ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปหลินเฟิงหันหลังกลับไปและจ้องมองเหล่าศิษย์ภายในอีกครั้ง
“ หึ เหล่าผู้ที่ต้องการเลียแข้งเลียขาของเหวินเริ่นเหยียนต่างตกตายหมดแล้ว?”
ไม่มีผู้ใดกล้าตอบ แม้แต่คนที่มีอันดับเหนือกว่าถงโชก็ยังไม่กล้าที่จะเอ่ยอะไรออกมา
พวกเขาทราบดีว่ามีดของถงโชแข็งแกร่งขนาดไหน แม้ว่าพวกเขาจะต้องการเอาชนะ แต่พวกเขาคิดว่ามันไม่คุ้มค่าที่จะต้องเอาชีวิตมาเสี่ยงเช่นนี้ และเป็นอีกครั้งที่หลินเฟิงใช้เพียงกระบวนท่าเดียวและเอาชีวิตของคู่ต่อสู้มาได้
สิ่งที่ทำให้ฝูงชนหวาดกลัวมากที่สุดก็คือพวกเขาไม่รู้ว่าความแข็งแกร่งที่หลินเฟิงแสดงออกมาคือทั้งหมดที่เขามีหรือไม่? ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวและจบการต่อสู้ไม่สามารถที่จะวัดพลังของเขาได้ หลินเฟิงจะค่อยๆเปิดเผยศักยภาพเมื่อเผชิญกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
ถงโชถูกสังหารในกระบวนท่าเดียว หลินเฟิงปกปิดความแข็งแกร่งไว้เพียงใดกันแน่? เขาแข็งแกร่งกว่าคู่ต่อสู้ทุกคน มันเป็นไปได้อย่างไร?
ทุกสายตาจับจ่องไปยังเหวินเริ่นเหยียนราวกับว่าเขาเป็นเพียงผู้เดียวที่จะต่อกรกับหลินเฟิงได้
วัตถุประสงค์ของการทดสอบศิษย์ภายในในวันนี้ได้ถูกหลงลืมไปจนหมดสิ้นแล้ว มีเพียงคนเดียวที่เป็นศูนย์กลางความสนใจของผู้คน ผู้ซึ่งเป็นอัจฉริยะที่แท้จริงนามว่า หลินเฟิง!
ใบหน้าของเหวินเริ่นเหยียนบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธเขาราวกับปีศาจ
หลินเฟิงแสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่โดดเด่นทุกครั้งที่เขาต่อสู้และยิ่งทำให้ผู้คนต่างตกตะลึงมากขึ้นเรื่อยๆ ในตอนนี้เหวินเริ่นเหยียนรู้สึกราวกับว่าถูกตบหน้าทุกครั้งที่ผู้คนมองมาที่เขา เพราะเขาเรียกหลินเฟิงเป็นเพียงขยะหลายครั้งหลายครา คำพูดของเขาถูกส่งกลับมาพร้อมกับความอัปยศต่อหน้าทุกคนในนิกาย
ในตอนนี้ไม่มีศิษย์ภายในคนใดกล้าที่จะต่อสู้กับหลินเฟิง คงมีเพียงเหวินเริ่นเหยียนเท่านั้นที่พอจะต่อกรกับหลินเฟิงได้ อย่างไรก็ตามหลายๆคนเริ่มกลัวว่าเหวินเริ่นเหยียนจะทำได้เพียงพูดจาใหญ่โตและไม่กล้าสู้กับหลินเฟิง
หลินเฟิงในตอนนี้แข็งแกร่งมากและมีหลายคนที่คิดว่าเขายังซ่อนพลังที่แท้จริงเอาไว้อยู่ ด้วยความแข็งแกร่งของหลินเฟิง เขามีสิทธิ์ที่จะหยิ่งยโสและยังไม่เสียหน้าเลยสักครั้งตั้งแต่ที่เขาก้าวขึ้นมาบนลานประลอง นับจากนี้จะมีใครกล้าเรียกเขาว่าขยะ?
