ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปผู้พิทักษ์เป๋ยถึงขั้นโกรธแค้นแทนหลินเฟิงจนเกือบจะลงมือสังหารม่อเสีย?
หนานกงหลิงไม่พยายามที่จะปิดบังอีกต่อไป คำพูดของเขาทำให้เหล่าผู้อาวุโสถึงกลับเปลี่ยนสีหน้า พวกเขาทั้งหมดรู้จักผู้พิทักษ์เป๋ย แต่ทำไมตัวตนเช่นเขาถึงออกตัวปกป้องหลินเฟิง?
ไม่ไกลจากหนานกงหลิงมากนัก มีผู้อาวุโสคนหนึ่งที่ใบหน้าบิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียด เขาก็คือหลู่หยวน
“บัดซบ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเซวียเย่ถึงออกตัวปกป้องหลินเฟิงขนาดนั้น และทำทุกอย่างเพื่อที่จะหยุดการกระทำของข้า…” หลู่หยวนกลายเป็นมืดมน เขาไม่คิดเลยว่าหลินเฟิงจะมีภูมิหลังที่น่ากลัวเช่นนี้ เขาได้รับการคุ้มครองจากผู้พิทักษ์เป๋ย ในตอนนั้นหลู่หยวนก็ตระหนักได้ว่าทำไมเซวียเย่ถึงบอกว่าเขาจะต้องเสียใจอย่างแน่นอน
หลินเฟิงลังเลเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ของหมอกปีศาจ ผู้พิทักษ์เป๋ยโกรธเกรี้ยวและเกือบจะสังหารม่อเสียเพื่อเขา และมันยังทำให้หลินเฟิงรู้สึกไม่ดีเพราะเขาไม่สามารถตอบแทนความเมตตาและความรู้สึกของผู้พิทักษ์เป๋ยได้
หลินเฟิงไม่เต็มใจที่จะออกจากนิกายหยุนไห่เพราะสิ่งที่ผู้พิทักษ์เป๋ยทำเพื่อเขา นอกจากนี้เขายังมีสหายที่ดีในนิกายอย่าง หานหมาน, จิ้งยวิ๋น, หลิ่วเฟย และรวมถึงผู้พิทักษ์คงด้วยเช่นกัน
“แม้ว่าเรื่องนี้จะมีผู้พิทักษ์เป๋ยเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แต่ม่อเสียก็เป็นผู้อาวุโสที่คิดว่าตัวเองอยู่เหนือคนอื่นและใช้อำนาจไปในทางที่มิชอบอยู่บ่อยๆ ซึ่งมันก็คือความจริง”
“นอกจากนี้ เมื่อ 3 วันก่อน ตอนที่ข้าไปเอาเสื้อคลุมและใบรับรองศิษย์ภายใน เหวินเริ่นเหยียนทำร้ายสหายของข้าและพยายามที่จะสังหารข้าเช่นกัน เหวินเริ่นเหยียนเป็นศิษย์ของนิกายหยุนไห้ แน่นอนว่าข้าคงมิอาจตำหนินิกายได้ แต่ในตอนนั้นหลู่หยวนก็อยู่ที่นั่นด้วย แต่เขาก็ทำเพียงแค่นิ่งเฉย”
“หลู่หยวนเป็นถึงผู้อาวุโสของนิกายหยุนไห่ ไม่เพียงแต่เขาไม่เข้ามาช่วย แต่เขายังกล่าวอีกว่าข้าสมควรตายเพราะข้าไม่แข็งแกร่งเท่ากับเหวินเริ่นเหยียน หรือว่าทุกคนที่อยู่ในนิกายหยุนไห่ที่อ่อนแอกว่าเหวินเริ่นเหยียนสมควรตาย? ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ข้าเผชิญ ข้าถามหาเสื้อคลุมและใบรับรองศิษย์ภายในถึง 2 ครั้ง แต่หลู่หยวนก็กล่าวเพียงแค่ ‘ไสหัวไป’ ”
เมื่อหลินเฟิงกล่าวเสร็จทุกคนเข้าใจถึงความหมายของเขาในทันที สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะผู้อาวุโสใช้อำนาจกลั่นแกล้งเขา หลู่หยวนใช้อำนาจของผู้อาวุโสกดขี่หลินเฟิงเพื่อที่จะประจบเหวินเริ่นเหยียน
ในตอนนั้นทุกสายตาจับจ้องไปที่หลู่หยวนซึ่งทำให้เขาสั่นตั้งแต่หัวจรดเท้า ร่างกายของเขาราวกับว่าถูกกดทับด้วยภูเขา ถ้ารู้ว่ามันจะเป็นเช่นนี้เขาจะไม่มีทางสร้างความขุ่นเคืองใจให้กับหลินเฟิงแน่นอน
“หลู่หยวน สิ่งที่หลินเฟิงกล่าวเป็นความจริงหรือไม่?”
