ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
“เจ้าไม่สามารถจากไปได้!”
มีเสียงดังตามมาข้างหลังของหลินเฟิงและผู้พิทักษ์เป๋ย สัตว์อสูรที่มีลักษณะคล้ายกับงูหลามและปลากำลังคายควันออกมา จากนั้นมันก็เปิดปากที่มโหฬารของมันและหายใจเข้าลึกๆ ซึ่งทำให้ทั่วทั้งบรรยากาศเต็มไปด้วยพลังปราณที่แข็งแกร่ง
ในขณะเดียวกันมันก็กระพือปีกที่ใหญ่โตและพุ่งไปทางหลินเฟิงและผู้พิทักษ์เป๋ย
ปราณที่แข็งแกร่งในอากาศทำให้หลินเฟิงและผู้พิทักษ์เป๋ยช้าลง หลินเฟิงรู้สึกราวกับว่าร่างกายของเขาจะถูกกลืนกินโดยสัตว์อสูรที่กำลังไล่ล่าเขา
ถ้าผู้พิทักษ์เป๋ยไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ หลินเฟิงจะต้องถูกกินโดยนยักษ์โบราณเป็นแน่
นกยักษ์โบราณคือสัตว์อสูรระดับปฐพี เฉพาะผู้ที่อยู่ในขอบเขตปฐพีเท่านั้นที่จะควบคุมมันได้ ลมหายใจของมันปลดปล่อยพลังงานออกมาอย่างน่าเหลือเชื่อ หลินเฟิงไม่อาจต้านทานมันได้แม้เพียงครึ่งลมหายใจ
“กำจัดพวกมัน!”
เถิงอูซานที่อยู่ด้านบนของนกยักษ์โบราณตะโกนออกมา เขาหยิบโซ่สีดำขึ้นมาและขว้างไปที่พวกเขา หลินเฟิงตื่นตระหนกอย่างมาก
“ไสหัวไป!”
เมื่อได้ยินเสียงตะโกน โซ่สีดำถูกสกัดั้นโดยบางคน และคนๆนั้นคือหญิงชราที่เป็นอาจารย์ของเหวินเริ่นเหยียน
“ ไป! ข้าจะสังหารเจ้าสัตว์ร้ายนี่เอง!”
หญิงชรากล่าว ผู้พิทักษ์เป๋ยพยักหน้า มีเพียง 2 คนเท่านั้นที่แข็งแกร่งพอที่จะจับพวกเขาได้ : หนึ่งคือชายชราที่อยู่บนดาบขนาดยักษ์และอีกคนคือเถิงอูซานที่อยู่บนหลังของนกยักษ์
ชายชราได้รับบาดเจ็บโดยผู้พิทักษ์คง ดังนั้นถ้าพวกเขาสามารถสังหารนกยักษ์ได้ จะไม่มีใครสามารถตามจับหลินเฟิงได้อีกต่อไป
เกี่ยวกับที่หญิงชรากล่าว ผู้พิทักษ์เป๋ยสงสัยว่านางอาจจะไม่มีพลังพอที่จะสังหารนกยักษ์โบราณ
“ข้ายังจำถึงข้อตกลงของพวกเราได้ โปรดไปบอกเจ้าสารเลวน้อยหลิ่วช่างหลานด้วยว่า ข้าให้อภัยเขา เกี่ยวกับการแต่งงานของหลิ่วเฟยและเหวินเริ่นเหยียน ลืมมันไปเสีย หลินเฟิงมีความเหมาะสมมากกว่า”
หญิงชรากล่าวอย่างสงบ ผู้พิทักษ์เป๋ยทำเพียงหัวเราะและไม่ได้กล่าวอะไรกลับไป
“เหอะ เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้พูดพล่ามจนกว่าจะสังหารนกยักษ์ของข้าได้”
เถิงอูซานยิ้มอย่างเย็นชา จากนั้นเขาก็ทำให้โซ่สีดำสั่น หญิงชราเกือบจะเสียสมดุล ดูเหมือนหญิงชราจะตกอยู่ในที่นั่งลำบาก ราวกับว่านกยักษ์พร้อมจะกลืนกินนางได้ทั้งตัว
สัตว์อสูรระดับปฐพีมีความฉลาดมาก มันรู้ว่าหญิงชรากล่าวว่าจะสังหารมัน ทำให้มันเกลียดชังนาง
“เจ้าสัตว์เดรัจฉาน!”