“เหวินเริ่นเหยียน เจ้าจะไม่พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นหน่อยหรือว่าข้านั้นเป็นเพียงขยะ? ข้าคิดว่ามันคือสิ่งที่เจ้าควรทำ!” หลินเฟิงตะโกนออกมาและทำลายบรรยากาศที่เงียบงันในทันที
หลินเฟิงจ้องมองไปยังเหวินเริ่นเหยียนและเหลือบมองไปที่หานหมานผู้ซึ่งได้รับบาดเจ็บจากเหวินเริ่นเหยียน หลินเฟิงอยากที่จะสังหารเหวินเริ่นเหยียนในทันทีที่เขาทำร้ายหานหมาน จิตสังหารของหลินเฟิงพุ่งทะยานขึ้นเมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้
เหวินเริ่นเหยียนยังป่าวประกาศต่อหน้าทุกคนอีกว่าหลิ่วเฟยจะต้องเป็นของเขา มันยิ่งทำใช้ความต้องการที่จะสังหารเหวินเริ่นเหยียนของหลินเฟิงเพิ่มมากยิ่งขึ้น
“เจ้ากล่าวอยู่เสมอว่าแข็งแกร่งกว่าข้า แน่จริงก็เข้ามาเอาชีวิตข้าไป ถ้าไม่เช่นนั้นมันก็จะหมายความว่าข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้า และเจ้ากำลังเกรงกลัวความตาย”
หลินเฟิงยิ้มอย่างเย็นชา เหวินเริ่นเหยียนและม่อเสียต่างก็เป็นเหมือนกัน พวกเขาทั้งคู่จะต้องตายเพราะสิ่งที่ทำกับหลินเฟิงและสหายของเขา
ถ้าหลินเฟิงไม่ฆ่าพวกเขาในตอนนี้ เมื่อพวกเขามีโอกาสที่จะฆ่าหลินเฟิง พวกเขาจะไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะทำมัน
“ไร้สาระ เตรียมใจไว้ให้ดี”
เหวินเริ่นเหยียนกล่าวขณะเดินตรงไปยังใจกลางของลานประลองแห่งชีวิต
ในพริบตาการแสดงออกของทุกคนเปลี่ยนไป พวกเขาไม่สามารถระงับความตื่นเต้นเอาไว้ได้ พวกเขาแทบจะอดใจไม่ไหวที่จะดูการต่อสู้ระหว่างสองอัจฉริยะ
เหวินเริ่นเหยียนเป็นศิษย์ภายในอับดับหนึ่งผู้ที่สามารถต่อกรกับศิษย์หลักได้ เขาถือเป็นศิษย์ที่ทรงพลังและมากไปด้วยอำนาจ ก่อนที่หลินเฟิงจะปรากฏตัวเหวินเริ่นเหยียนถูกพิจารณาให้เป็นศิษย์รุ่นเยาว์ที่มีศักยภาพยิ่งใหญ่ที่สุดในอนาคต เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในนิกาย แต่แน่นอนว่าความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ยังไม่อาจเทียบกับลิ่งหูเหอซานหรือถูฟูได้
ทางด้านของหลินเฟิง เขาสังหารเหล่าศิษย์ที่หยิ่งยโสเพราะพวกมันสร้างความอัปยศและข่มเหงเขาก่อน การบ่มเพาะของหลู่หยวนถูกทำให้พิการเพื่อเอาใจหลินเฟิง และเขายังต้องการที่จะขับไล่ม่อเสียออกจากนิกาย
ศิษย์ทั้ง 2 ถือเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดในนิกายหยุนไห่ ใครจะกล้าวิจารณ์พวกเขา?
“เจ้าคิดว่า เพียงเพราะเจ้าเอาชนะเหล่ยโปและถงโช เจ้าจะสามารถเผชิญหน้ากับข้าได้?”
