ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปม่อเสียมองไปที่หลินเฟิงอย่างเย็นชา และเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า เจ้าเด็กนี่มันไม่รู้เรื่องอำนาจ หรือสถานะเลยรึไง หรือคิดว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะแล้วสามารถสร้างปัญหาให้ข้าได้?
“มันช่างเป็นเรื่องไร้สาระจริงๆ” ม่อเสียคิด
“ท่านประมุข ต้วนเทียนหลาง และคนอื่นๆมาที่นี่เพื่อชมการต่อสู้ของศิษย์ภายใน พวกเราควรดำเนินการต่อสู้ต่อ”
ม่อช่างหลานที่นั่งสังเกตการณ์อยู่เงียบๆตลอดในที่สุดเขาก็เปิดปากพูด นัยน์ตาของเขามีความรู้สึกหนาวเย็นบางอย่างเล็ดลอดออกมา เขานั่งอยู่เงียบๆเพราะสถานะการณ์ตอนนี้มันยังไม่แน่ชัด ผู้พิทักษ์เป๋ยพยายามสังหารม่อเสีย? เขาโกรธขนาดนั้นเลย? ผู้พิทักษ์เป๋ยที่อยู่นิกายมานานหลายปีได้พยายามฆ่าลูกชายของเขาเพื่อศิษย์คนนี้เลยงั้นรึ?
เป็นไปได้ไหมหนานกงหลิงลงโทษม่อเสียโดยการคุกเข่าลง และให้เขายอมรับความผิดของตัวเองต่อหน้าทุกคน เพียงเพราะศิษย์รุ่นเยาว์คนนั้น?
เมื่อหนานกงหลิงได้ยินสิ่งที่ม่อช่างหลานพูด เขาไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากยิ้มอย่างบิดเบี้ยว ถ้าม่อช่างหลานไม่ได้อยู่ที่นี่ บางทีหนานกงหลิงอาจจะลงโทษม่อเสียไปแล้ว แต่หนานกงหลิงเข้าร่วมนิกายหลังม่อช่างหลาน ม่อช่างหลานเป็นสมาชิกผู้อาวุโสของนิกายหยุนไห่ หนานกงหลิงสามารถลงโทษม่อเสียได้เพื่อทำให้หลินเฟิงรู้สึกสบายใจ แต่เขาไม่กล้าที่จะยั่วยุม่อช่างหลาน
ทำให้หนานกงหลิงในตอนนี้อยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ในฐานะที่หนานกงหลิงเป็นประมุข ทำให้เขาต้องตัดสินใจอย่างรอบคอบในสถานการณ์เช่นนี้
“หลินเฟิงเจ้ากลับไปต่อสู้ต่อ แล้วปัญหาต่างๆค่อยมาคุยกันทีหลัง ตกลงไหม?”
เมื่อหลินเฟิงได้ยินสิ่งที่หนานกงหลิงพูด ทำให้เขาเข้าใจอย่างดีว่าสถานะของเขายังไม่สูงพอ ผู้อาวุโสภายในที่มีพ่อเป็นผู้อาวุโสใหญ่……พวกเขามีความสำคัญมากกว่าศิษย์ แม้ว่าเขาจะเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่น แต่ก็ไม่สามารถทำให้ม่อเสียได้รับโทษได้
หรือว่าหลิงเฟิงเขาจะต้องถูกข่มเหงต่อไปเพราะความอ่อนแอของตัวเอง?