หญิงชราคำรามออกมา ผมของนางปลิวไสวอยู่ในอากาศ จากนั้นเงาของอสรพิษก็ปรากฏที่หลังของนาง ร่างกายของนางเปลี่ยนเป็นงูในทันที จากนั้นนางก็โยนตัวเองเข้าไปในปากของนกยักษ์โบราณ
ถูกต้อง นางไม่ได้ต่อต้านและโยนตัวเองเข้าไปในปากของนกยักษ์ ตอนนี้นางอยู่ภายในตัวมันเรียบร้อยแล้ว
เมื่อหลินเฟิงเห็นเช่นนั้น เขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก
“ไปกันเถอะ” ผู้พิทักษ์เป๋ยกล่าว จากนั้นพวกเขาก็มองข้างหลังเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะบินหายไปด้วยความเร็วที่ราวกับแสง
พวกเขาได้ยินเพียงเสียงคำรามของจากที่ๆห่างไหล หลินเฟิงคาดเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนกยักษ์โบราณนั่น
ความบาดหมางเกิดขึ้นระหว่างหลินเฟิงกับเหวินเริ่นเหยียนเท่านั้น หลินเฟิงไม่ได้เกลียดหญิงชราแม้ว่านางจะช่วยเหวินเริ่นเหยียน เขาเข้าใจนางเพราะนางมีศิษย์เพียงคนเดียว นางไม่สนใจที่จะต้องเสียหน้า นางแค่ไม่ต้องการเห็นศิษย์ของนางตายก็เท่านั้น
ในนิกายหยุนไห่ นางคือผู้พิทักษ์ นางพร้อมที่จะสละชีวิตเพื่อนิกาย
แม้ว่าหญิงชราจะหน้าเกลียดและเอาแต่ใจ แต่นางก็ยังควรค่าแก่การเคารพ
ในตอนนี้ ไม่มีใครสามารถตามจับผู้พิทักษ์เป๋ยได้แล้ว ด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อพวกเขาได้หายไปจากหุบเขาแห่งความป่าเถื่อนอย่างไร้ร่องรอย
ในที่สุดผู้พิทักษ์เป๋ยและหลินเฟิงก็หลบหนีออกมาจากนิกายหยุนไห่ได้ แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีความสุขกับการรอดจากภัยพิบัติในครั้งนี้ พวกเขารู้ว่าชีวิตของพวกเขาที่รอดมาได้เป็นเพราะความช่วยเหลือจากทุกคนในนิกายหยุนไห่ที่สละชีวิตของพวกเขา
หน้าผานรกเป็นสถานที่เดียวที่ไม่ได้รับความเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปหรือออกมามีวิธีการเดียวคือต้องบินเท่านั้น
ในตอนนั้นเอง ร่างเงาของนกกระเรียนกำลังบินตรงไปยังหน้าผาจ้านกู้และกำลังไปยังห้องสี่เหลียมที่เต็มไปด้วยกลอง
หลินเฟิงรู้จักสถานที่แห่งนี้ เขาประหลาดใจมาก อันที่จริงเขามีความสงสัย ทำไมผู้พิทักษ์เป๋ยจึงไม่พาเขาออกจากนิกายหยุนไห่ แต่กลับพาเขามาที่หน้าผาจ้านกู้แทน
“พวกเราต้องลงไป”
ผู้พิทักษ์เป๋ยจ้องมองไปที่หน้าผาจ้านกู้และลงจอดที่นั่น พวกเขาถูกรายล้อมไปด้วยหมอกหนา
“เจ้าจำที่นี่ได้หรือไม่?” ผู้พิทักษ์เป๋ยถามหลินเฟิง
หลินเฟิงยังไม่เข้าใจว่าผู้พิทักษ์เป๋ยถามเขาทำไม เขาพยักหน้าและกล่าว “ข้าจำได้ดี”
“ทางเดินสู่ทางเดิน หน้าผาสู่หน้าผา แล้วเจ้าจะจบลงที่นี่”
ในขณะที่ผู้พิทักษ์เป๋ยกล่าว เขาเคาะลงไปที่หิน 3 ครั้ง ทันใดนั้นกำแพงหินก็เริ่มเคลื่อนไหวและประตูก็ปรากฏขึ้น
“เข้าไปกันเถอะ” ผู้พิทักษ์เป๋ยกล่าวขณะพาหลินเฟิงเข้าไป จากนั้นประตูก็ปิดตัวลง
