ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป“หลินเฟิง นับจากนี้เป็นต้นไป เจ้าคือประมุขคนใหม่ขอนิกายหยุนไห่” ผู้พิทักษ์เป๋ยกล่าวอย่างจริงจัง
“หลินเฟิง แม้ว่าตอนนี้นิกายหยุนไห่อาจจะไม่มีใครเหลืออีกแล้ว แต่ข้าก็ไม่ต้องการให้มันหายไปตลอดการ มันคือความปรารถนาของหนานกงหลิงด้วยเช่นกัน ในอนาคต ถ้าเจ้ามีโอกาส ข้าหวังว่าเจ้าจะสร้างนิกายขึ้นมาใหม่และทำให้มันรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้ง”
ขณะที่จ้องมองไปยังใบหน้าที่โศกเศร้าของชายชรา หลินเฟิงทำได้เพียงพยักหน้าอย่างขมขื่น
“ข้า หลินเฟิง จะไม่มีทางตายก่อนที่จะฟื้นฟูนิกายหยุนไห่ขึ้นมาอีกครั้ง!”
“ดี!”
ผู้พิทักษ์เป๋ยยิ้มและแตะไหล่ของหลินเฟิงเบาๆด้วยมือขวาของเขา
“หลินเฟิง มีบางอย่างที่ข้าจะต้องบอกเจ้า”
“ผู้พิทักษ์เป๋ย โปรดบอกข้า”
“ในอดีต พ่อของเฟยเฟย หลิ่วช่างหลานและหนานกงหลิงเป็นศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดในนิกายหยุนไห่และเป็นความหวังของทุกคนในนิกาย ก่อนที่หนานกงหลิงจะขึ้นเป็นประมุขนิกาย เขามีอาจารย์เป็นถึงประมุขคนก่อน อันที่จริงท่านประมุขคนก่อนต้องการให้หลิ่วช่างหลานขึ้นเป็นประมุขนิกาย และท่านยังต้องการยกลูกสาวเพียงคนเดียวให้กับเขาเพื่อแต่งงาน”
“แต่หลังจากนั้น หลิ่วช่างหลานก็ตัดสินใจออกจากนิกายและทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้เบื้องหลังของเขา เขาต้องการให้หนานกงหลิงเป็นประมุขนิกายแต่เขาไม่รู้ว่าลูกสาวของประมุขนิกายคนก่อนได้ตกหลุมรักเขาแล้ว เป็นเพราะนางถูกหลิ่วช่างหลานทิ้ง ทำให้นางรู้สึกตรอมใจเป็นอย่างมาก… ดังนั้นนางจึงฆ่าตัวตาย ประมุขคนก่อนในตอนนั้นเจ็บปวดหัวใจอย่างมากกับการตายของลูกสาว อยู่มาวันหนึ่ง เขาได้ออกจากนิกายและไม่เคยกลับมาอีกเลย ตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือตกตายไปแล้ว”
“จากนั้นไม่นาน หนานกงหลิงก็ขึ้นเป็นประมุขของนิกาย หลิ่วช่างหลานละอายใจในสิ่งที่ทำลงไปทำให้เขาไม่มีหน้ากลับมายังนิกายอีกครั้ง เพื่อเป็นการขอโทษเขาจึงส่งหลิ่วเฟยมาเข้าร่วมนิกายหยุนไห่…. เขาต้องการที่จะขอโทษประมุขคนก่อน, ลูกสาวของประมุขคนก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภรรยาของประมุขคนก่อน นางต้องพบกับความสูญเสียอย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นลูกสาวที่ตายไปหรือสามีของนางที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ดังนั้นนางจึงมีความเกลียดชังและโกรธแค้นหลิ่วช่างหลาน นางกลายเป็นอาจารย์ของเหวินเริ่นเหยียนและต้องการที่จะให้ศิษย์ของนางแต่งงานกับลูกสาวของหลิ่วช่างหลาน, เฟยเฟย นั่นเป็นเหตุผลที่เหวินเริ่นเหยียนกล้าที่หยิ่งยโสแบบไม่ไว้หน้าใครในนิกาย”