เหวินเริ่นเหยียนกล่าวด้วยความเหยียดหยามและหยิ่งยโส “ถ้าข้าต้องการ ข้าสามารถบดขยี้เจ้าได้เฉกเช่นมดแมลง เจ้าเป็นเพียงตัวไร้ประโยชน์ในสายตาข้า ข้าไม่คิดว่ามันจะคุ้มค่าเลยสักนิดเดียวที่จะต่อสู้กับเจ้า แต่เจ้าก็ยังรนหาที่ตาย ข้าจะทำให้เจ้าได้รับรู้ถึงผลที่ตามมาหลังจากที่กล้ายั่วยุข้า”
“ข้าจะใช้ความตายของเจ้าพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าศักยภาพของข้าไม่มีที่สิ้นสุด”
เหวินเริ่นเหยียนยังคงหยิ่งยโสและคิดว่าตัวเองคือผู้บ่มเพาะพลังที่ดีที่สุดในโลก อย่างไรก็ตามความแข็งแกร่งของเขาเป็นของจริงและได้รับความเคารพจากนิกาย
“สิ่งเดียวที่ข้ายอมรับก็คือความสามารถในการใช้ปากของเจ้า ไอปากสุนัข!” เหวินเริ่นเหยียนคำรามออกมาด้วยความโกรธ
เมื่อพวกเขาทั้ง 2 กำลังเผชิญหน้ากันอยู่บนลานประลอง หนานกงหลิงได้เริ่มพูดบางอย่าง
“พวกเจ้าคือยอดอัจฉริยะของนิกายเรา นิกายยังต้องการพวกเจ้าทั้งคู่ในอนาคต พวกเจ้าคือผู้ที่จะสืบทอดเจตนารมณ์ของนิกาย ใช้การต่อสู้ในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของพวกเจ้า และได้โปรดอย่าสู้กันจนถึงตาย”
หนานกงหลิงคิดว่าเหวินเริ่นเหยียนและหลินเฟิงเป็นอัจฉริยะที่ดีที่สุดที่นิกายหยุนไห่เคยมีมา ถ้าคนใดคนหนึ่งในพวกเขาเกิดตกตายไปมันคงเป็นความสูญเสียที่มากเกินกว่านิกายจะรับไหว
หนานกงหลิงหวังว่าจะไม่มีใครตายหรือได้รับบาดเจ็บสาหัส หรือจะให้ถูก เขาไม่ต้องการที่จะเห็นหลินเฟิงตายหรือพิการ
นั่นเป็นเพราะหนานกงหลิงรู้ว่าเหวินเริ่นเหยียนทรงพลังขนาดไหน ความแข็งแกร่งของเขาน่าตกตะลึงจนเกินไป นอกจากนี้เหวินเริ่นเหยียนยังมีจิตวิญญาณที่หายากและทรงพลังกว่าจิตวิญญาณทั่วไป
“ท่านประมุข เจ้าขยะนี่กระตุ้นโทสะของข้าครั้งแล้วครั้งเล่า จะให้ข้าปล่อยมันไปได้อย่างไร? ที่นี่จะต้องเป็นหลุมฝังศพของมัน” เหวินเริ่นเหยียนกล่าวอย่างอวดดี
หนานกงหลิงไม่สามารถโน้วน้าวเหวินเริ่นเหยียนได้ เหวินเริ่นเหยียนต้องการที่จะสังหารหลินเฟิงอย่างแน่นอน ถ้าเขาไม่ทำ เขาจะไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่แท้จริงของนิกาย
หลินเฟิงนับเป็นตัวอะไร? มันจะมาเทียบตัวเขาได้ยังไง? นี่คือความคิดของเหวินเริ่นเหยียน
“หลินเฟิง โปรดยกเลิกการต่อสู้ครั้งนี้ซ่ะเถอะ”
หนานกงหลิงไม่สามารถทำอะไรได้ เขาเพียงแค่ขอให้หลินเฟิงล้มเลิกความคิดที่จะต่อสู้
หลินเฟิงยิ้มเล็กน้อยและเหลือบมองไปยังหนานกงหลิง “ดูเหมือนว่าท่านประมุขจะไม่มั่นใจในความสามารถของข้า เป็นไปได้หรือไม่ว่าข้ายังแสดงให้ท่านเห็นไม่มากพอ?”
หนานกงหลิงยิ้มอย่างขมขื่น “หลินเฟิง เหวินเริ่นเหยียนมีจิตวิญญาณอสูรไผ่สีน้ำเงิน แม้ว่าเจ้าจะแข็งแกร่ง แต่เจ้าก็ยังต้องการเวลามากกว่านี้ เพื่อที่จะต่อกรกับเขาได้”
ไผ่สีน้ำเงิน? จิตวิญญาณอสูรไผ่สีน้ำเงิน?
หลินเฟิงหรี่ตา ในความทรงจำของเขา จิตวิญญาณอสูรไผ่สีน้ำเงินเป็นประเภทงูขนาดเล็กแต่มีพิษที่น่ากลัวมาก มันมีดวงตาสีน้ำเงินและความเร็วที่เทียบเท่ากับแสง นอกจากนี้มันยังเพิ่มความสามารถในการหลบหลีกการโจมตี พลังของมันน่าเกรงขามอย่างมาก เพียงแค่กล่าวถึงก็ทำให้ผู้คนจำนวนมากสั่นด้วยความกลัว
“นั่นคงเป็นเหตุผลที่ทำให้ดวงตาของเขาน่าเกลียดมากเมื่อเขาโกรธ บางทีคงจะได้มาจากจิตวิญญาณของเขา”
หลินเฟิงกำลังคิดเกี่ยวกับดวงตาสีฟ้าของเหวินเริ่นเหยียน พวกมันดูคล้ายกับงูและทำให้ผู้คนอึดอัดเวลาจ้องมองไปที่พวกมัน
แต่หลินเฟิงจะยอมแพ้เพียงเพราะเหวินเริ่นเหยียนมีจิตวิญญาณอสูรไผ่สีน้ำเงินได้อย่างไร?
