ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
ถ้าหลินไห่มีรอยประทับตราประตูผนึกที่ระหว่างคิ้วของเขา นั่นหมายความว่าพ่อของหลินเฟิงมีความขัดแย้งกับสมาชิกตระกูลต้วน
ก่อนที่จะออกจากเมืองหยางโจว หลินไห่ได้บอกกับหลินเฟิงว่าเขากำลังไปที่………..เมืองจักรพรรดิ
ความทรงจำของหลินเฟิงยุ่งเหยิงเล็กน้อย แต่เขาจำได้ว่าพ่อของเขาเกลียดสมาชิกของตระกูลต้วน บางทีพ่อของหลินเฟิงอาจไม่ได้เดินทางไปยังเมืองจักรพรรดิเพื่อพักผ่อน อาจเป็นไปได้ว่าเขากำลังไปเพื่อยุติความขัดแย้ง
“หรือว่าท่านพ่อกำลังเดินเข้าไปหาเรื่องอัตรายเพื่อข้า? ตอนนี้ข้ากำลังเดินทางไปยังเมืองจักรพรรดิ และข้าจะตามหาท่านแน่นอน” หลินเฟิงไม่รู้ว่าทำไมพ่อของเขาถึงมีความขัดแย้งกับตระกูลต้วน ถ้าหลินเฟิงเจอพ่อของเขา เขาจะพยายามทำความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตระหว่างพ่อของเขา และตระกูลต้วน
ทันใดนั้นจู่ๆหลินเฟิงก็นึกขึ้นมาได้ว่าพ่อของเขาไม่เคยบอกเรื่องเกี่ยวกับแม่ของเขาเลย ทำให้หลินเฟิงรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่แปลกมาก
“หลินเฟิง” เมิงฉิ่งมองหลินเฟิง และเห็นหลินเฟิงมีท่าทีแปลกๆ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้นางเรียกเขา หลินเฟิงได้คิดฟุ้งซ่าน แต่ในขณะนั้นเขาได้ดึงสติกลับมา ความคิดของหลินเฟิงเต็มไปด้วยคำถาม และความเป็นไปได้ หลินเฟิงรู้สึกตกใจที่เมิงฉิ่งเรียกเขา และกล่าวว่า: “เอาล่ะ ต้วนเฟิง พวกเราจะเดินทางไปถึงเมืองจักรพรรดิเมื่อไหร่?”
“ถ้าพวกเราเดินทางด้วยความเร็วเท่านี้ และไม่พบอุปสรรคใดๆ อย่างน้อยน่าจะ 5-6 วัน”
“ข้าจะเป็นขับรถม้าเองเพื่อให้จิ้งยวิ๋นได้พักผ่อนสักหน่อย ด้วยวิธีนี้มันน่าจะทำเวลาได้เร็วขึ้น” หลินเฟิงกล่าว ถึงแม้ว่าต้วนเฟิงจะไม่รู้ว่าจริงๆแล้วหลินเฟิงต้องการพูดอะไร แต่เขาก็ยังคงพยักหน้า เขาสังสัยว่าทำไมหลินเฟิงถึงทำตัวแปลกๆหลังจากที่เขาได้เห็นประตูปิดผนึก
แต่หลินเฟิงไม่ได้บอกต้วนเฟิงว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในหัว และต้วนเฟิงก็ไม่ต้องการที่จะถามเขา
ต้วนเฟิงกล่าวได้ถูกต้อง แม้ว่าจะเดินทั้งวันทั้งคืนด้วยความเร็วสูงสุด พวกเขาจะต้องใช้เวลา อย่างน้อย 5 วัน ถึง 6 วันไปยังเมืองจักรพรรดิ
นอกจากนี้พวกเขายังเดินทางไปยังเมืองจักรพรรดิโดยใช้เส้นทางอื่น ทำให้พวกเขาไม่เจออุปสรรคใดๆ บางทีอาจจะเป็นเพราะไม่มีใครรู้ตำแหน่งของต้วนเฟิงเลยทำให้การเดินทางของพวกเขาไม่ถูกซุ่มโจมตี