ถ้าม่อเสียไม่ถูกลงโทษ เขาก็ยังคงข่มขู่หลินเฟิง และพยายามหาโอกาสฆ่าหลินเฟิงต่อ เพราะเขารู้ว่าหนานกงหลิงไม่สามารถทำอะไรเขาได้ เพราะสถานะของพ่อเขา
หลินเฟิงส่ายหัว เขายืนกรานมากกว่าเดิม แม้ว่าเขาจะอ่อนแอ แต่เขาก็ยังคงเป็นมนุษย์ และศิษย์ของนิกาย เขาสมควรได้รับเกียรติ และได้รับความชอบธรรมเหมือนคนอื่นๆ
ม่อเสียต้องการสังหารหลินเฟิงอย่างแน่นอน และเขาได้พยายามฆ่าหลินเฟิงไปถึง 2-3 ครั้งแล้ว ถ้าหนานกงหลิงไม่ทำในสิ่งที่หลินเฟิงต้องการ หลินเฟิงก็ยังคงถูกกลั่นแกล้งโดยม่อเสีย และคนอื่นๆที่มีสถานะสูงส่งกว่าเขาภายในนิกาย ม่อเสียคงจะคิดว่าเขาสามารถทำอะไรได้โดยไม่มีใครทำอะไรเขาได้
“ท่านประมุข ข้าเข้าใจสถานะของม่อเสียภายในนิกาย และพ่อของเขา เพราะพวกเขามีสถานะสูงส่งเลยเป็นบุคคลสำคัญ แต่มันไม่ได้หมายความว่าพวกเขาสามารถข่มขู่ และกลั่นแกล้งข้าได้ แล้วข้าจะอยู่นิกายหยุนไห่ต่อไปทำไมในเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้?”
หลินเฟิงยืนกราน ม่อเสียต้องถูกลงโทษเพราะการกระทำของเขา ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากลงโทษม่อเสีย
บรรยากาศภายในหุบเขาแห่งความป่าเถื่อนตกอยู่ในความเงียบอย่างสมบูรณ์ ทุกคนเฝ้าดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างใจจดใจจ่อ หลินเฟิง หรือ ม่อเสีย หนานกงหลิงจะเลือกใครกันแน่
“ดื้อรั้น”
หลินเฟิงยังคงยืนกราน และต้องการให้หนานกงหลิงตัดสินใจ ทำไมเขาถึงดื้อรั้นขนาดนี้!
“นี่มันเป็นเรื่องน่าขันจริงๆ!”
เสียงดังกระวานไปทั่วบรรยากาศ ศิษย์ภายในคนหนึ่งกล่าว เขาเป็นศิษย์ภายในอันดับ 21
“มันช่างเป็นเรื่องไร้สาระซะจริง หลินเฟิง! ผู้อาวุโสม่อเสียมีสถานะที่สูงส่งภายในนิกาย และเป็นบุคคลสำคัญ แถมเขายังแข็งแกร่งมากด้วย เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถทำอะไรได้? ผู้อาวุโสม่อเสียถูกกล่าวหาว่าเป็นคนพยายามฆ่าศิษย์ธรรมดา แล้วมันยังไง? เจ้ากล้ามากที่พร่ามเรื่องไร้สาระ ข้ารู้สึกละอายใจจริงๆที่อยู่นิกายเดียวกับเจ้า มันทำให้ข้ารู้สึกแปดเปือน และอัปยศ”
ชายหนุ่มคนนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา และกล้าพูดว่าสิ่งที่หลินเฟิงกล่าวเป็นเรื่องไร้สาระ
เมื่อม่อเสียเห็นศิษย์คนนี้พูด เขาก็ปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา และมองไปที่ศิษย์คนด้วยความชื่นชอบ
