ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
บนถนนขนาดใหญ่ล้อมรอบไปด้วยทุ่งรกร้างปรากฏ 2 เงาอยู่บนหลังม้า หนึ่งเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาและหนึ่งเด็กสาวผู้งดงาม พวกเขาคือหลินเฟิงและเมิ่งฉิงที่ควบม้าตัวเดียวกันมุ่งสู่เมืองจักรพรรดิ
หลินเฟิงควบม้าอย่างรวดเร็ว ผมที่ปลิวไสวและผ้าคลุมที่ต้านกับแรงลมให้ทำเกิดเสียงที่ราวกับธงที่ถูกลมพัด หลินเฟิงในตอนนี้ดูสง่างามอย่างมาก
สิ่งที่แย่ก็คือหลินเฟิงเกือบจะหล่นจากหลังม้าเพราะแรงลม เขายืนอยู่บนหลังม้าด้านหลังของเมิ่งฉิง อย่างไรก็ตามสิ่งที่ปลอบโยนเขาก็คือเขาสามารถนำมือไปวางไว้บนบ่าของเมิ่งฉิงได้เพื่อที่จะทำให้ตัวเองมั่นคง
“ถ้าข้ายังไม่ได้ทะลวงสู่ขอบเขตจิตวิญญาณและอ่อนแอเหมือนก่อนหน้านี้ ข้าคงจะตกจากม้าไปนานแล้ว”
แม้ว่าเมิ่งฉิงจะไม่เคยเห็นอะไรภายนอกหุบเขาวายุทมิฬและนางก็ไม่ค่อยรู้จักโลกภายนอกมากนัก แต่นางก็ไม่ยอมให้ผู้อื่นเห็นความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของนาง นางฉลาดมากและยังมีความสามารถในการรับรู้ที่น่าอัศจรรย์
ในตอนนั้น เมิ่งฉิงหันหัวกลับไปและจ้องมองไปที่หลินเฟิง นางสังเกตเห็นว่าเขากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากและก็ยิ้มให้กับเขา
แม้ว่ามันจะเป็นรอยยิ้มเพียงเล็กน้อยแต่มันราวกับว่าไม่มีอะไรในโลกที่จะงดงามเท่ากับมันอีกแล้ว รอยยิ้มของเมิ่งฉิงทำให้ทุกอย่างดูสดใส
“นี่มันน่ากลัวเกินไป โลกนี้ช่างโหดร้าย” หลินเฟิงคิด เขาไม่อาจเชื่อได้ว่าเมิ่งฉิงจะงดงามขนาดนี้ เมื่อเขามองไปที่นางมันราวกับว่าเวลาถูกหยุดไว้
“เจ้าอยากจะนั่งไหม?” เมิ่งฉิงถามอย่างไม่แยแสราวกับไม่มีผลกระทบอะไรกับนาง
“อืม” หลินเฟิงพยักหน้า เขาเป็นชายที่ซื่อสัตว์และตรงไปตรงมา
แต่อย่างไรก็ตาม โลกในนี้ยังเต็มไปด้วยผู้ที่มีเจตนาร้าย สิ่งที่สำคัญคือจงอย่าได้ไร้เดียงสาและไม่แสดงจุดอ่อนออกมาให้ใครเห็นง่ายๆ
หลินเฟิงมีความซื่อสัตย์และเรียบง่ายนั่นเป็นเหตุผลที่เขาเกลียดผู้ที่ชั่วร้ายและไร้ความปรานี
“อธิบายให้ข้าฟังหน่อยว่าโลภภายนอกเป็นอย่างไร ถ้าเจ้าทำให้หัวใจของข้าสั่นไหวได้ ข้าอาจจะรับไว้พิจารณา” เมิ่งฉิงจ้องมองหลินเฟิงอย่างคาดหวัง หลินเฟิงกลายเป็นโง่งมและอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
“โลกภายนอก?”
