ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป“ทำไมเจ้าถึงไร้ยางอายเช่นนี้?!”
หลิ่วเฟยเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้หลินเฟิง นางจ้องมองต้วนหานอย่างเย็นชา ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเกลียดชังและเหยียดหยาม
ต้วนเทียนหลางและบุตรชายของเขาทำลายนิกายหยุนไห่ นางจะต้องทำให้พ่อลูกที่น่าขยะแขยง 2 คนนี้เสียใจไปตลอดชีวิต
เมื่อต้วนหานได้ยินคำด่าของหลิ่วเฟย ใบหน้าของเขาดูน่าเกลียดยิ่งขึ้น ต้วนหานคิดเสมอว่าหลิ่วเฟยจะต้องกลายเป็นภรรยาของเขา และการที่เห็นว่าที่ภรรยาตัวเองในอนาคตกำลังปกป้องชายอีกคน มันทำให้เขาโกรธเกรี้ยวอย่างมาก
“ข้าไร้ยางอาย? เจ้าเศษสวะนั่นไม่แม้แต่จะเอาชนะข้าได้ แล้วอย่างนี้ ข้าจะไร้ยางอายได้เยี่ยงไร?” ต้วนหานกล่าวขณะจ้องมองไปที่หลินเฟิงอย่างดูถูก “เฟยเฟย ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นถึงความต่างชั้นระหว่างมันกับข้า เจ้าจะได้รู้ว่าพวกเราแตกต่างกันมากขนาดไหน”
“ข้าบรรลุเพียงขั้นที่ 2 ขอบเขตจิตวิญญาณและเจ้าบรรลุถึงขั้นที่ 4 ขอบเขตจิตวิญญาณ เห็นได้ชัดว่าเจ้าแข็งแกร่งกว่า แต่เจ้ากลับอวดอ้างและนำตัวเองมาเปรียบเทียบกับข้าแล้วอย่างนี้ถ้าไม่ให้เรียกว่าไร้ยางอายแล้วจะให้เรียกว่าอะไร?” หลินเฟิงไม่มีความเกรงกลัวต้วนหานแม้แต่น้อย “ ถ้าเจ้าไม่คิดว่าตัวเองไร้ยางอาย ก็ลองโจมตีข้าดู”
“หึ อย่าได้พูดพล่ามไร้สาระ”
ต้วนหานกลายเป็นโกรธเกรี้ยวยิ่งขึ้นเพราะคำพูดของหลินเฟิง เขายังคงยืนอยู่ที่เดิมและรอให้หลินเฟิงเคลื่อนไหวก่อน
ดวงตาสีดำทมิฬของหลินเฟิงเผยให้เห็นความตื่นเต้นเล็กน้อย
จู่ๆ หลินเฟิงก็ปิดตาลงและสัมผัสถึงความสงบ เขาสามารถรับรู้ถึงส่วนต่างๆของโลกจากภายในความมืด
เสียงดังจากภายนอกไม่อาจรบกวนหลินเฟิงในตอนนี้ได้ ในใจของเขามีเพียงโลกแห่งความมืด ที่มีเพียงความหนาวเย็นและกลิ่นอายของความตาย
ในตอนนั้นเอง ได้มีปราณสีดำเทาออกมาจากดาบของหลินเฟิงอย่างช้าๆและกระจายไปทั่วบรรยากาศ มันดูคล้ายกับเงาแห่งความตายที่มาจากขุมนรก
ความตายที่หนาวเย็น ความตายที่มืดมิด ความตายได้อยู่ที่นี่แล้ว
หลินเฟิงลืมตาขึ้น ดวงตาของเขาปกคลุมไปด้วยความมืดดำยิ่งกล่าวเก่า มันยิ่งทำให้เขาดูน่ากลัวและเลือดเย็นกว่าก่อนหน้านี้
หลินเฟิงเริ่มเคลื่อนไหว ปราณสีดำเทาที่ออกมาจากดาบยาวของเขาได้ติดตามเขามาด้วย
ดาบของหลินเฟิงราวกับสามารถทำลายได้ทุกสิ่ง
เขาโจมตีออกด้วยทักษะดาบสวรรค์
“ดาบเดียวดาย”
อำนาจที่ถูกปลดปล่อยออกมาอ่อนแอกว่าก่อนหน้านี้ พลังปราณไม่ได้ทำให้เกิดเสียงอื้ออึงในอากาศ ราวกับเป็นดาบที่โดดเดียวและอ้างว้าง
ดาบที่ปลดปล่อยกลิ่นอายของความตายออกมาราวกับกำลังจะทำลายทุกอย่างในโลกเพื่อให้ตัวมันเองเป็นเพียงสิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ : ดาบเดียวดาย
ใบหน้าของต้วนหานเปลี่ยนไปอย่างมาก ราวกับเขาสามารถรับรู้ถึงอันตรายจากดาบของหลินเฟิง เขาถูกรายล้อมไปด้วยพลังแห่งความตายที่น่าเหลือเชื่อ มันช่วยไม่ได้เลยที่เขาจะตกอยู่ในความหวาดกลัว
“กระตุ้นสวรรค์!”