สถานที่นี้ดูคล้ายกับอารามอย่างมาก มันราวกับอารามภายใต้พระราชวัง และยังมีปราณที่หนาแน่น
ตรงกลางของอารามมีภาพวาดของมังกรและนกฟีนิกซ์อยู่ มีเสามากมายที่คอยค้ำจุนกำแพงเอาไว้ มันคือเสาที่ถูกแกะสลักเป็นรูปสัตว์อสูรที่แตกต่างกัน น่าเสียดายที่หลินเฟิงไม่เคยเห็นสัตว์อสูรเหล่านี้มาก่อน เขารู้สึกว่าพวกมันน่ากลัวและน่าเกรงขามอย่างมาก
“นิกายหยุนไห่ไม่ได้สร้างพวกมันขึ้นมา มันถูกค้นพบโดยบังเอิญ”
เสียงของผู้พิทักษ์เป๋ยดังก้องอยู่ในอาราม “ผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งในอดีตย่อมมาที่นี่เพื่อบ่มเพาะพลัง แน่นอนว่าที่นี่อาจจะเป็นนิกายโบราณ ไม่ว่าจะเป็นทักษะหรือเทคนิคที่ทรงพลังและลึกลับที่อยู่ในหอดวงดาราต่างก็ถูกนำมาจากที่นี่ แต่เนื่องจากข่าวกระจายออกไปอย่างรวดเร็วและมีคนจำนวนมากที่มีเจตนาร้าย สถานที่แห่งนี้จึงถูกเก็บเป็นความลับจากทุกคนในนิกาย เฉพาะผู้พิทักษ์นิกายเท่านั้นที่จะรู้ถึงการมีอยู่ของอารามแห่งนี้ แม้แต่ประมุขนิกายก็ยังไม่รู้”
ผู้บ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่งต่างมาฝึกฝนที่นี่? แม้แต่ประมุขนิกายก็ยังไม่รู้?
หลินเฟิงรู้สึกประหลาดใจที่เขาได้รู้ความลับนี้ แต่ที่น่าตกใจที่สุดก็คือมีเพียงผู้พิทักษ์นิกายเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้มาที่นี่
หลินเฟิงกำลังเฝ้ามองอารามด้วยความสนใจ มันทั้งสง่างาม ใหญ่โต และมีปราณที่หนาแน่นในอากาศ อารามเต็มไปด้วยทักษะ เทคนิคหรือแม้แต่อาวุธ แม้ว่าพวกมันจะถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นและเก่า แต่บางทีมันอาจจะทรงพลังมาก
“หลินเฟิงตามข้ามา”
ผู้พิทักษ์เป๋ยเดินนำหลินเฟิงเข้าไปในส่วนลึกของอาราม หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็พบกับปากทางเข้าห้องเล็กๆ ตรงกลางของห้องมีกล่องไม้แกะสลักสีน้ำตาลวางอยู่ นอกจากนี้ยังมีชั้นวางที่มีตำราอยู่หลายเล่ม ถึงแม้ว่าจะถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่น แต่พวกมันก็ถูกจัดเรียงและแยกประเภทอย่างเป็นระเบียบ ซึ่งหมายความว่ามีคนมาจัดพวกมันเมื่อไม่นานมานี้
“พวกเราจะนำทักษะและเทคนิคทั้งหมดของหอดวงดาราไป พวกมันทั้งหมดคือทักษะที่ถูกคัดลอกด้วยลายมือ ทักษะและเทคนิคระดับที่อ่อนแอที่สุดคือระดับลึกลับ ทักษะและเทคนิคที่ดีที่สุดคือระดับปฐพี ตำราเหล่านี้น่าทึ่งอย่างมาก แต่ก็ยากที่จะเรียนรู้และฝึกฝน แม้แต่พวกเราเหล่าผู้พิทักษ์เองก็ยากที่จะฝึกได้ ถ้าสามารถเข้าใจมันได้แม้เพียงเสี้ยวเดียวก็จะช่วยเพิ่มพลังโจมตีได้อย่างมาก เจ้าสามารถเลือกทักษะที่เหมาะสมกับตัวเองได้”
ถ้าหลินเฟิงมาที่นี่ก่อนหน้านี้เขาจะมีความสุขอย่างมาก แต่ตอนนี้เขาไม่อาจสัมผัสถึงความสุขได้เลยแม้แต่น้อย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เขารู้สึกโศกเศร้าและขมขื่นอย่างมาก เขาไม่สามารถกำจัดภาพเหล่านั้นออกไปจากหัวได้