เมื่อหลินเฟิงได้ฟังอย่างเงียบ หัวใจของเขาเต้นรัว เขาประหลาดใจและไม่คิดว่านิกายหยุนไห่จะมีความลับเช่นนี้ ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไม่เหวินเริ่นเหยียนถึงได้หยิ่งยโสและกล้าบอกว่าหลิ่วเฟยเป็นของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงชราที่มีท่าทีประหลาดนั่น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาสังสัยได้รับการชี้แจงแล้ว”
“หลินเฟิง เจ้าได้ยินตอนที่ยายแก่นั่นบอกข้าหรือไม่ ว่านางให้อภัยหลิ่วช่างหลานแล้ว? นางยังบอกด้วยว่านางจะไม่คัดค้านหากเจ้าจะแต่งงานกับเฟยเฟย อย่างไรก็ตามนี่คือชิวิตของเจ้า ข้าจะปล่อยให้เจ้าจัดการกับสิ่งต่างๆด้วยตัวของเจ้าเอง” ผู้พิทักษ์เป๋ยพูดอย่างตรงไปตรงมา เขาพูดออกมาจากหัวใจของเขา “
“ผู้พิทักษ์เป๋ย หลิ่วเฟย และข้าไม่ได้มีอะไรระหว่างกัน” หลินเฟิงกล่าวขณะยิ้ม หญิงชรากล่าวเพียงว่าหลินเฟิงเหมาะสมกับหลิ่วเฟยมากกว่าเหวินเริ่นเหยียน นั่นหมายความว่าเขาจะต้องแต่งงานกับหลิ่วเฟยอย่างงั้นหรือ?
“สิ่งที่ยายแก่นั้นพูดเป็นเพียงแค่ข้อเสนอแนะ เจ้าต้องไปบอกกับหลิ่วช่างหลานว่าหลิ่วเฟยยังคงอยู่ภายในนิกาหยุนไห่ สถานะของหลิ่วเฟยทำให้ต้วนเทียนหลางไม่กล้าสังหารนาง…แต่ถ้าหลิ่วช่างหลานไม่มีอำนาจ หรือตกตายไป มันจะทำให้เรื่องนี้แตกต่างออกไป ดังนั้นเจ้าต้องดูแลหลิ่วเฟยให้ดี นอกจากนี้หลิ่วเฟยยังเป็นหญิงสาวที่โดดเด่นมากเช่นกัน พวกเจ้าทั้งสองเป็นคู่รักที่เหมาะสมกันมาก”
“เอาล่ะ พวกเราได้พูดคุยกันมามากพอแล้ว อารามนี้เป็นของเจ้าแล้ว เจ้าจะทำลายหรือจะทำอะไรมันก็เรื่องของเจ้าแล้ว แต่อย่าลืมไปตามหาหลิ่วช่างหลาน”
“ผู้พิทักษ์เป๋ย” หลินเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น น้ำเสียงของผู้พิทักษ์เป๋ยกล่าวออกมาทำให้หลินเฟิงรู้สึกเป็นลางไม่ดี
“ตรงนั้นคือทางออก…มันจะนำพาเจ้าไปสู่ภูเขาวายุทมิฬแต่เจ้าต้องระมัดระวังตัวด้วย แต่ถ้าหากเจ้ายังไม่ต้องการที่จะออกไป แน่นอนเจ้าสามารถฝึกฝนในอารามแห่งนี้ได้ ถ้าหากเจ้าต้องการแข็งแกร่งขึ้นแล้วค่อยออกไป” ผู้พิทักษ์กล่าวขณะที่เขาเกาหูของตัวเอง เมื่อเขาพูดจบ เขาหันหลัง และเดินตรงไปยังทางออก
“ผู้พิทักษ์เป๋ยท่าน……” สีหน้าของหลินเฟิงเปลี่ยนไปอย่างมาก เขาวิ่งตามหลังผู้พิทักษ์เป๋ย และอยากจะตะโกนให้เขาอยู่ที่นี่
“หลินเฟิง ข้าคือผู้พิทักษ์ของนิกายหยุนไห่ ถ้านิกายยังคงดำรงอยู่ข้าก็ยังคงมีชีวิตอยู่ แต่ถ้านิกายถูกทำลาย แล้วข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไรหากข้าไม่ปกป้องนิกาย?!”