ต้วนหานรีบใช้ออกด้วยทักษะระดับลึกลับขั้นสูง พลังงานที่น่าสะพรึงกลัวถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างกายของเขา
“ครื่นนน…..”
มีเสียงเล็กน้อย ดาบเดียวดายมีอำนาจที่จะทำลายทุกอย่าง แม้แต่ทักษะระดับลึกลับขั้นสูงของต้วนหานก็ยังทำถูกลายเมื่อสัมผัสกับพลังที่ดาบของหลินเฟิงปลดปล่อยออกมา
“ไสหัวไป!”
ในตอนนั้นเอง ได้มีเสียงตะโกนดังขึ้นมาในอากาศ ประกายดาบที่ทรงพลังได้ฉีกกระชากปราณที่ออกมาจากดาบเดียวดาย ร่างของหลินเฟิงถูกส่งกระเด็นออกไปราวกับเศษใบไม้ ทำให้เขากระอักเลือดหลายครั้ง
ผู้ที่โจมตีก็คือต้วนเทียนหลาง ใบหน้าของเขาแฝงไว้ด้วยความเย็นชา มันราวกับว่าเขาต้องการที่จะสังหารหลินเฟิงซ่ะเดี๋ยวนั้น
ปรมาจารย์ดาบที่สามารถเชื่อมต่อกับดาบของพวกเขาได้อย่างสมบูรณ์ พวกเขาสามารถที่จะแปรเปลี่ยนพลังกับอย่างอื่นได้
สิ่งนี้เรียกว่าการผสานอำนาจ การผสานอำนาจช่วยให้นักดาบสามารถเคลื่อนที่ได้ด้วยอำนาจจากดาบของพวกเขา นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการโจมตีโดยไม่ต้องอาศัยพลังปราณอีกต่อไป
มีเพียงอัจฉริยะที่แท้จริงเท่านั้นทีจะสามารถเรียนรู้ที่จะควบคุมพลังดังกล่าวได้ พวกเขาจะต้องบรรลุขอบเขตจิตวิญญาณเป็นอย่างน้อยเพื่อที่จะใช้การผสานอำนาจ อย่างไรก็ตามอำนาจพลังจะแข็งแกร่งและทรงพลังยิ่งขึ้นเมื่อผู้บ่มเพาะบรรลุถึงขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 6 หรือ 7 ขึ้นไป
ในตอนที่ต้วนหานทะลวงสู่ขั้นที่ 3 ขอบเขตจิตวิญญาณเขาสามารถเรียนรู้การผสานอำนาจได้ ทำให้เขาถือว่าเป็นอัจฉริยะที่แท้จริงคนหนึ่ง
ปราณดาบและอำนาจดาบที่ถูกปลดปล่อยออกมาเมื่อใช้การผสานอำนาจไม่ง่ายเลยที่จะถูกทำลาย ด้วยการผสานอำนาจจะถูกควบแน่นด้วยพลังที่มากกว่าปกติหลายเท่า เฉพาะนักดาบอัจฉริยะเท่านั้นที่จะเข้าใจความลึกซึ้งของการผสานอำนาจก่อนที่จะบรรลุถึงขอบเขตปฐพี
หลินเฟิงผู้ซึ่งบรรลุเพียงขั้นที่ 2 ขอบเขตจิตวิญญาณต้องการที่จะจัดการกับต้วนหาน เขาเริ่มใช้การผสานอำนาจด้วยการโจมตีเมื่อสักครู่ แต่เขาไม่อาจควบคุมมันได้ จึงเป็นสาเหตุให้ต้วนเทียนหลางสามารถเข้ามาขัดจังหวะการโจมตีเขาได้
ในตอนนั้นเอง แม้ว่าหลินเฟิงจะยังกระอักเลือดออกมาแต่ดวงตาของเขาก็เผยให้เห็นถึงความสุข
“บิดาและบุตรชายร่วมมือกับต่อสู้กับผู้เยาว์เพียงคนเดียว ข้าไม่เคยเห็นอะไรที่ไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน”