“เหล่ยโป เจ้าไม่ต้องลดระดับตัวเองไปพูดคุยกับมันหรอก ท่านประมุขเป็นคนฉลาด ข้ารู้การตัดสินใจของท่านประมุขจะต้องยุติธรรม”
“ท่านผู้อาวุโส ข้าก็รู้ว่าท่านประมุขเป็นคนที่ชาญฉลาด แต่เจ้าเด็กนั้นมันเป็นอัจฉริยะที่อวดดีเกินไป ถ้าข้าต้องสู้กับเขาระหว่างการสอบศิษย์ภายใน ข้าจะต้องฆ่ามันอย่างแน่นอน”
เหล่ยโปพูดกับม่อเสีย ทั้งสองกล่าวว่าหนานกงหลิงเป็นคนฉลาดเพื่อที่จะประจบเขา ถ้าหนานกงหลิงลงโทษม่อเสีย ก็เท่ากับว่าการกระทำของเขาเป็นการกระทำของคนโง่
“ผู้อาวุโสม่อเสียท่านได้เลี้ยงดูสุนัขจรจัดไว้จำนวนมากจริงๆ ไม่แปลกเลยที่ท่านได้รับความเคารพนับถือจากผู้คนจำนวนมาก และยอมให้เจ้าสังหารศิษย์ของนิกายไปมากมาย”
หลินเฟิงกล่าว และมองไปที่ม่อเสียอย่างเยาะเย้ย เหล่ยโปได้ออกตัวปกป้องม่อเสีย เขาจะต้องได้รับผลของการกระทำนั้น
“ปากดีจริงๆ”
ม่อเสียด่าทอหลินเฟิง และเหลือบมองไปที่เหล่ยโป เพื่อเป็นการส่งสัญญาณให้เหล่ยโป
“ท่านประมุข ข้า เหล่ยโป เป็นคนใจกว้าง และมีเมตตา แต่หลินเฟิงได้พูดดูหมิ่นข้า และทำให้ข้าได้รับความอัปยศ เขาเรียกข้าว่าเป็นสุนัขจรจัด ข้าอยากจะท้าทายเขามาต่อสู้บนลานประลองแห่งชีวิต ข้าหวังว่าท่านประมุขจะไม่คัดค้าน“
เหล่ยโปโกรธมากที่ถูกหลินเฟิงด่า และถามหนานกงหลิงเพื่อขออนุญาตต่อสู้กับหลินเฟิง
หนานกงหลิงขมวดคิ้ว เหล่ยโปเป็นศิษย์ภายในอันดับ 21 และได้ทะลวงไปยังขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 3 แล้ว เขาเป็นศิษย์ภายในที่แข็งแกร่งมากๆ แม้แต่ผู้บ่มเพาะพลังที่อยู่ขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 2 ยังพ่ายแพ้ให้เขาอย่างง่ายดาย แม้ว่าหลินเฟิงจะชำนาญเรื่องการใช้ดาบ แต่มันมีช่องว่างระหว่างระดับการบ่มเพาะพลังที่ใหญ่มาก มันอาจจะเป็นอันตรายต่อหลินเฟิงที่ต้องต่อสู้กับเหล่ยโป เพราะเขาอยู่ขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 1 เท่านั้น
เมื่อหนานกงหลิงกำลังเปิดปากพูดเพื่อปฏิเสธ จู่ๆหลินเฟิงก็เปิดปากพูด
“ท่านประมุข ข้าเป็นคนใจกว้าง และมีเมตตา แต่ม่อเสียทำให้ข้าได้รับความอัปยศ และกลั่นแกล้งข้า แล้วจู่ๆสุนัขที่เขาเลี้ยงไว้ก็เปิดปากพูดและด่าข้าว่าปากดี….เจ้าไม่จำเป็นต้องขออนุญาตจากประมุขเพื่อต่อสู้กับข้า เข้ามาได้เลย!”
หลินเฟิงเงยหน้าขึ้น และมองไปที่หนานกงหลิงอย่างไม่แยแส หลินเฟิงมั่นใจในพลังของตัวเป็นอย่างมาก แต่มันทำให้หัวใจของหนานกงหลิงเต้นเร็วขึ้น
หรือว่าหลินเฟิงจะซ่อนพลังที่แท้จริงของเขาไว้?
