ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป“อัสนีคำราม!” หลินเฟิงคำรามออกมา
จากนั้นดาบของเขาก็พุ่งไปเหล่ยโปอย่างรวดเร็ว
พลังดาบที่เขาปลดปล่อยออกมาเริ่มผสานกับทักษะอัสนีคำรามทำให้เกิดเสียงดังสนั่นไปทั่วชั้นฟ้า บรรยากาศโดยรอบถูกกลืนกินโดยพลังโจมตีที่รุนแรง การโจมตีด้วยทักษะระดับเหลืองที่ใช้ออกโดยหลินเฟิงมิได้ด้อยไปกว่าทักษะระดับปฐพีที่ทรงพลังเลยแม้แต่น้อย
อัสนีคำรามระเบิดพลังที่น่าเกรงออกมาทำให้ทั่วทั้งบรรยากาศสั่นไหวอย่างรุนแรง
ในมือของเหล่ยโปก็ยังคงปลดปล่อยปราณสายฟ้าที่ทรงพลัง เขาพยายามที่จะสกัดกั้นการโจมตีของทักษะอัสนีคำรามแต่ก็ถูกส่งบินไปข้างหลังและกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด
พลังดาบของหลินเฟิงเริ่มดูดซับพลังและทรงอนุภาพยิ่งขึ้น!
“ข้าขอยอมแพ้! ข้าไม่ต้องการต่อสู้อีกต่อไปแล้ว”
เหล่ยโปตะโกนออกมา เขารู้ดีว่าไม่อาจเอาชนะหลินเฟิงได้และยิ่งไปกว่านั้นเขายังได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการพยายามสกัดกั้นการโจมตีครั้งล่าสุด
ศิษย์ภายในผู้มีรายชื่อติดอันดับในระดับแนวหน้า ผู้ที่บรรลุขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 3 ถึงกลับกล่าวยอมแพ้หลินเฟิงในการต่อสู้?
ฝูงชนต่างถอนหายใจเฮือกใหญ่ หลินเฟิงผู้ซึ่งแสดงพลังของเขาเมื่อ 3 วันก่อน เขาราวกับอยู่ยงคงกระพัน เขายังคงสร้างความตกตะลึงให้แก่ผู้คนด้วยความแข็งแกร่งที่น่าเหลือเชื่อของเขา
“ถ้ามองดูเขาดีๆ เขาน่าจะอายุเพียง 15 หรือ 16 ปีเท่านั้น”
ฝูงชนต่างพยายามคาดเดาอายุของหลินเฟิงและเปรียบเทียบกับความสามารถที่โดดเด่นของเขา พวกเขายังคงประหลาดใจยิ่งขึ้นเมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลินเฟิงอายุเพียง 16 ปีแต่สามารถเอาชนะผู้บ่มเพาะพลังขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 3 ผู้ซึ่งมีรายชื่อติดอันดับศิษย์ภายในได้อย่างง่ายดาย… มันเป็นไปได้อย่างไร? เขายังเป็นมนุษย์อยู่จริงๆหรือ?
หลินเฟิงหยุดเคลื่อนไหว แขนเสื้อของเขากำลังพัดโชยไปตามทางของแรงลม แต่ปราณและพลังดาบก็ยังคงอัดแน่นอยู่ทั่วชั้นบรรยากาศ เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ ร่างกายของเหล่ยโปรู้สึกถึงแรงกดดันที่มหาศาลกำลังกดทับร่างกายของเขาไว้และทำให้เขาหายใจไม่ออก
“ยอมแพ้?”
