกับว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับนางที่จะแแก้แค้นหลินเฟิงได้สำเร็จภายในชีวิตนี้ แต่หลิ่วเฟยก็ยังคงฝึกฝนหนักอย่างต่อเนื่อง เพื่อสักวันหนึ่งนางอาจมีโอกาสนั้น
หนานกงหลิงกำลังยิ้ม ขณะมองไปที่ลานประลอง
“เจ้านั้น…. มันฆ่าศิษย์ภายในที่มีอันดับ 5 คน อย่างไร้ความลังเล……”
“ท่านประมุข แม้เขาจะเป็นศิษย์ที่แข็งแกร่ง แต่เขาได้ฆ่าสหายล้วนนิกายอย่างไร้ความปรานี เขาจะต้องเป็นตัวอันตรายต่อนิกายของพวกเราแน่ๆ”
ม่อเสียขยับตัว และกระซิบพูดคุยกับหนานกงหลิง
หนานกงหลิงมองม่อเสีย และรู้สึกผิดหวัง จากนั้นเขาก็กล่าว: “ศิษย์ภายในทั้งห้าคนนี้สังหารศิษย์ร่วมนิกายอย่างไร้ความปรานี ในเมื่อเหวินเริ่นเหยียนได้พูดไว้แล้ว แล้วทำไมสิ่งที่หลินเฟิงทำถึงผิด?”
“ท่านประมุข แต่หลินเฟิง………?” ม่อเสียกำลังถาม
“เอาล่ะ ข้ามีความคิดดีๆแล้วจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ” หนานกงหลิงกล่าว ม่อเสียรู้สึกหงุดหงิดที่ถูกขัดจังหวะแต่เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากถอยร่น เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากจ้องมองหลินเฟิงและหวังว่าเขาจะมีโอกาสสังหารหลินเฟิง ความต้องการฆ่าหลินเฟิงของม่อเสียรุนแรงมากขึ้นทุกๆวัน เขาไม่อาจทนอยู่ในนิกายหยุนไห่ได้ หากหลินเฟิงยังหายใจอยู่ในนิกาย
“หลินเฟิง”
หนานกงหลิงจ้องมองหลินเฟิงผู้ที่กำลังยืนอยู่บนลานประลองด้วยรอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าของเขา
“ขอรับ ท่านประมุข”
หลินเฟิงหันหลังกลับ และมองหน้ากงหลิงที่กำลังยืนอยู่
“เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของเจ้าทำให้เจ้าได้รับชัยชนะ แต่ก่อนที่จะเข้าร่วม ไม่ใช่ว่าเจ้ามีบางสิ่งบางอย่างต้องทำก่อนหรอกหรือ?” หนานกงหลิงถาม และปรากฏรอยยิ้มที่มุมปากของเขา หลินเฟิงทำให้เขารู้สึกปิติยินดีเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแต่หลินเฟิงจะเป็นคนที่แข็งแกร่ง และมีพรสวรรค์ตามธรรมชาติที่ยอดเยี่ยมแล้วเท่านั้น แต่เขายังเป็นคนที่มีสัมมาคารวะ เขาไม่มีความหยิ่งยโสใดๆเลย ถึงแม้หลินเฟิงจะเป็นคนที่ดื้อรั้น แต่เขาต่อสู้เพื่อความถูกต้องของเขา แม้ว่าเขาจะมีจะแข็งแกร่ง และมีพรสวรรค์มากมายแค่ไหนก็ตาม แต่เขาก็ยังคงทำตัวเหมือนคนทั่วๆไป
ในทางกลับกัน เขาเป็นคนที่เข้าใจสิ่งต่างๆมากมาย เช่น เมื่อเขากล่าวว่าผู้บ่มเพาะพลังที่บรรลุขอบเขตจิตวิญญาณเป็นตัวตนที่อ่อนแอ เมื่อเทียบกับผู้คนในทวีปเก้าเมฆา
หลินเฟิงคิดถึงเรื่องในอนาคต ว่าเขาสามารถปีนไต่ไปได้ถึงไหนภายในอาณาจักร หรือแม้กระทั่งทวีปเก้าเมฆา
“อะไรหรือ ขอรับ?” หลินเฟิงถาม
“สวมเสื้อคลุมศิษย์ภายในของเจ้า”
หนานกงหลิงหัวเราะ หลินเฟิงเป็นอัจฉริยะที่ไม่เหมือนคนอื่นเลยจริงๆ…เจ้าสวมใส่เสื้อคลุมศิษย์ธรรมดาต่อหน้าคนอย่างต้วนเทียนหลางมันจะไม่เหมาะสม
หลินเฟิงยิ้มอยู่ในใจ เขาส่ายหัวและพูดว่า: “ข้าไม่สามารถสวมใส่เสื้อคลุมศิษย์ภายในได้ และข้าก็จะไม่เป็นศิษย์ภายในผู้ที่ติดอันดับ ถ้าข้าต่อสู้บนลานประลองแห่งชีวิต มันเป็นเพียงการแสดงของคนที่โง่เขลาไม่กี่คน ”
“หืม?” หนานกงหลิงขมวดคิ้ว เขารู้สึกงงงวย และถาม: “นั่นหมายความว่าไง? เจ้าอธิบายให้ข้าฟังหน่อยได้ไหม?”