เมื่อผู้พิทักษ์เป๋ยพูดจบ ประตูหินขนาดใหญ่ถูกเปิดออกทำให้เกิดเสียงดังก้อง ผู้พิทักษ์เป๋ยไม่ได้หันหลังกลับไปมองหลินเฟิง และทิ้งหลินเฟิงไว้เพียงลำพังภายในอาราม หลินเฟิงทำได้เพียงจ้องมองแผ่นหลังของผู้ทักษ์เป๋ยขณะที่เขากำลังจากไป
หลินเฟิงรู้สึกเจ็บปวดขณะมองแผ่นหลังของผู้พิทักษ์เป๋ยที่กำลังจากไปขณะที่ประตูหินกำลังปิด เงาของผู้พิทักษ์เป๋ยค่อยๆหายไป นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้เห็นผู้พิทักษ์เป๋ย
หลินยืนอยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยวเป็นเวลานาน ขณะที่เขามองไปข้างหน้าอย่างว่างเปล่า ในที่สุดเขาก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง เขาปิดตาลง และหายใจเข้าลึกๆ
“ท่านประมุข, ผู้พิทักษ์เป๋ย, ผู้พิทักษ์คง, หญิงชรา…พวกเขายอมสละชีวิตของตัวเองเพื่อช่วยข้า พวกเขาไม่เกรงกลัวกับสิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญเพื่อปกป้องข้า……”
“พวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่อีกแล้ว…แต่ข้ายังมีชีวิตอยู่….และข้ายังมีเรื่องหลายเรื่องที่ต้องทำ” หลินเฟิงพูดคุยกับตัวเอง ความโศกเศร้าของเขาได้กลายเป็นความมุ่งมั่นด้วยจิตใจที่เข้มแข็งของเขา
เพื่อเปลี่ยนแปลงโชคชะตา หลินเฟิงต้องการให้คนที่มอบชีวิตของพวกเขาให้กับเขา ให้พวกเขาภูมิใจ และจะทำให้ชีวิตของพวกเขาที่สูญเสียไปมันไม่เปล่าประโยชน์
“นิกายห้าวเย่ว,หมู่บ้านหิมะน้ำแข็ง, นิกายโมโซ่ว, ตระกูลต้วน, ห่านเสวี่ยเทียน, เถิงอูซาน, ต้วนเทียนหลาง, ต้วนหาน, ม่อช่างหลาน, เหวินเริ่นเหยียน”
ชื่อพวกนี้ได้ฝังลึกลงไปในความทรงจำของหลินเฟิง เขาจะไม่มีวันลืมชื่อพวกนี้เด็ดขาด สักวันหนึ่งเขาจะชำระแค้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้
หลินเฟิงหันหลัง และเดินตรงไปยังห้องแรก
ภายในห้องมีชั้นวางตำราขนาดใหญ่มันเต็มไปด้วยทักษะการต่อสู้ และเทคนิคการเคลื่อนที่มากมาย มันถูกแบ่งออกเป็นส่วนๆ ส่วนหนึ่งมีแต่เทคนิคการเคลื่อนที่ และอีกส่วนหนึ่งเป็นทักษะการต่อสู้
“ระบำดาบ เทคนิคการเคลื่อนที่ระดับปฐพีขั้นต่ำ มันจะสร้างพลังงานบริสุทธิ์ออกมา และแปลงเปลี่ยนเป็นพลังที่แหลมคมเมื่อผู้ใช้เคลื่อนที่”
หลินเฟิงกำลังมองหาเทคนิคการเคลื่อนที่ แต่มันไม่เหมาะสมกับเขาเลย เทคนิคพวกนี้มันต้องใช้ควบคู่กับจิตวิญญาณแห่งดาบเมื่อใช้เทคนิคการเคลื่อนที่นี้ แน่นอนในตอนนี้หลินเฟิงยังคงอ่อนแอเกินไป เพื่อใช้พลังตามที่เขาต้องการได้ เขาไม่สามารถเรียนรู้ และฝึกฝนเทคนิคการเคลื่อนที่ดังกล่าวได้ หลังจากที่เขาแข็งแกร่งขึ้น และทะลวงผ่านขอบเขตปฐพี เขาจะสามารถควบคุมพลังงานบริสุทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หลินเฟิงวางตำราไว้ที่เดิม และตรวจสอบดูตำราทักษะต่อสู้ 2 เล่ม
“โจมตีฉับพลัน…ทักษะระดับปฐพีขั้นต่ำ ใบมีดจะปรากฏออกมาจากฝ่ามือของผู้ใช้ ใบมีดพวกนี้มันจะเลือนลาง และมีความรวดเร็วมาก ดูเหมือนมันจะเป็นทักษะที่ธรรมดา แต่มันสามารถเจาะเข้าไปในร่างกายของฝ่ายตรงข้ามได้โดยตรง และทำให้เกิดความเสียหายจากภายใน มันเป็นทักษะที่ทรงพลังมาก และยากที่จะสังเกตเห็น