หลินเฟิงยิ้มอย่างเย็นชา “นี่เป็นการต่อสู้ที่เดิมพันด้วยชีวิต ถ้าข้ายังอยู่ เจ้าก็จะต้องตาย.. มันก็แค่นั้น”
“พวกเราเป็นศิษย์ของนิกายหยุนไห่และไม่ได้มีความแค้นต่อกัน แล้วทำไมเจ้าถึงอยากที่จะสังหารข้า?” เหล่ยโปหวังว่าหลินเฟิงจะเปลี่ยนความคิดของเขา
“ไร้สาระ! เจ้าคงลืมสิ่งที่เจ้าพูดไปก่อนหน้านี้แล้วกระมัง? เจ้ากล่าวว่าสามารถจะสังหารข้าได้ทุกเมื่อที่เจ้าต้องการ? เจ้ายังกล่าวอีกว่าสามารถสังหารข้าได้แม้ไม่ต้องปลดปล่อยจิตวิญญาณออกมา เจ้าลืมไปแล้วหรือว่านี่คือการต่อสู้ที่ต้องเดิมพันด้วยชีวิต?”
หลินเฟิงรู้สึกรังเกียจคำพูดของเหล่ยโป เหล่ยโปกล่าวออกมาอย่างง่ายดายว่าพวกเขาเป็นศิษย์ร่วมนิกายและไม่มีความแค้นต่อกัน โดยหลงลืมสิ่งที่เขาเคยกล่าวไว้ด้วยความหยิ่งยโสก่อนหน้านี้ เขาช่างเป็นคนที่น่าขยะแขยงเสียจริง
“หลินเฟิง เจ้าแข็งแกร่งมากนั่นคือความจริงแต่เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะสังหารข้า ถ้าเจ้าจะสังหารข้า เจ้าจะต้องแบกรับผลที่ตามมา”
เหล่ยโปรู้ว่าหลินเฟิงไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆแน่ ดังนั้นเขาจึงพยายามข่มขู่หลินเฟิง
“โอ้ แล้วยังไง? คิดว่าข้าไม่กล้า?”
ทันใดนั้นนัยน์ตาของหลินเฟิงเต็มไปด้วยจิตสังหารและปรากฏรอยยิ้มที่เย็นชาบนใบหน้าของเขา ดาบของเขาปลดปล่อยพลังที่รุนแรงยิ่งขึ้นควบคู่ไปกับทักษะอัสนีคำราม
เหล่ยโปขยี้ตาของเขาราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น เขาไม่สามารถมองเห็นหลินเฟิงได้อีกต่อไป จากนั้นหมอกสีดำที่มีรูปร่างคล้ายกับดาบขนาดใหญ่ก็ปรากฏตรงหน้าของเขา ในหมอกสีดำมีแสงสว่างระยิบระยับมากมายซึ่งทำให้เหล่ยโปตระหนักได้ว่ามันคือดาบนับล้านเล่มที่ซ่อนอยู่ หมอกสีดำเริ่มเคลื่อนตรงไปยังทิศทางของเขา
เสียงดังราวกับฟ้าผ่าแผ่กระจายไปทั่วทุกสารทิศ
เหล่ยโปคำรามออกมา สายฟ้าที่ทรงพลังเริ่มหลังไหลออกมาจากร่างกายของเขา ร่างของเขาถูกปกคลุมไปด้วยปราณสีเหลืองและน้ำเงิน ซึ่งเป็นสีของสายฟ้า
เมื่อเห็นแสงที่รายล้อมเหล่ยโปทำให้เหล่าฝูงชนตกใจ เขาต้องการจะทำอะไรกันแน่?
ดาบของหลินเฟิงกลายเป็นทรงพลัง เขาไม่จำเป็นต้องใช้พลังมากนักในจะสั่งให้มันโจมตีหรือป้องกัน
ฝูงชนไม่เข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น พวกเขาไม่สามารถมองเห็นดาบของหลินเฟิงได้เหมือนกับที่เหล่ยโปเห็น
ในดวงตาของเหล่ยโป มีดาบนับล้านเล่มที่กำลังเปล่งประกายและพยายามที่จะสังหารเขา ดาบที่ส่องสว่างอยู่ในม่านหมอกราวกับสามารถเอาชีวิตเขาได้ตลอดเวลา
“ถึงวาระสุดท้ายของเจ้าแล้ว” หลินเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับฝูงชน
“ดาบแห่งสวรรค์!”