เมืองจักรพรรดิกว้างใหญ่ไพศาลมาก แต่เส้นทางที่จะพาไปยังเมืองนั้นไม่ได้มีมากมายนัก อันที่จริงเมืองทั้งเมืองถูกล้อมรอบไปด้วยกำแพงขนาดใหญ่และมีเพียงประตูทางเข้าเดียวเท่านั้นที่จะเข้าไปสู่ข้างในได้
ประตูทางเข้านั้นเป็นประตูที่มีขนาดใหญ่และตระหง่านตามาก มันทำมาจากวัสดุที่มีค่าและมีความทนทานอย่างไม่น่าเชื่อ นอกจากนี้ประตูยังมีความกว้างและความสูงหลายร้อยเมตร ด้านบนของประตูมีพลทหารถือหอกหลายคนยืนอยู่
เมืองจักรพรรดิถูกรายล้อมไปด้วยคูน้ำขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยน้ำ และมีเพียงประตูเดียวเท่านั้น หลังจากที่ข้ามสะพานหินขนาดใหญ่แล้ว นี่เป็นวิธีเดียวในการเข้าไปยังเมือง
แต่อย่างไรก็ตามประตูทางเข้าเมืองจักรพรรดิมีการป้องกันที่หนาแน่นมาก ระหว่างวันมันจะเปิดเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
คนเดินเท้าไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้มากนัก เพราะนอกเมืองจักรพรรดิมีเมืองขนาดใหญ่ตั้งอยู่แต่ไม่ใหญ่เท่าเมืองจักรพรรดิ แต่ยังคงมีผู้คนนับล้านอาศัยและค่อนข้างมีชื่อเสียง
ในขณะนั้น รถม้าของพวกเขาได้มาถึงด้านนอกเมืองจักรพรรดิแล้ว หลินเฟิงเป็นคนขับรถม้า พวกเขามาเมืองนี้ก่อนที่จะไปยังเมืองจักรพรรดิเป็นเมืองถัดไป ในเมืองนี้มีร้านค้าและร้านอาหารมากมาย เมืองนี้เป็นเมืองที่มีชีวิตชีวาอย่างไม่น่าเชื่อ หลินเฟิงคิดว่าเมืองนี้มันมีบรรยากาศที่ดีกว่าเมืองหยางโจวมากนัก
“คนเยอะจริงๆ!” เมิงฉิ่งกล่าวขณะเปิดม่านในรถม้า และมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง
“พวกเรายังไม่ได้อยู่ในเมืองจักรพรรดิ นี่เป็นแค่ชานเมืองเท่านั้น นอกจากนี้เมืองแห่งนี้นั้นอยู่ใกล้เมืองจักรพรรดิ ดังนั้นมันเลยมีผู้คนมากมาย” หลินเฟิงกล่าวขณะหัวเราะอยู่ด้านนอก หลินเฟิงมั่นใจว่าที่มีผู้คนมากมายขนาดนี้เป็นเพราะพวกเขาหลายคนหวังว่าตัวเองจะถูกเลือกให้ฝึกฝนในลานศักดิ์สิทธิ์แห่งหิมะจันทรา
สำหรับพลเมืองอาณาจักรหิมะจันทรา การสร้างลานศักดิ์สิทธิ์แห่งหิมะจันทราถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของอาณาจักร มันกำลังจะเปลี่ยนชีวิตและโชคชะตาของคนหลายพันคน
“เมิงฉิ่ง เจ้าต้องเหนื่อยแน่ๆหลังจากเดินทางไกล ประตูมันยังไม่เปิด พวกเราควรจะพักสักหน่อยและหาอะไรกินกัน”
หลินเฟิงหยุดรถม้าใกล้ๆร้านอาหาร ต้วนเฟิงและจิ้งยวิ๋นออกมาจากรถ และทั้ง 4 คนก็เข้าไปในร้านอาหาร ตรงกลางของร้านอาหารมีต้นไม้ขนาดใหญ่อยู่ มันเติบโตถึงหลังคาของร้าน และมีหลุมอยู่ตรงกลางร้านอาหารเพื่อให้ลูกค้าสามารถมองเห็นชั้นแรกได้ ร้านแห่งนี้มันเต็มไปด้วยผู้คน และมีผู้คนหลายคนกำลังดื่มน้ำชาหรือไม่ก็ไวน์อยู่