“ไปดูห้องอื่นกันเถอะ”
ผู้พิทักษ์เป๋ยพาหลินเฟิงไปยังห้องอื่นๆ
“อาวุธ”
ชั้นหินเหล่านี้แผ่ไอปราณอันเก่าแก่ออกมา ทำให้หลินเฟิงถึงกับสั่นเทาด้วยความตกตะลึง
อาวุธเหล่านี้ พวกมันทั้งหมดมีจิตวิญญาณ
พวกมันคืออาวุธวิญญาณ
“เจ้าอาจจะเรียกมันว่าอาวุธ แต่ถ้าจะให้ดีควรเรียกมันพวกมันอาวุธวิญญาณ”
ผู้พิทักษ์เป๋ยเริ่มอธิบายต่ออย่างจริงจัง “อาวุธเป็นเพียงคำที่ใช้อธิบายพวกอาวุธสามัญ แต่อาวุธวิญญาณมีจิตวิญญาณสถิตอยู่ข้างใน พวกมันทรงพลังและมีเอกลักษณ์ของตัวเอง
ผู้พิทักษ์เป๋ยตรงไปยังดาบโบราณและหยิบมันขึ้นมา “เอาดาบที่เจ้าสะพายไว้บนหลังมาให้ข้า”
หลินเฟิงหยักหน้าและส่งมอบดาบให้กับผู้พิทักษ์เป๋ย
ผู้พิทักษ์เป๋ยไม่ได้ใช้ทักษะหรือเทคนิคใดๆ แต่ดาบของหลินเฟิงก็ลอยขึ้นสู่อากาศและพุ่งตรงมายังผู้พิทักษ์เป๋ย และปะทะกับดาบในมือของเขา
“เคร้งง!”
เกิดเสียงดังภายในห้อง ดาบตรงเข้าไปอยู่ในมือของหลินเฟิง ดาบเล่มนี้งดงามและคมอย่างมาก
“ทั้งหมดนี้ไม่ใช่อาวุธธรรมดา พวกมันทั้งหมดคืออาวุธวิญญาณ …. คนโง่เขลาสามารถกลายเป็นฆาตกรได้อย่างรวดเร็ว … พวกมันล้ำค่าอย่างมาก พวกเราไม่เคยให้ใครภายนอกรับรู้มาก่อน แต่วันนี้ทั้งหมดเป็นของเจ้า”
“เป็นของข้า?!” หลินเฟิงตื่นตระหนก ผู้พิทักษ์เป๋ยยังคงมีชีวิตอยู่แต่เขากลับให้ทั้งหมดนี่กับเขา!
“ที่จริงแล้ว ทั้งหมดที่นี่เป็นของเจ้า” ผู้พิทักษ์เป๋ยกล่าวอย่างจริงจัง จากนั้นเขาก็หยิบหินออกมา มันดูธรรมดาอย่างมาก
“นี่คือหินมิติโบราณ ข้างในนั้นว่างเปล่า ถ้าเจ้าหยดเลือดลงไป มันจะเปิดใช้งานเพื่อเจ้า”
ผู้พิทักษ์เป๋ยอธิบายเกี่ยวกับหินก่อนที่จะส่งให้กับหลินเฟิง
หลินเฟิงเฉือนปลายนิ้วเล็กน้อย จากนั้นเขาก็หยดเลือดลงไปบนก้อนหิน จากนั้นก็เกิดเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดขึ้น
หินมิติโบราณเปล่งประกายออกมา เลือดของหลินเฟิงค่อยๆกลายเป็นสีแดงเข้มและกระจายไปทั่วหินอย่างช้าๆ
ในตอนนั้นเกิดความรู้สึกมากมายภายในใจของหลินเฟิง หลินเฟิงได้สร้างพันธะกับหินที่ไม่สามารถทำลายได้
หลินเฟิงรู้สึกว่าตัวเองเชื่อมโยงกับหิน ภายในของหินมีพื้นที่กว้างขวางอย่างน่าเหลือเชื่อและเต็มไปด้วยสมบัติมากมาย
หลินเฟิงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคย ทำให้เขาถึงกับสั่นสะท้าน
“นี่มัน…?”
หลินเฟิงหันไปหาผู้พิทักษ์เป๋ย
“ถูกต้อง นี่คือปราณของหนานกงหลิง เมื่อตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ทั้งหมดนี่เป็นของเขา ทุกสิ่งทุกอย่างในนิกายถูกเก็บไว้ในหินก้อนนี้” ท่าทีของผู้พิทักษ์เป๋ยเปลี่ยนเป็นจริงจัง “หลินเฟิง ตั้งแต่วันนี้เจ้าคือประมุขคนใหม่ของนิกายหยุนไห่!”