ทักษะดาบแห่งสวรรค์ทำให้ดาบของหลินเฟิงกลายเป็นคมดาบสังหาร การโจมตีแต่ละครั้งหมายจะเอาชีวิตและมันคือพลังที่ท้าทายสวรรค์ ดาบของเขาราวกับลงมาจากสรวงสวรรค์และพุ่งตรงไปยังเหล่ยโป
มันราวกับว่าดาบของหลินเฟิงแทงทะลุสรวงสวรรค์ลงมา ถ้ามองจากระยะไกลก็จะเห็นได้ว่าก้อนเมฆและท้องฟ้าถูกเจาะทะลุลงมาเช่นเดียวกัน
ดาบที่น่าเกรงขามของเขาราวกับสามารถทำลายได้ทั้งจักรวาล
ด้วยการโจมตีที่น่าเกรงขามเช่นนี้ เหล่ยโปจะต้องจบสิ้นเป็นแน่
ฝูงชนต่างจ้องมองไปยังดาบที่ทรงพลัง
ดาบนับล้านและหมอกสีดำได้หายไปจากทัศนวิสัยของเหล่ยโป แต่กลับแทนที่ด้วยดาบแสงที่ทรงพลังกำลังพุ่งตรงมายังทิศทางของเขา มันราวกับนี่คือแสงสุดท้ายที่เขาจะได้เห็นในชีวิต
“ม่ายยยยยยยยยยยยย”
เสียงกรีดร้องของเหล่ยโปดังลั่นไปทั่วหุบเขาแห่งความป่าเถื่อน แต่ร่างกายของเขากลับไม่สามารถขยับไปไหนได้และยืนแข็งค้างอยู่บนลานประลอง
ปรากฏรอยระหว่างคิ้วของเหล่ยโป จากนั้นเลือดก็ค่อยๆไหลลินออกมา ร่างของเขาทรุดลงกับลานประลองอย่างรวดเร็ว
เขาตายแล้ว? ศิษย์ระดับแนวหน้าของผู้ที่มีรายชื่อติดอันดับและครอบครองจิตวิญญาณสายฟ้าถูกสังหาร?
เหล่ยโปต้องการที่จะกู้หน้าคืนให้กับม่อเสีย เขาต้องการที่จะสังหารหลินเฟิงและได้รับความโปรดปรานจากผู้อาวุโส แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะกลายเป็นหินรองเท้าให้หลินเฟิงเหยียบขึ้นไปเสียเอง
แม้ว่าการทดสอบศิษย์ภายในจะเกี่ยวกับการต่อสู้ แต่ก็มีศิษย์ไม่มากนักที่เข้าร่วม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ถือเป็นหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ของนิกายหยุนไห่ อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เหล่าศิษย์ทั้งหลายต่างตระหนักถึงการกระทำของตนที่ทำมาจนถึงตอนนี้ และเริ่มไตรตรองถึงมันอย่างจริงจัง
ตอนนี้เหล่าผู้คนจากนิกายหยุนไห่ต่างตระหนักได้ว่าพวกเขาได้กลายเป็นพยานในการปรากฏตัวของรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นและเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง
“ข้าต้องการเด็กหนุ่มคนนั้น!”
ดวงตาของต้วนเทียนหลางเปล่งประกาย เขารีบชำเลืองมองไปยังต้วนหาน ความสามารถและพลังของหลินเฟิงสูงส่งกว่าลูกชายของเขาผู้ซึ่งหยิ่งยโสในพลังของตัวเอง
“ถ้าเขาไม่เข้าร่วมกับข้าในวันนี้ เช่นนั้นเขาก็จะต้องตาย ข้าจะไม่ปล่อยให้เขาเติบโตและทรงพลังไปมากกว่านี้ มิฉะนั้นเขาจะต้องกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ในอนาคตอย่างแน่นอน”
ประมุขนิกายห้าวเย่,ฉู่ฉิง และเหล่าคนจากหมู่บ้านหิมะน้ำแข็งต่างก็คิดเช่นเดียวกัน ถ้าหลินเฟิงมีอำนาจและทรงพลังมากกว่านี้ เขาจะต้องกลายเป็น 1 ใน 8 ปรมาจารย์อย่างแน่นอน!