“ท่านประมุข ศิษย์ธรรมดาไม่ได้มีความสำคัญกับนิกายหยุนไห่ใช่ไหม และพวกเขาสามารถออกจากนิกายหยุนไห่ได้ตามที่พวกเขาต้องการถูกต้องไหม?”
คำพูดของหลินเฟิงทำให้หัวใจของหนานกงหลิงเดือด เขารู้สึกสับสนแต่ก็ยังคงทำตัวนิ่งเฉย และกล่าว: “ถูกต้อง”
“ท่านประมุข ข้าหวังว่าท่านจะยกโทษให้ข้า แต่ตั้งแต่นี้ไปข้าจะไม่เป็นศิษย์ของนิกายหยุนไห่ ”
“…………………..”
คำพูดของหลินเฟิงทำให้ผู้คนจำนวนมากรู้สึกตกใจ หลินเฟิงต้องการออกจากนิกายหยุนไห่?!
เขาพูดตลกอะไร? หลินเฟิงกำลังยืนอยู่บนลานประลองแห่งชีวิต ราวกับขุนศึกที่ทุกคนเคารพรัก…….แต่แล้วเขากลับพูดว่าจะออกจากนิกาย แล้วฝูงศิษย์จะรู้สึกอย่างไรหลังจากได้ยินสิ่งที่หลินเฟิงพูด? พวกเขาจะไม่ตกตะลึงได้อย่างไร?
ทุกๆคนอยากรู้เหตุผลว่าทำไมหลินเฟิงถึงพูดเช่นนั้น พวกเขาต้องการคำอธิบาย
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า………….” เสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งดังขึ้นมา ต้วนเทียนหลางหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นเขาก็มองไปที่หนานกงหลิงและพูดว่า: “ดูเหมือนข้าจะเห็นนิกายหยุนไห่ต้องตัดสินใจอย่างยากลำบาก มันน่าเศร้าแค่ไหนที่เจ้าต้องบอกลากับศิษย์ที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ น่าขัน! ตลกจริงๆ”
“เจ้าคือหลินเฟิงใช่ไหม? เจ้าสามารถมาลานศักดิ์สิทธิ์แห่งหิมะจันทราได้ เจ้าจะได้รับทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นต่อการบ่มเพาะพลังของเจ้า เพื่อให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้น”
“หลินเฟิง นิกายหิมะน้ำแข็งของข้าจะยอมรับผู้บ่มเพาะพลังที่มีจิตวิญญาณน้ำแข็ง หรือ หิมะเท่านั้น แต่วันนี้ข้าจะรับเจ้าเป็นกรณีพิเศษ ถ้าเจ้ายินดีเข้าร่วมกับข้า ข้าจะให้เจ้ากลายเป็นศิษย์หลักทันที”
“นิกายห้าวเย่วของข้าก็เช่นกัน ถ้าเจ้าเข้าร่วมกับข้า ข้าสามารถทำให้เจ้ากลายเป็นศิษย์หลักได้”
พวกเขากำลังพยายามเชิญชวนหลินเฟิงเข้าร่วมนิกายของพวกเขา ทั้งๆที่อยู่ภายในนิกายหยุนไห่ ซึ่งทำให้ผู้คนของนิกายหยุนไห่โกรธมาก ใบหน้าของสมาชิกนิกายหยุนไห่กำลังลุกเป็นไฟ พวกเขารู้สึกอับอายอย่างมากที่ถูกกระทำเช่นนี้
“ข้าจะเก็บไปคิด” หลินเฟิงด้วยรอยยิ้ม