พวกเขามุ่งหน้าไปที่บันไดไม้ทันที และเดินขึ้นไปยังชั้นแรกเพราะร้านอาหารแห่งนี้มันแออัดมาก สิ่งที่หลินเฟิงประหลาดใจคือแม้ว่าร้านอาหารแห่งนี้จะเต็มไปด้วยผู้คนแต่มันก็สงบมาก ถึงมันจะมีผู้คนมากมายแต่พวกเขาไม่ได้พูดเสียงดังจนเกินไป ทำให้สามารถได้ยินเสียงดนตรีที่กำลังเล่นอยู่ชั้นแรกได้
“ช่างเป็นร้านอาหารที่สงบอะไรเช่นนี้ ไม่แปลกใจเลยถ้ามันจะมีชื่อเสียง” หลินเฟิงกระซิบ ถึงแม้ว่าร้านอาหารแห่งนี้จะไม่หรูหราแต่มันก็ยังคงดูสง่างามและประณีต การตกแต่งภายในยังดูดีทำให้ลูกค้าผู้ที่ดื่มชาหรือไวน์ได้บรรยากาศ
“พี่ใหญ่หลินเฟิง ตรงโน้นมีโต๊ะว่าง พวกเราช่างโชคดีอะไรเช่นนี้”
ต้วนเฟิงสังเกตเห็นโต๊ะใกล้หน้าต่าง จากนั้นทั้งสี่คนก็เดินไปและนั่งโต๊ะนั้น
“ยินดีต้อนรับ มีอะไรที่ข้าพอจะช่วยพวกท่านได้ไหม?” พนักงานเสิร์ฟเดินเข้ามาถามขณะยิ้มให้ทั้งสี่คน
“พวกข้าเอาไวน์องุ่นคุณภาพดีเยี่ยม และชาคุณภาพดีเยี่ยม และก็ผักดอง” หลินเฟิงสั่ง ในโลกที่แล้วเขาไม่ได้ลิ้มรสอาหารและเครื่องดื่มคุณภาพดี แต่ในตอนนี้เขามีโอกาสที่จะลองมัน
“กรุณารอสักครู่” พนักงานเสิร์ฟกล่าวและจากไป
หลินเฟิงกำลังฟังคนอื่นสนทนา ถึงแม้ว่าพวกเขาเกือบจะกระซิบพูดคุยกันก็ตาม แต่หลินเฟิงอยู่ขอบเขตจิตวิญญาณ ทำให้ประสาทการได้ยินของเขาพัฒนาขึ้นมาก และโดยทั่วไปแล้วจะไม่มีใครเปิดเผยความลับในที่สาธารณะเช่นนี้
ดูเหมือนทุกคนกำลังพูดถึงเรื่องเดียวกัน: ลานศักดิ์สิทธิ์แห่งหิมะจันทรา นอกจากนี้หลินเฟิงยังได้ยินบางคนพูดถึงองค์รัชทายาท และองค์ชายลำดับที่สอง
“พี่หานท่านกำลังบอกว่านิกายหยุนไห่นั้นถูกกวาดล้างแล้วงั้นรึ? แล้วใครจะได้ประโยชน์จากการทำลายนิกายหยุนไห่กัน?”
ในขณะนั้น บทสนทนานี้ทำให้หลินเฟิงสนใจ น่าแปลกใจที่มีใครบางคนกำลังพูดถึงนิกายหยุนไห่อยู่
“อืม นิกายหยุนไห่และนิกายห้าวเย่วไม่ค่อยลงรอยกัน มันเป็นเช่นนั้นมานานหลายปีแล้ว นิกายหยุนไห่ถูกทำลายไปจึงเป็นเรื่องดีสำหรับสมาชิกนิกายห้าวเย่ว หมู่บ้านน้ำแข็งหิมะ ซึ่งศิษย์ทุกคนล้วนมีจิตวิญญาณหิมะหรือน้ำแข็ง เช่นเดียวกับนิกายวั่นโซ่ว ศิษย์ของพวกเขาทุกคนล้วนมีจิตวิญญาณสัตว์อสูร พวกเขาได้รับประโยชน์จากการที่นิกายหยุนไห่ถูกทำลายเพราะพวกเขาจะมีอิทธิพลมากขึ้น และทำให้ดึงดูดศิษย์ได้มากขึ้น นอกจากนี้นิกายห้าวเย่วในตอนนี้พวกเขาสามารถเรียกตัวเองว่าเป็นนิกายที่แข็งแกร่งที่สุดได้”