หลินเฟิงไม่สามารถเข้าใจความคิดของคนอื่นได้ เขาไม่แข็งแกร่งเท่ากับม่อเสีย และเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะสังหารม่อเสีย แต่อย่างน้อยหลินเฟิงก็อยากทำให้ม่อเสียรู้ว่าการพยายมข่มขู่หรือสังหารเขาไม่ใช่เรื่องง่าย
เนื่องจากก่อนหน้านี้หลินเฟิงไม่ได้แสดงความสามารถออกไปทำให้คนในนิกายไม่ตระหนักถึงตัวตนของเขา แต่ตอนนี้เขาต้องการปลดปล่อยศักยภาพของเขาออกมา เพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นถึงความแข็งแกร่งของเขาและทำให้ไม่มีใครกล้าดูถูกเขาอีกต่อไป
มือข้างหนึ่งถือดาบอ่อนเอาไว้ในขณะที่เสื้อคลุมของเขาโบกสะบัดไปตามแรงลม หลินเฟิงชำเลืองมองไปรอบๆหุบเขาแห่งความป่าเถื่อนอย่างช้าๆ
“ม่อเสียเป็นผู้อาวุโสของนิกายดังนั้นเขาถึงกล้าที่จะหยิ่งยโส เขากล้าที่จะพยายามสังหารศิษย์อย่างเลือดเย็น เขาคือความอับอายและความอัปยศของนิกายหยุนไห่ ด้วยความแข็งแกร่งของข้าในตอนนี้ไม่อาจจะที่สังหารเขาได้ สิ่งที่ข้าต้องการมีเพียงแค่ขับไล่สิ่งเสื่อมทรามออกจากนิกาย”
“……”
ฝูงชนกลายเป็นตกตะลึงอีกครั้ง! ความต้องการของหลินเฟิงช่างบ้าบิ่นสิ้นดี! เขาต้องการที่จะขับไล่ม่อเสียออกจากนิกาย!?
มันแทบจะเป็นไปไม่ได้! ถ้าม่อเสียถูกขับไล่ออกจากนิกาย ม่อช่างหลานจะต้องเสียหน้าอย่างมาก
“เจ้านั่นบ้าไปแล้วจริงๆ”
หลิ่วเฟยจ้องมองไปที่หลินเฟิง นางถึงกับพูดไม่ออก นางเองก็ไม่อาจจะที่ทนกับพฤติกรรมของม่อเสีย แต่นางก็ไม่เคยคิดที่จะพยายามขับไล่เขา ไม่แม้แต่ในความฝัน! เป็นไปไม่ได้เลยที่ศิษย์ภายในจะขับไล่ผู้อาวุโสออกจากนิกาย
ม่อเสียผู้ซึ่งกำลังนั่งอยู่บนแท่นหินตอนนี้กลายเป็นเกรี้ยวกราดอย่างมาก ในสายตาของเขาศิษย์เพียงคนเดียวไม่ได้มีค่าอะไรไปมากกว่ามดแมลง แต่กลับมีศิษย์คนหนึ่งที่ยืนอยู่บนลานประลองแห่งชีวิตกำลังกล่าวหาเขาด้วยเรื่องต่างๆและเรียกเขาว่าความอับอายและความอัปยศของนิกาย ทั้งยังต้องการให้เขาถูกขับไล่ เขาไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อนในชีวิต
เขาเคยเป็นหนึ่งในคนที่เรียกร้องให้คนอื่นถูกขับไล่ออกจากนิกายและยังเคยขับไล่ศิษย์ทีต้อยต่ำออกจากนิกายด้วยตนเอง อย่างไรก็ตามในตอนนี้เหตุการณ์เหล่านั้นได้เกิดขึ้นกับตัวเขาแล้ว
ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาอื่น เขาจะไม่ลังเลเลยที่จะสังหารหลินเฟิง แต่ในตอนนี้มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เพราะหนานกงหลิงยังอยู่