เมื่อหนานกงหลิงคิดว่าหลินเฟิงอาจจะซ่อนพลังที่แท้จริงของเขาไว้ เขาเลยอยากรู้ว่าหลินเฟิงซ่อนมันไว้จริงหรือไม่ และกล่าว: “ข้าอนุญาต”
“ขอบคุณ ท่านประมุข” เหล่ยโปกล่าวขณะมองหนานกงหลิง จากนั้นเขาก็เดินตรงไปยังลานประลอง และก้าวขึ้นไป เขากำลังเผชิญหน้ากับหลินเฟิง
การต่อสู้ครั้งนี้เป็นการต่อสู้ของความเป็นและความตาย ทั้งสองได้เดิมพันด้วยชีวิต หนานกงหลิงพูดกับตัวเอง
“หลินเฟิง วันนี้ทุกๆคนจะเห็นเจ้าตายอย่างหมา“เหล่ยโปกล่าว
คำพูดของหลินเฟิงก่อนหน้านี้เกือบจะทำให้ม่อเสียจนมุม ถ้าเหล่ยโปสามารถฆ่าหลินเฟิงได้ จากนั้นม่อเสียก็จะรับเขาเป็นศิษย์ส่วนตัว และช่วยเขาพัฒนาการบ่มเพาะพลัง
“เจ้าดูมั่นใจในตัวเองมากเลยสินะ” หลินเฟิงกล่าว
“แน่นอน เจ้าเพิ่งกลายเป็นศิษย์ภายใน เจ้ามันก็แค่เด็กน้อย เจ้าอาจจะมีพรสวรรค์ตามธรรมชาติ และศักยภาพที่สูงส่ง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าข้า เจ้ามันก็เป็นแค่คนอ่อนแอ เพราะข้าอยู่ขอบเขตจิตวิญญาณขั้น 3 ข้าไม่จำเป็นต้องปลดปล่อยจิตวิญญาณก็สามารถฆ่าเจ้าได้แล้ว”
เมื่อเหล่ยโปพูดจบ พลังปราณอันแข็งแกร่งก็ปลดปล่อยออกมาจากร่างของเขา มันแข็งแกร่งมากจนทำให้ฝูงศิษย์รู้สึกถูกกดทับ ร่างกายของเขาเริ่มปลดปล่อยประกายสายฟ้าออกมา ทำให้แม้แต่ฝุ่นที่เข้ามาใกล้เขาก็ระเบิดทันที ขณะที่เขาเคลื่อนไหวจะเกิดเสียงอัสนีคำรามออกมาจากร่างกายของเขา
ความแตกต่างระหว่างผู้บ่มเพาะพลังขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 1 และ 3 มันมากเกินไป แม้แต่อัจฉริยะก็ไม่สามารถปะมือกับคนที่มีระดับการบ่มเพาะสูงกว่าตัวเองได้ แม้ว่าหลินเฟิงจะชำนาญการใช้ดาบ แต่ก็ยังคงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะชนะ
“ข้าจะบอกเจ้าให้รู้ จิตวิญญาณของข้าคือจิตวิญญาณสายฟ้า ตัวข้านั้นราวกับสายฟ้า การโจมตีของข้าทั้งทรงพลัง และรวดเร็ว แต่เจ้าไม่มีค่าพอที่จะทำให้ข้าต้องปลดปล่อยจิตวิญญาณ”
เหล่ยโปยกแขนขวาขึ้นไปในอากาศ และเริ่มปรากฏแสงแพรวพราวกระจายไปทั่ว ดูเหมือนเขาจะใช้ทักษะที่ทรงพลังบางอย่าง
ผู้ที่มีจิตวิญญาณสายฟ้าการโจมตีของพวกเขาจะรุนแรงมาก นอกจากนี้การโจมตีแต่ละครั้งของพวกเขายังมีความรวดเร็ว และคล่องแคล่ว เหล่ยโปบรรลุขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 3 และมีชื่ออยู่ในรายชื่อศิษย์ภายใน เขาอยู่อันดับที่ 21 และอีกไม่นานเขาก็จะอยู่อันดับที่ 20
“แปดฝ่ามือพิฆาต”
หลินเฟิงไม่อย่างเสียเวลาพูดคุยกับเหล่ยโปอีกต่อไป เขาผลักมือออกไป และปลดปล่อยคคลื่นพลังทั้ง 6 ไปยังเหล่ยโป
“หึ”
เหล่ยโปยิ้มอย่างเย็นชา การโจมตีทั้ง 6 ของหลินเฟิงปะทะกับการโจมตีของเขา ทำให้พลังโจมตีทั้งสองหายไปในพริบตา
หลินเฟิงก้าวไปข้างหน้า และอำนาจของดาบเริ่มแพร่กระจายไปทั่วบรรยากาศ และถูกดูดโดยดาบของหลินเฟิง
หลินเฟิงผลักฝ่ามืออีกครั้ง และคลื่นพลังทั้ง 6 ก็ถูกส่งไปยังเหล่ยโป
หลินเฟิงรู้ว่าการโจมตีพวกนี้ไม่ได้มีผลกระทบต่อเหล่ยโปมากนัก ทันใดนั้นเขาก็วิ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ บรรยากาศทั้งหมดเต็มไปด้วยพลังปราณดาบ และอำนาจของดาบของเขา