“ทำไมเจ้าถึงไร้ยางอายเช่นนี้! ถ้าเจ้าไม่ตาย นิกายหยุนไห่จะต้องได้รับความอับอายขายหน้าต่อศิษย์ที่ต้องตายเพราะฝีมือเจ้า!” ม่อเสียตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว เขายิ้มอย่างเย็นชาภายในใจ หลินเฟิงกำลังประสบปัญหาเพราะการกระทำของตัวเอง
“หุบปาก!” หนานกงหลิงตะโกนใส่ม่อเสียอย่างโกรธเกรี้ยว ม่อเสียรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นรอยยิ้มอันเยือกเย็นปรากฏบนใบหน้าของเขา
“หลินเฟิง 3 วันก่อน ข้าทำให้เจ้ากลายเป็นศิษย์ภายใน ในตอนนั้นเจ้ากระตือรืนร้นที่จะกลายเป็นศิษย์ภายใน แล้วตอนนี้มันเกิดอะไร? ทำไมเจ้าถึงต้องการออกจากนิกายหยุนไห่ หรือเจ้าต้องการเป็นกบฏ?”
หนานกงหลิงพยายามให้ตัวเองดูสงบ มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะสงบได้ เพราะมีศิษย์อัจฉริยะต้องการออกจากนิกาย หรือบางทีอาจจะมีศิษย์บางคนภายในนิกายหยุนไห่ข่มขู่เขาถ้าเขาไม่ออกจากนิกาย แล้วเขาจะถูกพวกมันฆ่า?
“กบฏ? ท่านประมุข คำว่า “กบฏ” ที่ท่านพูดมันก็ไม่เหมาะสม ความจริงแล้วนิกายหยุนไห่ได้ทอดทิ้งข้าอยู่แล้ว ภายในนิกายแห่งนี้ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสมกับข้า”
“อธิบายมา” หนานกงหลิงกล่าว เขารู้สึกสงสัยมาก
“ก่อนอื่น ข้าต้องการถามท่านประมุขสัก 2-3 ข้อได้หรือไม่?”
“แน่นอน ข้าอนุญาต”
“ท่านประมุข ในฐานะศิษย์ธรรมดาไม่มีใครฝึกสอน นอกจากเรียนรู้ด้วยตนเองถูกต้องไหม?” หลินเฟิงถาม
“ถูกต้อง” หนานกงหลิงกล่าวขณะพยักหน้า ความจริงมันก็เป็นเช่นนั้น แม้แต่ศิษย์ภายในผู้ที่ได้รับการฝึกสอนจากผู้อาวุโสยังมีจำนวนน้อยเลย
“ท่านประมุข ในฐานะศิษย์ธรรมดา สามารถเข้าไปได้เพียงชั้นหนึ่งของหอดวงดาราเท่านั้นเพื่อต้องการเรียนรู้ทักษะ หรือเทคนิคการเคลื่อนที่ใหม่ๆ ทักษะทั้งหมด หรือเทคนิคเคลื่อนที่ต้องเป็นทักษะระดับเหลืองเท่านั้น ถูกต้องไหม?”
“ถูกต้อง” หนานกงหลิงกล่าวขณะพยักหน้าอีกครั้ง
“เพราะเหตุนี้ ทักษะทุกอย่างที่ข้าได้เรียนรู้อยู่ในตอนนี้ รวมถึงความก้าวหน้าบนเส้นทางบ่มเพาะพลัง ทุกอย่างเป็นเพราะการฝึกฝนอย่างหนักของข้า และเรียนรู้ด้วยตนเอง ฉะนั้นข้าจึงไม่มีความผูกพันระหว่างนิกายหยุนไห่ มันก็เหมือนกับข้าไม่ได้อยู่ในนิกายหยุนไห่ใช่ไหม?”