คำพูดแดกดันของหลินเฟิงทำให้ต้วนเทียนหลางรู้สึกอัปยศอย่างมาก
“หุบปากไปซ่ะ!” ต้วนหานคำรามอย่างเกรี้ยวกราด เขาเกลียดหลินเฟิงมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
“ต้วนหาน เจ้าจะมัวเสียเวลาโต้เถียงกับคนที่ตายไปแล้วทำไม?” ต้วนเทียนหลางกล่าวอย่างไม่แยแส และพุ่งตรงไปยังหลินเฟิง
“ต้วนเทียนหลาง การโจมตีเหล่าผู้เยาว์คือสิ่งที่ชั่วช้าที่สุดของผู้บ่มเพาะพลังระดับอาวุโส เจ้ามันเป็นเพียงคนไร้ค่า”
หนานกงหลิงและผู้อาวุโสบางคนพุ่งลงมาจากท้องฟ้าสู่ลานประลองแห่งชีวิตและมายืนอยู่หน้าของหลินเฟิง
ต้วนเทียนหลางยังคงพุ่งไปข้างหน้าแม้ว่าจะเห็นหนานกงหลิงที่มาพร้อมกับเหล่าผู้อาวุโส ในตอนนั้นปราณที่ทรงพลังก็ปกคลุมไปทั่วชั้นบรรยากาศ ท้องฟ้าราวกับจะพังทลายได้ทุกเมื่อภายใต้แรงกดดันนั้น
“พวกเราจะจัดการกับตาแก่พวกนี้ทีหลัง ตอนนี้ต้องฆ่าหลินเฟิงให้ได้ก่อน”
ต้วนเทียนหลางกล่าวอย่างไม่แยแส เขาได้พาผู้บ่มเพาะที่โดดเด่นบางคนมาสนับสนุนเขาและไม่เกรงกลัวอำนาจของนิกายหยุนไห่ : ประมุขนิกายห้าวเย่ ผู้นำหมู่บ้านน้ำแข็งหิมะรวมถึงประมุขนิกายโมโซ่ว พวกเขาแต่ละคนคือผู้บ่มเพาะพลังที่น่าเกรงขามและไม่อาจดูแคลนได้ พวกเขาทั้งหมดถือเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่านิกายหยุนไห่
ในตอนนี้เป้าหมายของพวกเขาคือการทำลายนิกายหยุนไห่ ปล้นทุกสิ่งทุกอย่างจากนิกายจากนั้นก็แบ่งปันมันอย่างเท่าเทียม
นั่นคือหนึ่งในเหตุผลที่ว่าทำไมต้วนเทียนหลางพยายามที่จะโน้มน้าวประมุขนิกายเหล่านี้เพื่อเข้าร่วมกับเขาและช่วยให้เขาคัดเลือกศิษย์ที่โดดเด่นเพื่อส่งกลับไปยังลานศักดิ์สิทธิ์หิมะจันทรา
มีหลายสิ่งที่สามารถปล้นชิงจากนิกายหยุนไห่ได้ ไม่ว่าจะเป็น สมบัติที่น่าอัศจรรย์ ทักษะและเทคนิคที่แข็งแกร่ง รวมถึงศิษย์ที่โดดเด่นเหล่านี้
“กองทหารม้าโลหิต ฆ่าพวกมันให้หมด!”
ต้วนเทียนหลางส่งสัญญาณมือ ทันใดนั้นเหล่ากองทหารม้าโลหิตได้วิ่งตรงมายังหุบเขาแห่งความป่าเถื่อน
“ต้วนเทียนหลาง ข้าคือประมุขนิกายหยุนไห่ ถ้าเจ้าต้องการที่จะทำลายนิกายข้า เจ้าจะต้องข้ามศพข้าไปก่อน”
หนานกงหลิงเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง ปราณขนาดมหึมาถูกยิงตรงไปที่ต้วนเทียนหลาง
“ทำไมข้าต้องกลัว?” ต้วนเทียนหลางยิ้มอย่างเย็นชา จากนั้นร่างของเขาก็พุ่งทยานขึ้นไปในอากาศ
หนานกงหลิงติดตามเขาขึ้นไป ดาบของต้วนเทียนหลางเริ่มเปล่งประกาย เขาพยายามที่จะโจมตีหนานกงหลิงด้วยพลังที่น่ากลัว
“ตู้มมม!!”
