ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
ร้านอาหารของชิงซินจู่ๆก็กลายเป็นเงียบสงัด
ทุกคนเริ่มจ้องมองไปที่แก้มของหญิงสาว มือของหลินเฟิงได้ทิ้งรอยสีแดงขนาดใหญ่ไว้ที่แก้มของนาง และสามารถเห็นนิ้วมือทุกนิ้วที่เขาทิ้งไว้บนแก้มของนางได้
ไม่มีใครคิดว่าหลินเฟิงจะตบหญิงสาวที่งดงามอย่างนางได้ลง แต่เขากลับตบนางอย่างแรงและปราศจากความลังเล
เขาไม่ได้ทำให้หญิงสาวคนนั้นอับอายด้วยการกระทำนี้เท่านั้น แต่เขายังทำให้ชิงซินเสียหน้าเหมือนกัน
ฝูงชนเริ่มจ้องมองไปที่หญิงสาวคนนั้นอย่างว่างเปล่า นางค่อยๆยกมือขึ้นแล้วแตะแก้มของนาง นางรู้สึกราวกับว่าแก้มของนางกำลังร้อนเพราะไฟ
ชื่อของตระกูลของนางคือตระกูลต้วน นางเป็นสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลจักรพรรดิ ไม่มีใครกล้าที่จะตบหน้านาง แต่ในตอนนี้หลินเฟิงกลับตบนาง ทำให้นางสูญเสียความภาคภูมิใจไปทั้งหมด
ใบหน้าของนางกลายเป็นบิดเบี้ยวเพราะความโกรธ
“เจ้าไม่ควรทำเช่นนั้น” ชิงซินกล่าวเพื่อหยุดความเงียบสงัดภายในร้านอาหาร แต่นางยังคงดูสง่างามเหมือนเดิม มันราวกับว่านางไม่ไหวติง
“หมายความว่าข้าควรปล่อยให้นางทำให้คนอื่นได้รับความอัปยศโดยไม่ต้องทำอะไรเลยหรือ?” หลินเฟิงกล่าวขณะจ้องมองชิงซิน เขาดูสงบพอๆกับนางแต่ภายในใจของตัวหลินเฟิงนั้น เขากำลังเดือดดาลเป็นอย่างมาก
“แม้ว่านางจะทำร้ายเจ้า และทำให้เจ้าได้รับความอับอาย เจ้าก็ไม่ควรตอบโต้” ชิงซินตอบกลับ
“ก็ได้ ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าผิดหวัง” หลินเฟิงกล่าวอย่างเย็นชาและแดกดัน หลินเฟิงคิดว่าชิงซินแกล้างทำเป็นเสแสร้ง ภายนอกนางดูสง่างาม, บริสุทธิ์ และไร้เดียงสา แต่จริงๆแล้วนางเป็นคนที่หยิ่งยโสและไม่เป็นธรรม หลินเฟิงไม่ชอบนางเลยแม้แต่น้อย
“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าข้าจะผิดหวังหรือไม่….. สิ่งที่เจ้าพูดก่อนหน้านี้มันค่อนข้างถูก มีบางอย่างที่เจ้าไม่สามารถทำได้เว้นเสียแต่ว่าเจ้าพร้อมที่จะรับผิดชอบและยอมรับราคาที่ต้องจ่าย”
“ผิดแล้ว” หลินเฟิงกล่าวขณะส่ายหัวแล้วกล่าวว่า: “ไม่เพียงแต่เจ้าจะพูดผิดเท่านั้นแต่เจ้าโง่เขลามากเช่นกัน ในสายตาของคนอย่างเจ้า เจ้าคิดว่าผู้คนทั่วๆไปอย่างข้านั้นไร้ค่า เจ้าสามารถกลั่นแกล้ง หรือทำให้พวกข้าอับอายได้ในขณะที่พวกข้าไม่สามารถตอบโต้ได้ แม้พวกข้าจะไม่ตอบโต้หรือพูดอะไร สถานการณ์มันก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมตลอด เจ้ากลั่นแกล้งผู้คนทั่วไป โจมตีหรือไม่โจมตีผลที่ตามมาก็เหมือนกัน ข้าลงมือตอบโต้ไปแล้วข้าควรจะทำเช่นไรดี? หลบหนีหลังจากได้รับความอับอายขายหน้า?”
“เป็นไปได้ไหม…? เจ้าคิดจริงๆหรือว่าเจ้าสามารถจากไปโดยไม่ต้องจ่ายสำหรับเรื่องที่เจ้าได้ทำลงไป? ผลที่ตามมา มันแต่ต่างจากที่เจ้าพูด มันจะร้ายแรงยิ่งกว่านั้น”
“ข้ารู้ว่ามีราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการกระทำเช่นนั้น แต่ข้าจะไม่เป็นคนจ่าย ข้ารับรองได้” หลินเฟิงเหลือบไปมองหญิงสาวคนนั้นเมื่อเขาพูดว่าจะไม่เป็นคนจ่าย เขากำลังพูดอย่างสงบซึ่งทำให้ทุกคนประหลาดใจ
สิ่งที่หลินเฟิงหมายถึง ทุกคนสามารถรู้ได้อย่างแจ่มแจ้ง ถ้าหญิงสาวคนนั้นยังยั่วยุเขาอยู่ หญิงสาวคนนั้นควรคิดถึงความปลอดภัยของตัวเองเป็นอันดับแรก และหนีออกไปจากสถานที่แห่งนี้!