หลินเฟิงรู้ดีถึงความโหดร้ายของโลกใบนี้ แต่ในตอนนั้นเองหลินเฟิงก็กล่าวบางอย่างออกมา “ให้ข้าบอกเจ้าเกี่ยวกับครอบครัวของข้าแทน”
“ก็ได้” เมิ่งฉิงพยักหน้า
“ในตระกูลของข้า มีสัตย์อสูรที่ดุร้ายซึ่งมีอายุนับพันปี มันมีพลังเวทและยังแข็งแกร่งอีกมาก นามของมันคือ ไป๋ซูเจิน”
เสียงของหลินเฟิงดูจริงจังมาก เขาจำเรื่องที่เคยอ่านจากชีวิตที่แล้วได้ มันเป็นเรื่องราวความรักของเหลียงซานโป๋และจู่อิงไถ พวกเขาตกหลุมรักกันและกันแต่เพราะเหตุการณ์บางอย่างทำให้พวกเขาต้องพลัดพรากจากกัน ความตายได้เปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นผีเสื้อเพื่อให้พวกเขาไม่ต้องแยกจากกันอีก หลินเฟิงพยายามใช้เรื่องราวเหล่านี้สื่ออารมณ์และความรู้สึกให้มากยิ่งขึ้น
เมิ่งฉิงกลายเป็นหลงใหลในเรื่องราวของหลินเฟิง นางไม่ได้สนใจว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ หลินเฟิงนั่งอยู่ด้านหลังและใช้มือโอบรัดเอวของนางไว้ ร่างกายของพวกเขาใกล้ชิดกันอย่างมาก
“เอาล่ะ” เมื่อหลินเฟิงเล่าเสร็จเขาก็ดึงบังเหียนเพื่อหยุดม้า
ทันใดนั้น เมิ่งฉิงก็หันหัวไปข้างหลัง หน้าของนางและหลินเฟิงห่างกันไม่ถึง 1 ซม. ด้วยซ้ำ
เมื่อหลินเฟิงเห็นใบหน้าของเมิ่งฉิงอย่างใกล้ชิดทำให้หัวใจของเขาเต้นระรัว ตอนนี้สิ่งที่เขาอยากทำที่สุดก็คือการจูบนาง นางเป็นหญิงสาวที่งดงามและทรงเสน่ห์
“ดูเหมือนว่าหัวใจของข้ายังคงอ่อนแอยิ่งนัก ฮ่าๆ” หลินเฟิงคิด เมื่ออยู่ใกล้กับเมิ่งฉิงขนาดนี้เขาไม่สามารถที่จะใจเย็นอยู่ได้ หัวใจของเขาราวกับน้ำแข็งที่กำลังหลอมละลาย
หลินเฟิงเป็นผู้บ่มเพาะพลังที่มีความมุ่งมั่นและมีเป้าหมายของตัวเอง ในโลกแบบนี้ คนแบบเมิ่งฉิงนั้นหายาก นางยังคงเฉยเมยอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหน เฉพาะผู้บ่มเพาะพลังที่ชาญฉลาดเท่านั้นที่จะสามารถบรรลุการควบคุมตัวเองในระดับสูงได้ แม้แต่หลินเฟิงเองก็ยังไปไม่ถึงขั้นนั้น เขาไม่ได้ใกล้เคียงเมิ่งฉิงเลยแม้แต่น้อย
เมิ่งฉิงดูแปลกใจและถาม “เรื่องของเจ้าจบแล้ว?”
“ใช่” หลินเฟิงพยักหน้า
“เมื่อเจ้าเล่าเสร็จแล้ว ทำไมเจ้าถึงยังนั่งอยู่ล่ะ? ข้าไม่ได้อนุญาตเสียหน่อย” เมิ่งฉิงกล่าวอย่างไม่เห็นในแต่ดวงตาของนางก็ยังแฝงไว้ด้วยความซุกซน
“เอิ่มม….” หลินเฟิงตกใจและกล่าว “เอาล่ะ ข้าจะเล่าต่อ”
“ฮึมม…” เมิ่งฉิงฮัมเพลงโดยไม่ได้กล่าวอะไรเพิ่ม
“………….”
ปากของหลินเฟิงเปิดกว้างแต่เขาถึงกลับพูดไม่ออก ทำไมนางถึงได้ร้ายกาจเช่นนี้? ถ้าเขาไม่เล่าเรื่องให้นางฟัง เขาจะไม่สามารถนั่งแบบนี้ได้…. แล้วเมื่อไหร่เขาจะได้หยุดเล่าล่ะ?