เมื่อหนานกงหลิงได้ยินคำพูดของหลินเฟิง สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นซีดขาวทันที ไม่มีศิษย์คนใดปฏิเสธคำพูดของหลินเฟิง
ในขณะนั้น หนานกงหลิงพยักหน้าอีกครั้ง และกล่าว: “เจ้าพูดถูก นิกายหยุนไห่อาจจะไม่มีความหมายสำหรับเจ้า แต่เจ้าก็ยังเป็นสมาชิกของนิกายหยุนไห่อยู่ เจ้าต้องการออก เพราะนิกายหยุนไห่ไม่ได้มอบอะไรให้เจ้า นั้นมันเป็นเหตุผลที่ผิด มันไร้เหตุผล เพราะเจ้าสนใจแต่ตัวเอง”
“ท่านประมุข ได้โปรดรอจนกว่าข้าจะพูดจบ”
“พูด” หนานกงหลิงกล่าว
“ครั้งแรกที่ข้ากับท่านพบเจอกันในลานประลองแห่งชีวิต ข้าเป็นคนที่ไม่โด่งดัง และไม่มีใครรู้จัก ฉู่จั่นเผิงมานิกายหยุนไห่พร้อมกับหลินเซียน พวกเขาต้องการตัวข้า เพราะข้าเป็นเพียงศิษย์ธรรมดา แม้แต่ผู้อาวุโสม่อเสียยังต้องการส่งตัวข้าให้กับพวกเขาอย่างไม่ลังเล ในตอนนั้น ท่านไม่รู้เลยว่าข้าไม่ได้อ่อนแอกว่าคนอื่นๆ ในตอนนั้นข้ารู้สึกราวกับไม่ใช่สมาชิกของนิกายหยุนไห่”
“ในวันนั้นข้ารู้สึกผิดจริงๆ” หนานกงหลิงยอมรับความผิดของตัวเอง ทุกๆคนสามารถสัมผัสได้ว่าหนานกงหลิงยอมรับความผิดของเขาจริงๆ
หนานกงหลิงเป็นคนที่เปิดใจ
“ท่านประมุข เมื่อตอนที่เกิดคลื่นสัตว์อสูรขึ้น ขณะที่ข้ากำลังเก็บเกี่ยวอยู่ที่นั้น และไม่ได้รบกวนใคร ม่อเสียที่เกลียดข้าต้องการโจมตีข้าอีกครั้ง เพราะข้าเป็นเพียงศิษย์ธรรมดา เขาพยายามใช้ข้าเป็นอาหารให้สัตว์อสูร เขาต้องการฆ่าข้า เมื่อผู้คนเห็นว่าข้ายังไม่ตาย พวกเขาเริ่มศรัทธาในความแข็งแกร่งของข้า…… แต่ม่อเสีย กลับไม่ได้รับการลงโทษใดๆเลยเหมือนก่อนหน้านี้ หรือเป็นเพราะข้าเป็นเพียงแค่ศิษย์ธรรมดา ข้าเป็นคนที่อ่อนแอ และไร้ค่า นั่นคือเหตุผลใช่ไหม?”
หนานกงหลิงถึงกับพูดไม่ออก นั่นเป็นครั้งที่สองที่เขาตัดสินใจผิดพลาด ถ้าหลินเฟิงไม่แข็งแกร่งพอ เขาอาจจะถูกม่อเสียฆ่าตายไปแล้ว
ในขณะนั้น หนานกงหลิงเริ่มจ้องมองม่อเสีย หลินเฟิงต้องการออกจากนิกายหยุนไห่ และดูเหมือนม่อเสียจะปฏิเสธความรับผิดชอบใดๆ
“นั่นคือครั้งที่สองที่ข้าตัดสินใจผิดพลาด” หนานกงหลิงยอมรับผิด “หลินเฟิงข้าต้องการให้เจ้ารู้ว่าผู้พิทักษ์เป๋ยโกรธเกรี้ยวมาก เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้น เขาทำร้ายม่อเสียจนได้รับบาดเจ็บ และเกือบฆ่าม่อเสีย เจ้าเป็นคนสำคัญของผู้พิทักษ์เป๋ย ข้าคิดว่าเขาจะต้องรู้สึกเสียใจมากแน่ๆถ้าเจ้าออกจากนิกายหยุนไห่”