หนานกงหลิงถามด้วยความเย็นชา น้ำเสียงของเขาดูหนักแน่นและน่าเกรงขามอย่างมาก เขาจะไม่อดกลั่นอย่างแน่นอนถ้าหากหลู่หยวนโกหกในสถานการณ์เช่นนี้
“ท่านประมุข…”
หลู่หยวนก้มหน้า เขาไม่กล้าที่จะสบตากับหนานกงหลิง ในตอนนี้เขาเสียใจอย่างสุดซึ้งในสิ่งที่ทำลงไป เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเพราะเขา? ถึงแม้เขายั่วยุหลินเฟิงเพราะเหวินเริ่นเหยียน แต่เหวินเริ่นเหยียนจะยื่นมือเข้ามาช่วยเขาในสถานการณ์เช่นนี้หรือ? เขาจะต้องเผชิญกับผลการกระทำเพียงคนเดียว
เมื่อหนานกงหลิงเห็นปฏิกิริยาของหลู่หยวนเขาก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในทันที ไม่จำเป็นต้องอธิบายเพิ่มเติมก็รู้ว่าสิ่งที่หลินเฟิงพูดเป็นความจริง และเข้าใจว่าทำไมหลินเฟิงถึงยังเรียกตัวเองว่าศิษย์ธรรมดา… มันเกิดเรื่องบ้าบอเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!
“ดี…. ดีจริงๆ…. เจ้าคงมีอำนาจมากสินะ ข้าชื่นชมทุกคนที่สามารถกลายเป็นศิษย์ภายในด้วยพลังของตัวเอง เมื่อเจ้าไล่หลินเฟิงซึ่งเป็นคนที่ข้าประกาศออกไปด้วยตัวเองว่าเป็นศิษ์ภายใน ก็เท่ากับต้องการที่จะไล่ข้าด้วยเช่นกัน ถูกไหม!?”
“ข้ามิกล้า… ข้ามิกล้า…”
ช่วยไม่ได้ที่หลู่หยวนจะทำได้เพียงก้มหน้ามองพื้น เขารู้สึกสั่นสะท้านไปถึงกระดูกสันหลัง เขาเป็นเพียงผู้อาวุโสธรรมดาในนิกายและไม่มีตำแหน่งหรือสถานะพิเศษใดๆ และยังอ่อนแอเมื่อเทียบกับผู้อาวุโสคนอื่นๆ ม่อเสียและหลู่หยวนไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้ ถึงแม้ม่อเสียพยายามสังหารหลินเฟิงเกือบทุกครั้งที่พวกเขาเจอกัน
“ข้าจะไม่มีวันลืมสิ่งที่เกิดขึ้น”
แม้ว่าหนานกงหลิงจะกล่าวด้วยน้ำเสียเฉยเมยแต่ก็ทำให้หลู่หยวนสั่นกลัวอย่างมาก เขาไม่รู้ว่าหนานกงหลิงตั้งใจที่จะทำอะไรกับเขา แต่จะต้องเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวอย่างแน่นอน
หนานกงหลิงจ้องมองไปยังหลินเฟิงมันช่วยไม่ได้ที่เขาจะยิ้มอย่างละอายใจ มีผู้อาวุโสบางคนต้องการที่จะสังหารหลินเฟิงหรือแม้แต่กลั่นแกล้งเขาต่างๆนาๆ
“ท่านประมุข วันนี้ท่านคงเข้าใจในสิ่งที่ข้าได้ตัดสินใจไปแล้ว ข้ายังไม่รู้ว่าม่อเสียจะพยายามสังหารข้าอีกครั้งเมื่อไร? ไม่รู้ว่ายังมีคนแบบม่อเสียและหลู่หยวนอยู่ในนิกายอีกหรือไม่? แม้ว่าศิษย์ภายในจะมีสถานะที่สูงส่งในนิกายแต่ก็ยังด้อยกว่าผู้อาวุโส มันก็จะเหมือนกับก่อนหน้านี้ หากผู้อาวุโสคนใดต้องการที่จะสังหารข้า เขาก็คงจะทำได้อย่างอิสระราวกับข้าเป็นเพียงเศษขยะ มันคือสิ่งที่พวกเราเหล่าศิษย์ต้องพบเจอเมื่ออยู่ในนิกาย”