“ฮ่าๆ พี่หาน ท่านพูดถูก ดังนั้นต้วนเทียนหลางถึงได้ไปทำลายนิกายหยุนไห่ด้วยตัวเอง…นั่นคือราคาที่ต้องจ่ายสำหรับคนที่ปฏิเสธส่งศิษย์โดดเด่นไปยังลานศักดิ์สิทธิ์แห่งหิมะจันทรา ต้วนเทียนหลางแข็งแกร่งจริงๆ”
คนเหล่านี้น้ำเสียงของพวกเขาดูภาคภูมิใจและหยิ่งยโส พวกเขาดูเหมือนจะมีความสุขและตื่นเต้นเรื่องที่นิกายหยุนไห่ได้ถูกทำลาย นอกจากนี้พวกเขาได้พูดคุยกันเสียงดังมาก
ในขณะนั้น มีหลายคนหยุดพูดและเริ่มจ้องมองไปที่พวกเขา ทั้งสองหัวเราะเสียงดังขณะพูดคุยแต่เมื่อพวกเขาสังเกตเห็นว่าผู้คนส่วนใหญ่กำลังจ้องมองพวกเขาอยู่ ดังนั้นพวกเขาจึงหยุด
“ไร้สาระ” เสียงดังไปทั่วร้านอาหาร ทันใดนั้นทุกคนหันหลังกลับและเริ่มจ้องมองไปที่ผู้คนที่อยู่ตรงบันได และปรากฏร่างเงา 3 ร่าง 1 ในพวกเขาเป็นสตรี นางดูงดงามเป็นอย่างมาก และเสื้อผ้าของนางก็ดูหรูหรามากเช่นกัน นอกจากนี้นางยังมีอัญมณีมากมายที่ทำจากอัญมณีล้ำค่าประดับไปทั่วร่างกายของนาง ขณะที่นางกำลังใส่ชุดจีนอยู่ และถือไม้เท้าสีดำอยู่ในมือ
ด้านหลังของนางมีผู้ชาย 2 คนพวกเขาดูนิ่งมาก
“พวกเจ้าก็เป็นเพียงแค่กับอยู่ในกะลา…ที่ไม่เคยเห็นโลกกว้าง… และยังคิดว่าสามารถล่วงรู้ได้ทั้งอดีตและอนาคต ช่างไร้สาระจริงๆ”
ทุกๆคนต่างประหลาดที่ผู้หญิงคนนี้พูดเสียงดังมาก นางตะโกนว่า: “คนหนุ่มสาวนี่ช่างไม่เข้าใจอะไรเลย และไม่ว่าอะไรควรพูดและอะไรไม่ควรพูด แล้วพวกเขาก็ไม่เคยต้องการรับผลของการกระทำของพวกตัวเอง และไม่ต้องการโทษตัวเองเพราะความผิดพลาด”
“ตบหน้าซะ” ผู้หญิงคนนั้นกล่าว ทันใดนั้นได้ปรากฏภาพลวงตาขึ้นที่ด้านหลังของนาง และตบเจ้าของเสียงที่พูดแย้งกับนาง ทำให้มีเลือดไหลออกมาจากมุมปากของพวก
“ต้วนเทียนหลางก็แค่ทำลายนิกายหยุนไห่เท่านั้น ส่วนนิกายใหญ่อื่นๆได้เอาทักษะที่นิกายหยุนไห่มีทั้งหมดไป ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ผู้คนจำนวนมากได้รับทักษะและเทคนิคที่ยอดเยี่ยมแล้ว มันยังช่วยให้นิกายอื่นมีอิทธิพลมากขึ้น นอกจากนี้มันยังเป็นเรื่องสำหรับทุกคนที่นิกายหยุนไห่ไม่ได้มีอำนาจอีกต่อไปในอาณาจักร ผู้ที่ได้รับเลือกให้ไปที่ลานศักดิ์สิทธิ์แห่งหิมะจันทรายังสามารถใช้ทักษะและเทคนิคที่ได้รับจากนิกายหยุนไห่ได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังมีอดีตศิษย์ของนิกายหยุนไห่บางคนได้ทรยศนิกายตัวเอง และยังคงใช้ทักษะและเทคนิคพวกนี้อยู่ และไม่มีพวกเขาคนใดสนใจเรื่องนิกายหยุนไห่”