“กร็อบ กร็อบ กร็อบ”
ทันใดนั้นพื้นดินก็สั่นไหว
หลินเฟิงจ้องมองไปยังระยะไกลและเห็นฝุ่นคลุ้งกระจายไปทั่ว มันคือเสียงของม้าและกำลังดังขึ้นเรื่อยๆ
ไม่นานจากนั้น มีม้าหุ้มเกราะปรากฏตัวขึ้นด้านหน้าของพวกเขา
เมิ่งฉิงบังคับม้าให้หลบ ในตอนนั้นเหล่าม้าหุ้มเกราะก็ผ่านพวกเขาไป ผู้นำของกลุ่มมองหลินเฟิงเป็นครั้งที่ 2 และควบม้าหุ้มเกราะวิ่งต่อไป
หลินเฟิงรู้สึกประหลาดใจ คนเหล่านี้ดูน่ากลัวอย่างมาก แม้ว่าพวกเขาจะควบม้าอยู่บนพื้นถนนแต่พวกเขาก็เป็นระเบียบอย่างมาก
ออร่าที่แข็งแกร่งปรากฏอยู่บนร่างกายของพวกเขา หลินเฟิงรับรู้ถึงกลิ่นอายและความแข็งแกร่งของพวกเขา
อย่างไรก็ตามเสื้อผ้าหน้าผมของพวกเขาดูแย่อย่างมาก มันเหมือนกับเหล่าโจรที่หลินเฟิงสังหารก่อนหน้านี้
“เป็นไปได้อย่างไรที่คนเหล่านี้ดูเหมือนกับโจรที่เจ้าสังหารไป?” เมิ่งฉิงเองก็ประหลาดใจและเอ่ยปากถามหลินเฟิง
นางหันไปถามและเห็นว่าหลินเฟิงเองก็สับสนเหมือนกับนาง
ไม่นานนัก ดูเหมือนว่าหลินเฟิงจะเข้าใจบางอย่าง
“พวกมันเป็นพวกเดียวกัน!”
หลินเฟิงกล่าวอย่างตื่นตระหนก “เมิ่งฉิง กลับไป เร็วเข้า!”
ปราศจากความลังเล พวกเขารีบหันหลังและวิ่งกลับไปยังทิศทางที่พวกเขามา
…………
ขบวนรถม้าของต้วนเฟิงเคลื่อนตัวด้วยความเร็วเต็มกำลัง เมืองจักรพรรดิอยู่ห่างจากเมืองอาทิตย์เมฆาอย่างมาก พวกเขาจะต้องใช้เวลามากในการเดินทาง
“โอ้ว โอ้ว!”
ในตอนนั้นเอง ลุงหวังก็หยุดรถม้าในทันที
แม้ว่าลุงหวังจะอ่อนแอมาก แต่เขาก็ยังได้รับความเคารพจากตระกูลหวังเพราะเขาอยู่ใกล้ชิดกับปู่ของต้วนเฟิง หลังจากที่พ่อของต้วนเฟิงตาย ลุงหวังก็ได้รับมอบหมายให้เป็นคนจัดการสิ่งต่างๆในตระกูล สถานะของเขาในตระกูลสูงส่งอย่างมาก
นั่นคือเหตุผลที่ลุงหวังกล้าที่จะขับไล่หลินเฟิงออกไปแม้ว่าจะเป็นการขัดใจต้วนเฟิง อย่างไรก็ตามนอกจากต้วนเฟิงและจิ้งยวิ๋น ทุกคนยินดีที่เห็นหลินเฟิงจากไป
ในตอนนั้นเอง ลุงหวังสังเกตเห็นฝุ่นสีเหลืองตรงปลายเส้นขอบฟ้าและสังเกตว่าพื้นดินเริ่มสั่นไหว
จากนั้นไม่นาน มีกลุ่มชายฉกรรจ์ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าพวกเขาซึ่งสร้างความหวาดกลัวอย่างมาก
กลุ่มโจร…..