“ท่านประมุข ไม่ควรมีข้อจำกัดระหว่างพวกเขา เด็กน้อยคนนี้สร้างความอัปยศให้กับศิษย์ของข้าครั้งแล้วครั้งเล่า เขาจะต้องตาย ถ้าเขาไม่ตายมันจะทำให้ข้าเสียหน้าอย่างมาก โปรดอย่าได้มีข้อจำกัดใดๆในการต่อสู้ครั้งนี้”
ในตอนนั้นเอง ได้มีเสียงที่เย็นชาและสูงส่งดังขึ้น มีร่างของหญิงชราอยู่ที่ยอดสุดของหุบเขา นางค่อยๆเปิดเผยตัวอย่างช้าๆ ในพริบตานางก็มาถึงแท่นพิธี
“นางเป็นใคร? เหวินเริ่นเหยียนเป็นศิษย์ของนาง?”
ฝูงชนต่างจ้องมองไปยังหญิงชราที่ปรากฏตัวออกมา นางดูซูบผอมและมีผมเล็กน้อยอยู่บนศีรษะของนางซึ่งทำให้ผู้คนต่างรู้สึกมืดมน ราวกับว่านางออกมาจากเรื่องสยองขวัญ
นอกจากนี้นางยังพูดคุยกับประมุขนิกายด้วยท่าทีดังกล่าวแสดงว่านางเองก็จะต้องมีสถานะที่สูงส่ง
มีศิษย์เพียงไม่กี่คนที่ตระหนักได้ถึงตัวตนของนาง พวกเขาไม่คิดมาก่อนเลยว่านางจะเข้ามาแทรกแซง สิ่งที่เลวร้ายสำหรับหลินเฟิงคือการมาถึงของหญิงชราคนนี้
“ท่านอาจารย์”
แม้ว่าโดยปกติเหวินเริ่นเหยียนจะโอหังและหยิ่งยโส แต่เขากลับสุภาพมากเมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงชราคนนี้ เขาทำตัวสุขภาพยิ่งกว่าตอนอยู่ต่อหน้าหนานกงหลิงเสียอีก
“อืม” นางพยักหน้าเล็กน้อยเหลือบมองไปยังต้วนเทียนหลาง จากนั้นก็กล่าวกับหนานกงหลิง “ท่านประมุข พวกเราไม่สมควรยื่นมือเข้าไปยุ่ง มิฉะนั้นก็จะมีแต่ทำให้ศิษย์ทั้ง 2 ต้องเสียหน้า”
หนานกงหลิงยิ้มอย่างขมขื่น เขาไม่คิดเลยว่าหญิงชราคนนี้จะปรากฏตัวที่นี่ ดูเหมือนว่าเหตุการเริ่มที่จะเลวร้ายลงเรื่อยๆ
“ยายแก่ เจ้าบอกให้ประมุขไม่เข้าไปยุ่ง แต่เจ้ากลับทำเสียเอง?”
เงาร่างที่ทรงพลังปรากฏอยู่กลางท้องฟ้า
“ผู้พิทักษ์เป๋ย”
หนานกงหลิงประหลาดใจมากยิ่งขึ้น ความขัดแย้งระหว่างเหวินเริ่นเหยียนและหลินเฟิงถึงกลับทำให้สองผู้พิทักษ์ต้องเข้ามามีส่วนร่วม
“หลินเฟิง เจ้าคิดเช่นไร?” ผู้พิทักษย์เป๋ยถาม
“ข้าเห็นด้วยกับการต่อสู้ที่เดิมพันด้วยชีวิต”
หลินเฟิงเข้าใจถึงความหมายของผู้พิทักษ์เป๋ย ถ้าเขาบอกว่าไม่เห็นด้วยผู้พิทักษ์เป๋ยจะปกป้องเขาอย่างแน่นอน เขาต่อสู้เพียงยุติความบาดหมาง
ถ้าเหวินเริ่นเหยียนรู้ถึงจิตวิญญาณของหลินเฟิงเขาคงปฏิเสธที่จะต่อสู้และหลบหนีในทันที แม้ว่าเขาจะเชื่อมั่นใจความแข็งแกร่งของตัวเอง แต่พลังอำนาจของจิตวิญญาณของหลินเฟิงแข็งแกร่งกว่าจิตวิญญาณของเขาอย่างมาก
ผู้พิทักษ์เป๋ยกล่าวอย่างจริงจัง “ถ้าเจ้าต้องการที่จะสู้เป็นตายจริงๆ ข้าจะไม่ห้ามเจ้า แต่จำไว้ว่าเจ้าจะต้องไม่เสียใจภายหลัง”
“ข้าไม่มีวันเสียใจ” หลินเฟิงกล่าวขณะส่ายหัว เขาต้องการที่จะสังหารเหวินเริ่นเหยียนอย่างมาก
“ประเสริฐ” ผู้พิทักษ์เป๋ยพึงพอใจ จากนั้นก็กล่าว “หลังจากที่เจ้าชนะแล้ว ข้าจะช่วยเจ้าขับไล่ม่อเสียออกจากนิกาย”
เมื่อพวกเขาได้ยินในสิ่งที่ผู้พิทักษ์เป๋ยกล่าว เหล่าฝูงชนกลายเป็นตกตะลึงในทันที ผู้พิทักษ์เป๋ยต้องการที่จะช่วยหลินเฟิงขับไล่ม่อเสียออกจากนิกาย? เขามั่นใจว่าหลินเฟิงจะได้รับชัยชนะ?