หญิงสาวกำลังจ้องมองไปที่ผู้ชายอีกคน ทำให้ชายผู้นั้นมีสีหน้าไม่ค่อยดี เขาทำได้เพียงฟังผู้หญิงคนนี้พูด และไม่กล้าขัดขืนหรือปฏิเสธคำพูดของนาง ดังนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดคือพยักหน้าตามนางเท่านั้น
“นิกายส่วนใหญ่ได้ยอมรับข้อตกลงและส่งลูกศิษย์ของพวกเขาไปที่ลานศักดิ์สิทธิ์แห่งหิมะจันทรา ไม่ได้เป็นเพราะพวกเขามีความสุขกับผลประโยชน์ที่จะนำมาให้พวกเขา แต่เป็นเพราะพวกเขาหวาดกลัวหากไม่ส่งศิษย์ไป พวกเขากลัวที่จะมีจุดจบเหมือนนิกายหยุนไห่ และหายไปจากแผนที่ของอาณาจักร พวกเขาทั้งหมดเขาใจว่ามันไม่มีทางเลือกอื่น นั่นคือเหตุผลที่พวกเขายอมรับให้ความช่วยเหลือและทำลายนิกายหยุนไห่ นั่นคือทุกสิ่งที่เกิดขึ้น”
“แต่ถึงแม้ว่านิกายหยุนไห่จะถูกกวาดล้างไปเรียบร้อยแล้ว อีกไม่นานนิกายอื่นๆจะต้องเผชิญกับสิ่งเดียวกัน ในอาณาจักรหิมะจันทรามีเพียงตระกูลจักรพรรดิเท่านั้นที่จะเหลืออยู่ ไม่ช้าก็เร็วกลุ่มคนกลุ่มสุดท้ายที่จะมีอำนาจมากที่สุดในอาณาจักรหิมะจันทราจะต้องเป็นตระกูลจักรพรรดิอย่างแน่นอน”
หลินเฟิงได้ยินสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นกล่าว และหัวเราะ สิ่งที่นางพูดเป็นเรื่องจริงบางส่วน แต่ก็มีบางส่วนที่นางพูดเกินจริงเกินไป ราวกับว่านางเป็นผู้สนับสนุนตระกูลจักรพรรดิ
“ถ้าตระกูลจักรพรรดิแข็งแกร่งจริง ทำไมพวกเขาถึงต้องใช้วิธีการเช่นนี้? ทำไมพวกเขาถึงต้องทำลายล้างนิกายหากพวกเขาแข็งแกร่งจริง?”
เสียงดังไปทั่วร้านอาหาร ทำให้หลินเฟิงรู้สึกประหลาดใจ เพราะคนที่พูดคือจิ้งยวิ๋น นางพูดออกมาจากใจและตัดสินใจที่จะพูดแย้งกับผู้หญิงคนนี้
ผู้หญิงคนนั้นค่อยๆหันหลังอย่างช้าๆ และจ้องมองไปที่จิ้งยวิ๋น นางยิ้มและกล่าวอย่างเย็นชาว่า: “เจ้าพูดถูก ใครก็ตามที่มีความขัดแย้งกับพวกเขาจะต้องถูกทำลาย…อย่างที่เจ้ากำลังทำตอนนี้…”
เมื่อหญิงสาวคนนี้พูดจบ ไม้เท้าเหล็กสีดำได้ปรากฏเงาดำออกมา และพุ่งตรงมาที่แก้มของจิ้งยวิ๋น
เมื่อหลินเฟิงเห็นผู้หญิงคนนั้นกำลังโจมตีจิ้งยวิ๋น เขาหรี่ตาลง และจ้องมองไปที่ผู้หญิงคนนั้น และกล่าวว่า: “นางก็แค่พูดเฉยๆ สิ่งที่เจ้ากำลังทำมันไม่มากไปหน่อยหรือ?”
“มีบางอย่างที่ไม่สามารถพูดได้ ถ้ามีใครบางคนพูดเช่นนั้นพวกเขาจะต้องชดใช้กับคำพูดของตัวเองเพราะส่วนใหญ่แล้วคนที่พวกเช่นนี้ล้วนเป็นคนไร้ค่า”
ผู้หญิงคนั้นจ้องมองไปที่หลินเฟิงอย่างเย็นชาและพูดต่อว่า: “เจ้า! เจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดเช่นนั้น”