สิ่งที่น่ากลัวคืออำนาจของดาบกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และทรงพลังมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมันดูดซับพลังจากรอบๆ อำนาจของดาบครั้งนี้มันมากกว่าตอนที่เขาใช้สังหารศิษย์ภายในทั้งห้าคนก่อนหน้านี้เสียอีก
พลังอันน่าเหลื่อเชื่อเริ่มกดทับร่างกายของเหล่ยโป เหล่ยโปเริ่มรู้สึกราวกับกำลังถูกบีบคอ และหายใจไม่ออก มันเจ็บปวดมากราวกับว่ากระดูกของเขากำลังถูกบดขยี้ภายในแรงกดดันของหลินเฟิง
“ขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 2”
เหล่ยโปรู้สึกมึนงง จากนั้นเขาก็ตะโกน: “จ….เจ้าไม่ได้อยู่ขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 1 แต่เจ้ากลับอยู่ขั้นที่ 2!”
ฝูงศิษย์ทุกคนต่างมึนงง หลินเฟิงได้ซ่อนพลังที่แท้จริงของเขาไว้! ทุกคนเกือบจะลืมไปแล้วว่าหลินเฟิงคือใคร เพียงระยะเวลาสั้นๆหลินเฟิงได้แสดงความสามาถของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า และตอนนี้เขาได้กลายเป็นจุดศูนย์กลางของความสนใจของทุกคน
ตอนนี้เขาอยู่เพียงแค่ขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 2 แต่เขากลับสามารถปะทะกับผู้ที่อยู่ขั้นที่ 3 ได้ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงยอมรับคำท้าจากเหล่ยโปปราศจากความลังเล
“เจ้าเด็กนั้นเป็นอัจฉริยะจริงๆ… …”
หนานกงหลิงก็รู้สึกมึนงงเช่นกัน เขาจำตอนที่พบกับหลินเฟิงครั้งแรกได้ ตอนนั้นเขาอยู่เพียงแค่ขอบเขตพลังปราณ และยังอ่อนแอ แม้หลินเซียนจากนิกายห้าวเย่วยังทำให้เขาอับอายในวันนั้น เพียงแค่เวลาสั้นๆ เขากลับกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งมากขนาดนี้
หลินเฟิงได้บรรลุขอบเจตจิตวิญญาณและสังหารศิษย์ภายในไป 5 คน ในขณะนี้เขากำลังต่อสู้กับผู้บ่มเพาะพลังที่อยู่ขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 3 และดูเหมือนเขาจะเหนือกว่าฝ่ายตรงข้าม
“เจ้ามันขยะ เจ้าอ่อนแอเกินไปที่จะท้าทายข้า”
หลินเฟิงเริ่มเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว ราวกับเขาได้หายตัวไป ดาบของหลินเฟิงฟาดฟันทะลุเสื้อผ้าของเหล่ยโปขาด ทำให้เหล่ยโปรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก ราวกับว่าร่างของเขาถูกหั่นออกเป็นชิ้นๆ อำนาจของดาบนั้นน่ากลัวมาก นี่เป็นครั้งแรกที่เหล่ยโปหวาดกลัวมากขนาดนี้
“ตายซะ!” เหล่ยโปตะโกน
เสียงอัสนีคำรามดังสนั่นไปทั่วบรรยากาศ และเมื่อการโจมตีของเขาปะทะกับปราณดาบของหลินเฟิง เขาจึงปลดปล่อยประกายสายฟ้าออกมา ราวกับพายุที่ปลดปล่อยออกมาจากร่างกายของเหล่ยโป
หลินเฟิงผลักฝ่ามือไปข้างหน้า
“แปดฝ่ามือพิฆาต”
พลังโจมตีอันน่าสะพรึงกลัวปลดปล่อยออกมาจากฝ่ามือของหลินเฟิง การโจมตีของหลินเฟิงทรงพลังมาก ทำให้แรงกดดันปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า และลานประลอง
“สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์!”