ในฐานะประมุขของนิกายหยุนไห่เขาจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับทุกฝ่าย ม่อเสียเป็นผู้อาวุโสที่มีฐานะสูงส่งและพ่อของเขา ม่อช่างหลาน ยังเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของนิกาย ทั้ง 2 ได้รับเกียรติให้บังคับใช้กฎของนิกายได้อย่างเต็มที่ ส่วนหลินเฟิงถือเป็นอัจฉริยะที่มีศักยภาพมากที่สุดที่นิกายหยุนไห่ไม่เคยมีมา แม้แต่เหวินเริ่นเหยียนก็ไม่ได้มีศักยภาพเท่ากับเขา และยังมีความจริงที่ว่าหลินเฟิงถูกปกป้องโดยผู้พิทักษ์เป๋ย
ถ้าหลินเฟิงต้องการให้ม่อเสียรับโทษเล็กน้อยมันก็ยังพอเป็นไปได้ แต่นี่เขายืนยันหนักแน่นว่าถ้าม่อเสียยังอยู่ในนิกายหยุนได้ เขาจะเป็นคนจากไปเอง เขาจะอยู่ที่นิกายต่อไปก็ต่อเมื่อม่อเสียถูกขับไล่เท่านั้น
“ข้ารู้ว่าสถานะของม่อเสียมีความสำคัญและสูงส่งขนาดไหน เขาเป็นผู้อาวุโสระดับสูง ข้ารู้ว่าพ่อของเขา ม่อช่างหลานยังเป็นหัวหน้าผู้อาวุโสของนิกายหยุนไห่และเขาก็อุทิศตัวเพื่อรับใช้นิกายมาทั้งชีวิต ตัวข้าในปัจจุบันมีฐานะเป็นเพียงผู้ต่ำต้อยและคำพูดของข้ายังคงมีน้ำหนักไม่เพียงพอ ข้ารู้ว่าม่อเสียชั่วร้ายเพียงใดแต่ข้าก็ยังคงทำอะไรไม่ได้มากนัก เขาพยายามที่จะสังหารข้าหลายครั้งหลายหน แม้แต่ตอนที่เขาเกือบจะถูกผู้พิทักษ์เป๋ยสังหารเขาก็ยังคงมีความคิดที่จะสังหารข้าอยู่ ถ้าเขาไม่ได้รับโทษอันสาสม แล้วข้าจะอยู่ในนิกายต่อไปโดยปราศจากความหวาดระแวงได้อย่างไร?”
“ข้ามีเพียงดาบที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถของข้า นี่เป็นวิธีเดียวที่จะพิสูจน์ให้นิกายเห็นว่าการมีอยู่ของข้าดีกว่าม่อเสียนับร้อยนับพันเท่า!”
คำพูดของหลินเฟิงเริ่มรุนแรงยิ่งขึ้น เขาดูหยิ่งยโสยิ่งกว่าเหวินเริ่นเหยียนเสียอีก
อย่างไรก็ตามทุกคนกำลังสงสัยว่าหลินเฟิงจะสามารถพิสูจน์ได้อย่างไรว่าเขาดีกว่าม่อเสียจริงๆ
หนานกงหลิงเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าหลินเฟิงจะใช้วิธีการใดในการพิสูจน์ตัวเอง
ในตอนนั้นเอง หลินเฟิงผู้ยืนอยู่กลางลานประลองแห่งชีวิตด้วยท่าทีมั่นคงและเด็ดเดี่ยว ได้เหลือบมองไปรอบๆศิษย์ภายในที่นั่งอยู่รอบลานประลองและประกาศออกไป “วันนี้คือการทดสอบศิษย์ภายใน ข้า หลินเฟิง ขอท้าประลองศิษย์คนใดก็ตามที่เต็มใจจะต่อสู้กับข้า ทุกคนสามารถขึ้นมาท้าทายข้าได้ แม้ว่าจะเป็นการประลองแบบปกติหรือการเดิมพันด้วยชีวิต โดยไม่เกี่ยงจำนวน!”