มันดูเหมือนจะเป็นทักษะที่เหมาะสมกับผู้บ่มเพาะพลังผู้หญิง ทักษะนี้มันไม่ดูไม่ค่อยน่าเกรงขาม แต่ถ้าฝ่ายตรงข้ามดูถูกทักษะนี้มากเกินไป พวกมันอาจจะตายในสภาพศพที่น่าสยดสยอง ผู้หญิงสามารถเข้าใกล้ฝ่ายตรงข้ามที่เป็นผู้ชายได้อย่างง่ายดาย และสามารถสังหารฝ่ายตรงข้ามของนางได้โดยไม่มีใครสังเกตเห็นการโจมตี
นอกจากนี้การโจมตีดังกล่าวมันยากที่จะสังเกตเห็น ซึ่งทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถป้องกันได้
หลินเฟิงวางตำราทักษะกลับที่เดิม และมองหาทักษะอื่นๆต่อ
เงาแห่งความตาย… ทักษะระดับปฐพีขั้นต่ำ เหมาะสำหรับคนที่มีจิตวิญญาณมันจะทำให้จิตวิญญาณของผู้ใช้ล่องหน ทักษะนี้แบ่งออกเป็น 3 ส่วน: เงาล่องหน, เงาแห่งความมืด และเงาแห่งความตาย
“นี่มันคล้ายกับทักษะของผู้พิทักษ์คง!” หลินเฟิงคิด เขาตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ดูเหมือนผู้พิทักษ์คงได้เรียนรู้ส่วนแรกของทักษะนี้เท่านั้น และใช้ทักษะนี้รวมกับทักษะอื่นๆ นอกจากนี้มันยังเป็นทักษะที่สมบูรณ์แบบสำหรับเขาผู้ที่มีจิตวิญญาณเงา มันต้องแข็งแกร่งมากแน่ๆ
แต่น่าเสียดายผู้พิทักษ์คงได้ใช้ทักษะเงาทะลวง มิฉะนั้นเขาสามารถหายตัวได้อย่างสมบูรณ์แบบไปแล้ว
ส่วนสุดท้ายของทักษะนี้คือ เงาแห่งความตาย มันเป็นทักษะที่มีประสิทธิภาพมากๆ มันจะทำให้ศัตรูมองไม่เห็นผู้ใช้ทักษะ
“จิตวิญญาณแห่งสวรรค์ยังช่วยให้ข้าปกปิดพลังได้ และหมอกปีศาจยังทำให้ฝ่ายตรงข้ามเห็นภาพหลอน เมื่อรวมกับจิตวิญญาณของข้ากับเงาแห่งความตายมันจะต้องทำให้ข้าสมบูรณ์แบบอย่างแน่นอน”
หลินเฟิงรู้สึกตื่นเต้น ทักษะนี้ผู้ฝึกไม่จำเป็นต้องแข็งแกร่ง ผู้บ่มเพาะพลังทุกขอบเขตสามารถเรียนรู้ และฝึกฝนมันได้ตราบใดถ้าพวกเขาสามารถทำความเข้าความซับซ้อนของทักษะนี้ได้
ทักษะนี้เป็นเพียงทักษะสนับสนุนทักษะอื่นๆ เมื่อใช้ทักษะนี้รวมกับทักษะอื่นๆมันจะทำให้ความสามารถของผู้ใช้เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
หลังจากนั้นหลินเฟิงยังคงมองหาทักษะอื่นๆต่อ แต่เขาไม่พบทักษะใดๆที่เหมาะสมกับเขาเลย จากนั้นเขาจึงนำตำราทักษะทั้งหมดกลับไปวางบนชั้นอย่างเดิม
นอกจากหลินเฟิงแล้ว ผู้พิทักษ์ไม่ได้บอกให้คนอื่นทราบเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ ทักษะพวกนี้ควรจะปลอดภัยหากวางอยู่บนชั้น แต่ถ้าหากหลินเฟิงประสบปัญหา มันจะเป็นการดีกว่าหากมีทักษะพวกนี้อยู่ในมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีฉุกเฉิน ดังนั้นหลินเฟิงจึงเก็บพวกมันเข้าไปในหินมิติ
หลังจากนั้นหลินเฟิงเดินไปยังห้องที่เก็บอาวุธวิญญาณ และเก็บอาวุธพวกนั้นเขาไปในหินมิติของเขา
ภายในอารามแห่งนี้มีหินบริสุทธิ์จำนวนมากมาย หลินเฟิงก็เก็บหินบริสุทธิ์พวกนี้เข้าไปในหินมิติของเขาเช่นกัน
หินบริสุทธิ์พวกนี้มันบรรจุพลังปราณบริสุทธิ์ไว้จำนวนมาก ผู้บ่มเพาะที่มีมันไว้ครอบครองสามารถทำให้พวกเขาบรรลุไปยังขอบเขตจิตวิญญาณได้ และใช้พวกมันเพื่อเพิ่มระดับการบ่มเพาะพลังของพวกเขาได้ มันเป็นของที่มีค่ามาก
แล้วหลินเฟิงจะไม่เก็บของมีค่าแบบนี้เข้าไปในหินมิติของเขาได้อย่างไร?