เหล่ยโปคำรามเสียงดัง และทันใดนั้นได้มีเสียงคำรามของสายฟ้าออกมาจากมือของเขา และบรรยากาศเริ่มระเบิดกระหน่ำ ฝูงศิษย์มองไม่เห็นเพราะการโจมตีที่ทรงพลังและสว่างสไว ราวกับเป็นพลังของสายฟ้าที่ไม่มีวันสิ้นสุด เพียงพริบตาการโจมตีของเหล่ยโปก็หายไปเมื่อปะทะกับการโจมตีของหลินเฟิง
“ดาบเดียวสังหาร”
การโจมตีของหลินเฟิงไม่ได้หมดเพียงแค่นี้ และดาบของเขาเต็มไปด้วยพลังที่ไม่สิ้นสุด
ทักษะดาบเดียวสังหารมันเป็นทักษะที่ต้องใช้ความรวดเร็วมากๆ ยิ่งรวดเร็วมากเท่าไหร่ยิ่งทรงพลังมากเท่านั้น มันเป็นการโจมตีที่น่าหวาดกลัวอย่างแท้จริง
อำนาจของดาบของหลินเฟิงทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อมันตัดผ่านอากาศ และดูดกลืนพลังทุกอย่างที่อยู่รอบๆเส้นทางของมัน
“สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์บ้าคลั่ง!”
เหล่ยโปคำรามเสียงดัง ในตอนนี้ร่างกายของเขาราวกับเมฆสายฟ้า และใช้มือทั้งสองข้างปลดปล่อยพลังทั้งหมดไปที่หลินเฟิง
“ตู้มมมมมมมมมม!!!”
สายฟ้า ปะทะ ปราณดาบและอำนาจดาบของหลินเฟิง แสงระยิบระยับกระจายจ้าไปทั่วทำให้ฝูงศิษย์มองไม่เห็น และมีความร้อนแผดกระจายไปทั่วจากจุดที่ปะทะ พลังของคลื่นกระแทกรุนแรงมากจนทำให้ผิวหนังของศิษย์บางคนถูกเผาไหม้ และทำให้พวกเขาไม่สามารถลืมตาได้
เหล่ยโปรู้สึกเจ็บปวดมาก เขาไม่คิดว่าหลินเฟิงจะแข็งแกร่งขนาดนี้
สิ่งที่ทำให้เหล่ยโปหวาดกลัวก็คืออำนาจดาบของหลินเฟิง มันจะแข็งแกร่งขึ้นทุกครั้งที่โจมตี
ดาบของหลินเฟิงถูกล้อมรอบไปด้วยอำนาจของดาบ ไม่ใช่แค่นั้น มันทรงพลังมากขึ้นเรื่อยๆซึ่งทำให้เหล่ยโปรู้สึกว่าเขากำลังถูกกดทับภายใต้น้ำหนักของแรงดาบ