ใบหน้าของม่อเสียกลายเป็นน่าเกลียดอย่างมาก ถ้าหลินเฟิงชนะ ผู้พิทักษ์เป๋ยจะขับไล่เขาออกจากนิกาย นี่มันเรื่องบ้าอะไร!
ม่อเสียเกลียดผู้พิทักษ์เป๋ยมากในตอนนี้ ความแตกต่างระหว่างพวกเขาราวกับสวรรค์และปฐพี ผู้พิทักษ์เป๋ยมีฐานะสูงส่งกว่าแม้กระทั้งพ่อของเขา ม่อช่างหลาน ม่อเสียได้แต่หวังว่าหลินเฟิงจะตกตายในการต่อสู้
“ยายแก่ แม้ว่าหลินเฟิงจะแพ้ข้าก็จะไม่เข้าไปยุ่ง แต่ถ้าหลินเฟิงเกิดชนะขึ้นมา เจ้าจะสอดมือเข้ามายุ่งหรือไม่?
ผู้พิทักษ์เป๋ยจ้องมองไปยังหญิงชราขณะถาม
“ทำไมข้าจะต้องทำเช่นนั้น? ศิษย์ของข้าไม่มีทางแพ้”
หญิงชราจ้องมองกลับไปที่ผู้พิทักษ์เป๋ยด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ผู้พิทักษ์เป๋ยเองเชื่อมั่นใจตัวของหลินเฟิงและคิดว่าเขาจะต้องเป็นผู้ชนะอย่างแน่นอน
“เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าก็สู้กันได้แล้ว” หญิงชรากล่าว
หนานกงหลิงอึกอัดอย่างมาก ทั้งหญิงชราและผู้พิทักษ์เป๋ยต่างไม่เห็นหัวเขาอีกแล้ว
หลังจากการต่อสู้จบลง จะเหลือยอดอัจฉริยะเพียงคนเดียวเท่านั้น
หนานกงหลิงไม่เต็มใจเสียคนใดคนหนึ่ง แต่เขาจะทำอะไรได้?
การต่อสู้ระหว่างหลินเฟิงและเหวินเริ่นเหยียนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ทั้งคู่ยืนอยู่ใจกลางลานประลองแห่งชีวิต เหวินเริ่นเหยียนจ้องมองไปยังหลินเฟิง ” ข้าไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมผู้พิทักษ์เป๋ยจึงมั่นใจในตัวของเจ้านัก เขาคิดจริงๆหรือว่าเจ้าจะเอาชนะข้าได้? อีกไม่นานเขาจะตระหนักได้ว่าประเมินความสามารถของเจ้าสูงไป!”
“เมื่ออยู่ต่อหน้าข้าเจ้าก็เป็นเพียงแมลงที่น่าสมเพช ทุกคนจะได้รู้ถึงความอ่อนแอและน่าเวทนาของเจ้า ข้าจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าข้าเป็นอัจฉริยะเพียงหนึ่งเดียวของนิกายหยุนไห่!”
เมื่อเหวินเริ่นเหยียนกล่าวจบ ปราณที่ชั่วร้ายก็ได้พวยพุ่งออกมาจากร่างกายของเขา มีงูตัวเล็กปรากฏอยู่ด้านหลังของเขา แม้ว่างูจะเป็นเพียงแค่เงาแต่ทุกคนกลับรู้สึกว่ามันเป็นงูพิษจริงๆ นี่คือจิตวิญญาณอสูรไผ่สีน้ำเงินของเหวินเริ่นเหยียน!