สัตว์อสูรที่มีรูปร่างคล้ายปลาและงูเหลือมกระพือปีกของมัน ประมุขนิกายโมโซ่วนั่งอยู่บนตัวมันด้วยด้วยท่าทีชั่วร้าย ดวงตาของสัตว์ร้ายตัวนี้น่ากลัวอย่างมาก
ผู้พิทักษ์เป๋ยปลดปล่อยจิตวิญญาณนกกระเรียนออกมาและบินขึ้นไปบนท้องนภาด้วยความเร็วราวกับสายฟ้า เขาพุ่งตรงไปยังสัตว์อสูรตัวนั้น ทุกคนต่างเลือกคู่ต่อสู้ของตัวเองและสงครามครั้งใหญ่ก็ได้อุบัติขึ้นแล้ว
มันคือสมรภูมิรบขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเลือด มันราวกับพายุที่เหลือทิ้งไว้เพียงการทำลายล้างและซากศพ
ไม่ว่าจะบนฟ้าหรือฝืนดิน ก็เต็มไปด้วยการฆ่าฟัน
ดวงตาสีดำของหลินเฟิงกำลังจ้องมองไปยังสมรภูมิรบตรงหน้า หลินเฟิงรู้สึกว่า ประมุขนิกาย ผู้พิทักษ์เป๋ยและเหล่าผู้อาวุโสต่างกำลังต่อสู้เพื่อตัวเขา เขาไม่คิดมาก่อนว่าผู้คนเหล่านี้จะต่อสู้เพื่อตัวเขา
ความรู้สึกที่เห็นหนาวราวกับธารน้ำแข็ง หลินเฟิงรู้สึกตัวในทันที ภายในนิกายหยุนไห่ ผู้คนมากมายกำลังต่อสู้และเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องเขา
หนานกงหลิง ผู้พิทักษ์เป๋ย และผู้อาวุโสคนอื่นๆต่างทรงพลังมาก พวกเขามีโอกาสที่จะชนะศึกในครั้งนี้หรือสร้างความหวาดกลัวให้แก่ศัตรู แต่มันก็ยังไม่มีอะไรแน่นอน อย่างน้อยก็ยังคงมีความหวังอยู่ อย่างไรก็ตามพวกเขากำลังต่อสู้ด้วยเอาชีวิตเป็นเดิมพันเพราะพวกเขาคือส่วนหนึ่งของนิกายหยุนไห่
“นิกายหยุนไห่”
หลินเฟิงเอ่ยอย่างแผ่วเบาขณะจ้องมองไปยังทะเลเลือด
“หลินเฟิง”
ในตอนนั้นเองได้มีเสียงหนึ่งดังขึ้น หลินเฟิงหันกลับไปและรู้สึกประหลาดใจ
เขามีสายตาที่เย็นชาและกำลังเดินขึ้นมาที่ลานประลองแห่งชีวิต สายตาของชายคนนี้ราวกับฆาตกร
มันคือม่อเสีย!
“เจ้าสัตว์เดรัจฉาน”
หลินเฟิงเห็นรอยยิ้มเย็นชาบนหน้าของม่อเสียและกำลังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
ในสถานการณ์ที่วิกฤตและสิ้นหวังเช่นนี้ ม่อเสียผู้ซึ่งเป็นผู้อาวุโสไม่ได้ต่อสู้เพื่อนิกายแต่กำลังเดินตรงไปยังหลินเฟิงเพื่อชำระแค้นส่วนตัว ด้วยสถานการณ์ที่วุ่นวายเช่นนี้ ม่อเสียได้ตัดสินใจใช้โอกาสนี้สังหารหลินเฟิง
“ทำไมเจ้าถึงต้องการสังหารข้าตอนนี้? จะไม่ดีกว่าหรือที่จะสู้เพื่อเอาชีวิตรอด?”