ทุกคำพูดของหลินเฟิงดังก้องอยู่ในใจของทุกคน ทุกสิ่งเป็นความจริงและไม่มีใครปฏิเสธได้ แม้แต่หนานกงหลิงก็ไม่อาจจะหาคำพูดมาลบล้างได้เช่นกัน
“หลินเฟิงเจ้าต้องการให้ข้า หนานกงหลิง ทำสิ่งใดเพื่อเจ้า?” หนานกงหลินจ้องมองไปยังหลินเฟิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
ทุกคนประหลาดใจกับคำพูดของหนานกงหลิงที่ต้องการให้หลินเฟิงอยู่ต่อราวกับไม่สนใจสถานะของประมุขนิกาย มันฟังดูเหมือนกับว่าหนานหงกลิงกำลังอ้อนวอนให้หลินเฟิงอยู่ในนิกายต่อ
“ความจริง สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเพราะเจ้า มันเกิดขึ้นเพราะในโลกใบนี้ ความแข็งแกร่งและอำนาจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด หากปราศจากพลังชีวิตของเจ้าก็จะไร้ค่า มันคือปัญหาที่เกิดขึ้นและหยั่งรากลึกลงไปในนิกาย”
เมื่อหลินเฟิงเห็นการกระทำของหนานกงหลิงมันทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย ในฐานะของประมุขนิกายเขายอมละทิ้งศักดิ์ศรีและยอมที่จะเสียหน้า แต่หลินเฟิงก็ไม่ได้สนใจมากนัก เขารู้ว่าการขอโทษสัก 2-3 ครั้ง และยอมรับความผิดของตัวเองเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหนานกงหลิงมีความยุติธรรมและหวงแหนศิษย์ของเขามากแค่ไหน เขาไม่ได้สนใจสถานะของตัวเองอีกต่อไปและเข้าใจว่าได้ทำผิดต่อหลินเฟิง
“ท่านประมุข ท่านบอกข้าว่ามีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งและมีอำนาจเท่านั้นที่จะได้รับความเคารพนับถือและจะได้กลายเป็นบุคคลสำคัญ แต่เหล่าศิษย์ที่โดดเด่นก็ยังต้องเริ่มต้นจากล่างสุดซึ่งเป็นจุดที่เรียกว่าไร้ค่าใช่หรือไม่? พวกเราทุกคนไม่เคยที่จะหยุดนิ่งและก้าวเดินไปบนเส้นทางของตน ลองคิดดูว่าผู้บ่มเพาะพลังที่มีระดับพลังต่ำแต่มีศักยภาพที่น่าเหลือเชื่อคิดว่าตัวเองไม่สำคัญตั้งแต่เริ่มเพราะพวกเขาไม่อาจจะก้าวหน้าได้เท่ากับคนอื่น ถ้าพวกเขาคิดว่าตัวเองไม่มีความหมายอะไรต่อนิกายหยุนไห่ พวกเขาอาจจะท้อแท้ใจในเส้นทางการบ่มเพาะในอนาคต แล้วพวกเขาจะมีศรัทธาในนิกายได้อย่างไรเมื่อพวกเขาแข็งแกร่งขึ้น? พวกเขาจะเชื่อได้อย่างไรว่าตัวเองสำคัญกับนิกายในเมื่อตั้งแต่ต้นพวกเขาก็ราวกับเศษขยะในสายตาของนิกาย?”