“อะไรน่ะ!?” ทุกคนกลายเป็นตกตะลึง
“ชายคนนี้บ้าไปแล้ว เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ เขาต้องการที่จะท้าทายศิษย์ภายในทุกคน?”
นี่มันเรื่องบ้าอะไรอีก?! เหวินเริ่นเหยียนสามารถต่อกรกับศิษย์หลักได้ แม้แต่ศิษย์บางคนที่อยู่ 10 อันดับแรงของศิษย์ภายในก็สามารถที่จะต่อกรกับศิษย์หลักได้อย่างสูสีเช่นกัน พวกเขาทุกคนมีศักยภาพและทักษะที่โดดเด่น และยังแข็งแกร่งกว่าเหล่ยโปมากนัก แต่หลินเฟิงเพียงแค่เหลือบมองศิษย์เหล่านั้นราวกับพวกเขาอ่อนแอ มันจะหยิ่งยโสเกินไปแล้ว!
ฝูงชนถึงกับพูดไม่ออก เป็นไปได้ไหมที่หลินเฟิงจะเสียสติไปแล้วจริงๆ? เขาจะหยิ่งผยองเกินไปไหมหลังจากที่เอาชนะเหล่ยโป?
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะสามารถเอาชนะศิษย์คนใดในหมู่ศิษย์ภายในได้ แต่นั่นก็ไม่ได้พิสูจน์ว่าตัวเขาดีไปกว่าม่อเสีย แต่กลับกัน ถ้าเขาเกิดพ่ายแพ้ขึ้นมามันจะยิ่งตอกย้ำว่าตัวเขานั้นไม่อาจเทียบม่อเสียได้
“ไอบ้านั่น…”
ดวงตาที่งดงามของหลิ่วเฟยเบิกกว้าง หลินเฟิงบ้าบิ่นเกินไป ก่อนหน้านี้ไม่นาน เขาเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาที่ไม่มีอะไรเลย
แม้แต่หานหมานเองก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างสนุกสนาน เขาภูมิใจที่เห็นหลินเฟิงผู้ซึ่งเปรียบเสมือนพี่น้องของเขาขึ้นไปบนลานประลองแห่งชีวิตและท้าทายผู้อื่นอย่างกล้าหาญ
หนานกงหลิงตกตะลึงเมื่อได้ยินคำกล่าวของหลินเฟิง เขากลายเป็นแข็งค้างโดยสมบูรณ์ หลินเฟิงต้องการที่จะท้าทายศิษย์ภายในทั้งหมด?
แม้ว่าหลินเฟิงจะมีศักยภาพสูงส่ง แต่เขาจะทำมันได้จริงๆหรือ?
“เท่าที่ข้าจำได้ เขายังไม่ได้ปลดปล่อยจิตวิญญาณของเขาออกมาเลยนี่”
หนานกงหลิงตระหนักได้ถึงบางอย่าง เขาเพิ่งนึกได้ว่าหลินเฟิงยังไม่ได้ปลดปล่อยจิตวิญญาณของตัวเองออกมา ยิ่งทำให้เขาอยากรู้อยากเห็นอย่างมากว่าจิตวิญญาณของหลินเฟิงแท้จริงแล้วคืออะไรกันแน่ เมื่อพิจารณาจากทักษะดาบของเขา หรือว่าเขาจะมีจิตวิญญาณแห่งดาบ? ถ้าเขามีจิตวิญญาณแห่งดาบอยู่จริงๆ มันจะสามารถพัฒนาปราณดาบของเขาได้อีกมาก