หลินเฟิงเดินไปรอบๆภายในอารามที่กว้างใหญ่แห่งนี้ เขาเดินวนไป 2-3 รอบและสังเกตเห็นว่าเสาที่ตั้งอยู่หัวมุม และท้ายมุมของอารามทั้งสองต้น มันมีสัตว์อสูรที่ถูกแกะสลักอยู่บนเสาเหมือนกัน
เพียงแค่มองภาพของสัตว์อสูรพวกนั้น หลินเฟิงสามารถรู้สึกได้ถึงพลังปราณอันแข็งแกร่งและทรงพลัง มันจะต้องเป็นสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งระดับปฐพีอย่างแน่นอน
แต่หลินเฟิงกับสนใจเรื่องอื่นมากกว่า มันมีประตูสีเขียวที่ทำจากหยกและมีพลังปราณหนาแน่นอยู่รอบๆ หลินเฟิงพยายามที่จะเปิดมันแต่ก็ไร้ประโยชน์ ไม่ว่าเขาจะใส่พลังไปมากแค่ไหนแต่มันก็ยังคงไม่ขยับ นอกจากนี้ดูเหมือนจะไม่มีกลไกอะไรซ่อนอยู่เพื่อเปิดประตู
“ความลับที่อยู่ด้านหลังประตูนั้นคืออะไรกันแน่? บางทีคนที่สร้างอารามแห่งนี้ได้ทิ้งเบาะแสไว้เบื้องหลังประตูบานนี้ แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถเปิดมันได้”
หลินเฟิงขมวดคิ้ว ผู้พิทักษ์เป๋ยไม่ได้เปิดประตูบานนี้ให้เขา บางทีอาจจะไม่เคยมีผู้พิทักษ์ของนิกายหยุนไห่คนใดเปิดประตูบานนี้ได้มาก่อน
“ไม่เป็นไร ถ้าข้ามีโอกาส และแข็งแกร่งขึ้น ข้าจะกลับมาเพื่อลองเปิดอีกครั้ง”
หลินเฟิงกล่าวคำพูดไม่กี่คำขณะตัดใจที่จะเปิดมัน ในประวัติศาสตร์ของนิกายหยุนไห่ย้อนไปเมื่อ 1000 ปีที่แล้ว ไม่มีใครเคยเปิดประตูหยกบานนี้ได้ เห็นได้ชัดมันเป็นเรื่องที่ยากมากๆที่จะเปิดมัน และมีแต่จะเสียเวลาไปอย่างไร้ประโยชน์เพื่อที่จะพยายามเปิดมัน
วันนี้ สิ่งสำคัญที่สุดของหลินเฟิงคือต้องแข็งแกร่งขึ้น แข็งแกร่งพอที่จะป้องกันตัวเอง และแข็งแกร่งพอที่จะปกป้องคนใกล้ชิด
หลินเฟิงได้บรรลุขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 2 แล้ว อายุเท่าเขาหาได้ยากมากผู้ที่จะบรรลุขั้นที่ 2 แต่ถ้าเขาเผชิญหน้ากับผู้บ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่งเขาอาจจะตกอยู่ในสถานการ์ที่ยากลำบาก แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาเพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้น……