คำพูดของหลินเฟิงทำให้หนานกงหลิงกลับมาคิดอย่างจริงจังเกี่ยวกับนิกาย แม้แต่ศิษย์ที่แข็งแกร่งก็ยังต้องเริ่มจากพื้นฐานเช่นกัน บางคนที่อ่อนแอมากในตอนแรกพวกเขาก็มีเป้าหมายเช่นเดียวกับหลินเฟิง อย่างไรก็ตามแม้ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งขึ้น แต่ก็ยังตกเป็นเป้าหมายของผู้ที่เกลียดชังพวกเขาอยู่ดี
“การลงโทษที่เด็ดขาดควรจะถูกนำมาใช้ไม่ว่าผู้กระทำผิดจะเป็นใคร ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ธรรมดา ศิษย์ภายใน ศิษย์หลักหรือแม้แต่ผู้อาวุโสก็ตาม นี่คือทางเดียวที่พวกเราจะใช้ชีวิตและก้าวเดินไปพร้อมกัน มีหลายครั้งที่ผู้อาวุโสสังหารศิษย์โดยไร้เหตุผล ผู้ใดที่กล้าแหกกฎผู้นั้นก็สมควรที่จะรับผลที่ตามมาอย่างสาสม”
“ไม่ว่าจะเป็นศิษย์หรือผู้อาวุโสก็ไม่เกี่ยว ผู้ที่ทำผิดไม่ว่ามันจะเป็นใคร ก็สมควรได้รับการลงโทษ”
ในทวีปเก้าเมฆา ผู้บ่มเพาะพลังจะต้องทำตามกฎไม่ว่าคนผู้นั้นจะแข็งแกร่งหรือมีสถานะที่สูงส่งก็ตาม เหตุใดกฏของนิกายหยุนไห่ถึงได้หย่อนยานถึงเพียงนี้
หนานกงหลิงตระหนักได้ว่าเขาทำผิดพลาดไปมาก ด้านนอกของนิกายมีกฎสำหรับทุกคนแล้วนิกายหยุนไห่ล่ะ? ถ้าไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงมันได้ก็อาจจะเกิดเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกับของหลินเฟิงอีกครั้ง มีผู้บ่มเพาะพลังที่มีศักยภาพหลายคนที่ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรมเมื่อตอนที่พวกเขายังอ่อนแอ เมื่อพวกเขาแข็งแกร่งขึ้นพวกเขาจะเคารพนิกายได้อย่างไรในเมื่อพวกเขายังไม่เคยได้รับมันมาก่อนเช่นกัน
“เด็กคนนี้เป็นอัจฉริยะที่แท้จริง เขาช่างสง่างามและชาญฉลาด เขาทำให้ข้าตระหนักได้ถึงหลายๆสิ่งที่พลาดไป..”
หนานกงหลิงคิดขณะจ้องมองไปยังหลินเฟิงและกล่าวอย่างจริงจัง “เจ้าได้เตือนสติข้าและทำให้ข้าตระหนักได้ถึงหลายๆสิ่ง หลินเฟิง สักวันหนึ่งเจ้าจะได้กลายเป็นหนึ่งในผู้นำของนิกายหยุนไห่ มันจะต้องเป็นยุคที่รุ่งโรจน์ของนิกายอย่างแน่นอน ฉะนั้นข้าหวังว่าเจ้าจะยังอยู่ที่นี่ต่อ”
หลินเฟิงจะกลายเป็นหนึ่งในผู้นำในสักวัน?
ทุกคนกลายเป็นงงงวย คำพูดของหนานกงหลิงซ่อนความหมายที่ลึกซึ้งเป็นอย่างมาก
หลินเฟิงส่ายหัว เขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาเพียงอยากทำให้ทุกคนได้รับรู้ถึงความผิดพลาดของนิกาย เขามีศักยภาพและสามารถเข้าในสิ่งต่างๆได้อย่างง่ายดาย แต่มันก็ไม่ใช่ทั้งหมดในการที่จะเป็นผู้นำที่ดี
“ท่านประมุข ข้าก็ไม่อยากที่จะจากไปนักหรอก ข้าเพียงอยากให้ทุกคนเข้าใจว่าพวกชั่วช้าและโง่เขลานั้นมีพฤติกรรมเช่นไร และข้าเองก็อยากที่จะหาเหตุผลเพื่อที่จะอยู่ต่อเช่นกัน”
คำพูดของหลินเฟิงไม่ได้เย็นชาและเหน็บแนมเหมือนกับก่อนหน้านี้ แม้แต่หนานกงหลิง, ม่อเสียและหลู่หยวนก็ยังรู้สึกสงบลง แม้ว่าหลินเฟิงจะอยู่ในนิกายหยุนไห่ต่อไป แต่เขาก็คงจะไม่อุทิศตัวให้กับอนาคตของนิกาย อย่างไรก็ตามเขาก็ยังคงนับถือและชื่นชมการกระทำของหนานกงหลิงในวันนี้ นอกจากนี้ การออกจากนิกายก็ไม่ใช่ความปรารถนาจริงๆของหลินเฟิง เขาเพียงแค่ต้องการเหตุผลที่จะอยู่ต่อ
“หลินเฟิง ข้าจะปกป้องไม่ให้คนอื่นข่มเหงหรือรังแกเจ้าอีก ข้าจะพยายามให้ดีที่สุดที่จะไม่ให้ใครก็ตามสังหารหรือกลั่นแกล้งเจ้าได้”
หนานกงหลินให้คำมั่นสัญญา
“นั่นถือเป็นเรื่องในอนาคต แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เล่า? พวกคนที่พยายมจะข่มขู่และสังหารข้า จะทำเช่นไร?” หลินเฟิงกล่าว เขาต้องการได้รับความยุติธรรมอย่างแท้จริง
“คำพูดของข้าไม่ใช่เพียงการผายลม ข้าจะทำลายการบ่มเพาะของหลู่หยวนและปลดเขาออกจากตำแหน่งผู้อาวุโส จากนั้นเขาจะถูกขับไล่ออกจากนิกาย”
คำพูดขางหนานกงหลิงเด็ดขาดและหนักแน่นอย่างมาก ทุกคนตกตะลึง หนานกงหลิงกำลังจะทำลายการบ่มเพาะของผู้อาวุโสเพื่อทวงความยุติธรรมให้กับหลินเฟิง นี่ถือว่าเป็นคำเตือนถึงการเปลี่ยนแปลงนิกายครั้งใหญ่ที่กำลังจะมาถึง
“ท่านประมุข โปรดยกโทษให้ข้าด้วย!” หวู่หยวนอ้อนวอนเมื่อได้ยินคำพูดของหนานกงหลิง การทำลายการบ่มเพาะและขับไล่เขาออกจากนิกายทำให้เขาอ่อนแอกว่าคนปกติเสียด้วยซ้ำ เขาจะมีชีวิตต่อไปได้อย่างไร?