มันราวกับว่าการเดินทางครั้งนี้ของพวกเขาต้องเผชิญกับโชคร้ายอย่างมาก
“หวังว่าโจรเหล่านี้จะไม่แข็งแกร่งเท่าพวกก่อนหน้านี้”
พวกเขาได้แต่หวังว่าโจรกลุ่มนี้จะไม่แข็งแกร่งเท่ากลุ่มโจรที่ถูกหลินเฟิงสังหารไปก่อนหน้านี้ พวกมันแข็งแกร่งอย่างมากและผู้นำกลุ่มก็ยังเป็นถึงผู้บ่มเพาะพลังขอบเขตจิตวิญญาณ ถ้าหลินเฟิงไม่ได้อยู่ที่นั่น พวกเขาคงจะถูกฆ่าตายไปแล้ว
พวกเขากำลังคิดเกี่ยวกับหลินเฟิง ลุงหวังได้กล่าวหาว่าหลินเฟิงเป็นสายลับของต้วนเทียนหลาง แต่ตอนนี้หลินเฟิงไม่ได้อยู่ที่นี่อีกแล้วและกลุ่มโจรก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง พวกเขาทั้งหมดสับสนและสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
แต่สิ่งที่แน่ใจได้ก็คือพวกเขาปรารถนาที่จะให้หลินเฟิงอยู่ที่นี่ ลุงหวังคิดว่าหลินเฟิงเป็นสายลับเพราะว่าเขาได้รับความไว้วางใจจากต้วนเฟิงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้พวกเขายังไม่รู้ว่าเป้าหมายของกลุ่มโจรคืออะไร
ผู้นำของกลุ่มโจรนำกริชยาวที่มีแสงแพรวพราวออกมา
“ฆ่าพวกมันให้หมด อย่าปล่อยให้ใครรอดไปได้” ผู้นำกลุ่มกล่าวอย่างเย็นชา ร่างกายของกลุ่มโจรปลดปล่อยปราณที่แข็งแกร่งออกมา
“ตู้มมม”
พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง กริชในมือของกลุ่มโจรสิ่งเสียงคำรามออกมา และปลดปล่อยปราณไปที่รถม้าเพื่อสะกดมันไว้
“ปกป้องนายน้อย!” ลุงหวังตะโกนออกมา เหล่าผู้คุ้มกันต่างเดินมาอยู่หน้าเขาและปลดปล่อยจิตวิญญาณออกมา
“ตาย!” หนึ่งในกลุ่มโจรกวัดแกว่งกริชยาวในอากาศ ทันใดนั้นก็มีเลือดสาดกระเซ็นไปทั่วและมีศีรษะบินขึ้นไปในอากาศ
ฉากที่โหดร้ายดังกล่าวราวกับเวลาถูกหยุดเอาไว้ ทันใดนั้น เหมือนกับเวลาผ่านไปอย่างช้าๆและรอบข้างกลายเป็นเงียบงัน มีเลือดเคลือบอยู่ที่ปลายกริช
ศีรษะของผู้คุ้มกันถูกตัดออก ยังมีโจรอีกนับสิบที่จ้องมองพวกเขาด้วยสายตาที่ชั่วร้าย
บางคนหนีไปเพราะความหวาดกลัว บางคนตื่นตระหนก หัวใจของพวกเขาเกือบจะเต้นออกมาด้านนอกร่างกาย พวกเขาแทบจะหายใจไม่ออกภายใต้แรงกดดันที่รุนแรงของกลุ่มโจร นี่มันราวกับจุดจบ พวกเขาทั้งหมดกำลังจะตาย
เป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจจะต้องตายในสภาพเดียวกัน จะต้องถูกตัดศีรษะและทิ้งศพไว้ให้เน่าเปื่อย
“หลินเฟิง เจ้าอยู่ไหน?!”
ทุกคนต้องการให้หลินเฟิงกลับมาช่วยพวกเขา พวกเขาจดจำได้ดีถึงวิธีการที่หลินเฟิงสังหารกลุ่มโจรอย่างง่ายดาย
แต่ที่น่าเสียดาย ในตอนที่ลุงหวังขับไล่หลินเฟิง ไม่มีแม้แต่คนเดียวนอกจากต้วนเฟิงและจิ้งยวิ๋นที่จะออกตัวเพื่อปกป้องเขา พวกเขาทั้งหมดยินดีที่เห็นหลินเฟิงจากไป แต่ตอนนี้พวกเขาต้องกลับมาเสียใจภายหลัง…