หลินเฟิงจ้องมองไปที่ม่อเสียผู้ซึ่งกำลังเดินใกล้เข้ามาด้วยจิตสังหารที่เย็นเยียบ
“ เหอะ เจ้าลองคิดดูว่าถ้าข้าพาตัวเจ้าไปหาต้วนเทียนหลาง เขาจะยังสังหารข้าอยู่ไหม? ในสถานการณ์เช่นนี้ ข้าไม่จำเป็นที่จะต้องสู้เพื่อความอยู่รอดแต่ก็สามารถมีชีวิตต่อไปได้อย่างสบาย”
ม่อเสียมีรอยยิ้มที่ชั่วร้ายอยู่ตรงมุมปากของเขา หลินเฟิงรู้สึกประหลาดใจที่ได้ยินถ้อยคำที่ไร้ยางอายออกจากปากผู้อาวุโสของนิกาย มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีใครน่ารังเกียจกว่าม่อเสีย
“ข้าล่ะชื่มชมเจ้าจริงๆ เจ้าช่างเลือดเย็นอย่างน่าเหลือเชื่อและสามารถยิ้มได้ในขณะที่นิกายของตัวเองกำลังจะถูกทำลาย” หลินเฟิงกล่าว
“ทำไม? ผู้ชนะคือกษัตริย์และผู้แพ้คือขยะ ผู้แพ้ในสายตาของข้านั้นผิดเสมอ ต้วนเทียนหลางทรงอำนาจและแข็งแกร่ง ถ้าเขาต้องการที่จะทำลายนิกายหยุนไห่ ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะขัดความตั้งใจของเขา ผู้ที่กำลังต่อสู้เพื่อนิกายโดยการเอาชีวิตเป็นเดิมพันก็เป็นเพียงแค่พวกโง่เขลา”
ไม่เพียงแต่ม่อเสียจะเลือดเย็นและชั่วช้า แม้แต่นิกายก็ไม่เคยมีค่าในสายตาของเขา
“เมื่อเป็นเช่นนั้น มา ข้าจะจบชีวิตที่น่าสมเพชของเจ้าเอง”
คำพูดเหล่านี้ส่งออกมาจากหัวใจของหลินเฟิงโดยตรง ถึงแม้มันจะดูเรียบง่ายแต่ดูเหมือนว่าหลินเฟิงพร้อมที่จะสังหารม่อเสียแล้วจริงๆ
ม่อเสียจ้องมองอย่างตื่นตระหนกไปที่หลินเฟิง
แต่ไม่นาน ม่อเสียก็ผ่อนคลาย แม้ว่าหลินเฟิงจะเป็นอัจฉริยะ แต่ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่หลินเฟิงจะสังหารเขาได้
“ หึ ข้าจะทำให้เจ้าตายอย่างทรมานและเจ็บปวด หลินเฟิง!”
ม่อเสียปลดปล่อยจิตวิญญาณเถาวัลย์อสรพิษออกมาและมันก็ปรากฏตัวใต้เท้าของหลินเฟิง
ม่อเสียโจมตีหลินเฟิงโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัวแม้ว่าพวกเขาจะมีพลังที่ต่างกัน หลินเฟิงถูกพันไว้ด้วยเถาวัลย์ แต่น่าแปลก ที่หลินเฟิงไม่คิดที่จะต่อต้าน
ม่อเสียไม่ได้สังเกตถึงรอยยิ้มบนหน้าของหลินเฟิง
“ดูเหมือนเจ้าจะยอมแพ้ ไม่ต้องกังวล ข้าจะฆ่าเจ้าอย่างช้าๆและใช้หัวของเจ้าเป็นรางวัล” ม่อเสียกล่าวอย่างชั่วร้าย
ทันใดนั้นเอง ได้มีเงาปีนป่ายขึ้นมาบนตัวของม่อเสีย
เงานั้นไม่มีตัวตน มันเกือบจะมองไม่เห็นและไม่เหมือนกับสิ่งที่สมควรมีบนโลกใบนี้
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?”
ม่อเสียไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ราวกับร่างกายของเขาไม่ได้อยู่ในการควบคุม เขาสั่นด้วยความกลัวตั้งแต่หัวจรดเท้า
นั่นคือเขา!
ม่อเสียไม่มีวันลืม วันที่เงานี้เกือบจะบดขยี้ร่างกายของเขา…