“ความผิดของเจ้า ไม่อาจให้อภัยได้” หนานกงหลิงกล่าวอย่างเด็ดขาด การบ่มเพาะของหลู่หยวนต้องถูกทำลายเพื่อทวงความยุติธรรมให้กับหลินเฟิงและทำให้เขาพึงพอใจ
“เหวินเริ่น ช่วยข้าด้วย!”
หลู่หยวนรู้ว่าหนานกงหลิงจะไม่ถอนคำพูด เขามาสามารถทำให้หนานกงหลิงเปลี่ยนความคิดของเขาได้ ดังนั้นเขาจึงตะโกนให้เหวินเริ่นเหยียนช่วยเหลือ
ในตอนนั้นเองเหวินเริ่นเหยียนกำลังหาทางที่จะกำจัดหลินเฟิง เขาจะมาห่วงหลู่หยวนได้อย่างไร? เขาจ้องมองมาที่หลู่หยวนและไม่ได้ให้ความสนใจอีก มันทำให้หลู่หยวนรู้สึกราวกับว่าถูกทรยศ
“ไอสารเลว!” หลู่หยวนด่าทอในใจ
หลู่หยวนตระหนักได้ถึงคำพูดของหลินเฟิงในทันที เหวินเริ่นเหยียนไม่สนใจใครยกเว้นตัวเอง ตอนนี้หลู่หยวนรู้ซึ้งแล้วว่าเหวินเริ่นเหยียนเป็นคนเช่นไร เขาสร้างความขุ่นเคืองและโกรธแค้นให้กับหลินเฟิง มันสายเกินไปที่จะกลับไปแก้ไขอะไรได้
“หลินเฟิง ตอนนี้เจ้าพอใจแล้วหรือยัง?” หนานกงหลิงถาม
หลินเฟิงจ้องมองไปที่หนานกงหลิงด้วยท่าทีสงบและส่ายหัว
“ท่านประมุข ดูเหมือนท่านจะหลงลืมเกี่ยวกับใครบางคนไป”
หนานกงหลิงยิ้มอย่างเจื่อนๆ ชายคนนี้รับมือยากจริงๆ
ทุกคนตกตะลึงกับสิ่งที่เขาได้ยินและหันไปทางม่อเสีย ทุกคนเข้าใจดีถึงความหมายของหลินเฟิง ม่อเสียสมควรที่จะเป็นคนต่อไปที่จะถูกลงโทษ ถ้าไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใคร?
หลายคนคิดว่าหลินเฟิงน่าจะพึงพอใจเพราะหนานกงหลิงกระทำทุกอย่างในนามของเขา
ม่อเสียถือเป็นบุคคลสำคัญของนิกาย ไม่เพียงแต่เขาจะเป็นผู้อาวุโสที่มีสถานะสูงส่งแต่พ่อของเขาก็ยังเป็นถึงผู้อาวุโสใหญ่ เขามีอำนาจและอิทธิพลมากในนิกาย ถ้าหนานกงหลิงลงโทษม่อเสียก็เท่ากับว่าเป็นการตบหน้าม่อช่างหลานด้วยเช่นกัน ซึ่งในตอนนี้หนานกงหลิงกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดอย่างมาก
แต่สำหรับหลินเฟิงจะไม่มีการประนีประนอมอีกต่อไป คำพูดของเขาราวกับดาบที่กำลังจ่อไปที่คอของม่อเสีย