แม้แต่ชิงซินยังรู้สึกประหลาดใจ และมองไปที่หลินเฟิงอย่างว่างเปล่า เขาเป็นเพียงเด็กชายอายุแค่ 16 ปีจริงๆหรือ? เขาดูสุขุม ราวกับผู้ใหญ่…
“เจ้ากำลังขู่ข้ารึ!?” หญิงสาววัยเยาว์กล่าว นางเข้าใจสิ่งที่หลินเฟิงหมายถึง รอยแดงที่มือของหลินเฟิงทิ้งไว้บนแก้มของนางยังไม่หายไป
“หืม เจ้าก็ไม่ได้โง่นี่…เจ้ารู้ว่าข้ากำลังขู่เจ้า ยินดีด้วย!” หลินเฟิงกล่าวเหน็บ
หลินเฟิงคิดว่าหญิงสาวคนนั้นช่างน่าสมเพชนัก นางกำลังเดินวนไปรอบๆ และท่าทีของนางราวกับขุนศึก บางทีนางอาจจะทำท่าทีแบบนั้นทุกที่ หลินเฟิงคิดว่าการที่จะพึ่งพาสถานะของตระกูลตัวเองมันเป็นเรื่องโง่หากไม่แข็งแกร่งพอที่จะปกป้องชีวิตตัวเอง หากคนบ้าบิ่นคนหนึ่งที่ตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤตโดยไม่คำนึงถึงสถานะทางสังคมมันจะไม่มีใครกล้าที่จะไปช่วยพวกเขา ผู้คนส่วนใหญ่รักชีวิตของตัวเองนั่นเป็นเหตุผลที่นางไม่เคยถูกลงโทษมาก่อน แต่สำหรับบางคนศักดิ์ศรีและเกียรติยศมันมีความสำคัญมากกว่าชีวิตของตัวเอง
“บางทีเมื่อเจ้ารู้ว่านางเป็นใคร เจ้าคงไม่สงบและเยือกเย็นเหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้อีกต่อไป” ชิงซินกล่าว นางต้องการให้หลินเฟิงหวาดกลัว นางไม่เคยคนหนุ่มสาวที่ดูสงบและสามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ขนาดนี้มาก่อน
“บอกข้ามาว่านางเป็นใคร?”
“ตระกูลของนางคือตระกูลต้วน” ชิงซินกล่าวขณะมองหลินเฟิง หลินเฟิงเพียงตอบสนองเล็กน้อย และทำตัวเหมือนปกติ
ในเวลาเดียวกัน หญิงสาวคนนั้นก็จ้องมองหลินเฟิงเช่นกัน นางหวังว่าหลินเฟิงจะหวาดกลัวและคุกเข่าลงต่อหน้านาง
แต่น่าเสียดายสำหรับพวกเขา พวกเขาต้องผิดหวังอีกครั้ง สีหน้าและท่าทีของหลินเฟิงยังคงไม่เปลี่ยนแปลงและเขายังคงดูเยือกเย็นและสุขุมมากกว่าแต่ก่อน
“สมาชิกของตระกูลจักรพรรดิ?” หลินเฟิงดูไม่หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย กลับกัน ใบหน้าของเขากับปรากฏรอยยิ้มขนาดใหญ่บนใบหน้า แล้วกล่าว: “ข้าก็มีสหายที่มาจากตระกูลต้วน เขานั่งอยู่ที่โต๊ะของพวกข้า แม้ว่าเขาจะเป็นสมาชิกของตระกูลต้วน แต่เขากลับดูถ่อมตัว และน่าคบกว่านาง เขาไม่ได้ใช้อำนาจเพื่อกลั่นแกล้งผู้อื่น เขาก็ไม่ได้เป็นคนที่อ่อนแอแต่เขาไม่ได้แสดงอำนาจเพื่อให้ตัวเองดูเหนือกว่าผู้อื่น เขารู้ดีว่าการกระทำเช่นนั้นมีแต่จะทำให้ตระกูลต้วนได้รับความอัปยศ
ใบหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน นางพยายามที่จะทำให้หลินเฟิงอับอายขายหน้าอีกครั้ง แต่ผลสุดท้ายกลับกลายเป็นนางที่ได้รับความอับอายอีกครั้ง
ชิงซินก็รู้สึกงงงวยเช่นกัน นางมองไปที่โต๊ะของหลินเฟิง และมีคนหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจของนาง นั่นคือเมิ่งฉิง เมิ่งฉิงสวมผ้าคลุมหน้าปกปิดใบหน้าของนาง ดังนั้นชิงซินจึงเชื่อว่าเมิ่งฉิงเป็นสมาชิกของตระกูลต้วน นอกจากนี้ท่าทางอันอ่อนช้อยของนางจึงทำให้นางดูงดงามและดูดีมีชาติตระกูลมากขึ้น
มีออร่าของชนชั้นสูงปรากฏออกมาจากเมิ่งฉิง ซึ่งทำให้นางดูเหมือนเป็นสมาชิกของตระกูลต้วนจริงๆ แต่แล้วความมั่นใจของชิงซินก็น้อยลงหลังจากจ้องมองเมิ่งฉิงแล้ว
ทันใดนั้น ชิงซินมองไปรอบๆ และมองไปที่ชั้นสอง บนชั้นสองนั้นมีห้องเล็กๆอยู่ นางเป็นคนเดียวที่สามารถเข้าไปในนั้นได้
แต่ในขณะนั้น มันราวกับว่ามีคนอยู่ในห้องนั้น
“พวกเราไม่เคยเห็นพวกเขามาก่อนเลย”
มันเป็นประโยคที่เงียบง่ายแต่มันทำให้ทุกคนรู้สึกหวาดกลัว
พวกเราไม่เคยเห็นพวกเขามาก่อน?”
หลินเฟิงได้พูดไว้ว่าเขามาพร้อมกับสหายที่มาจากตระกูลต้วน หลังจากนั้น ได้มีเสียงลึกลับดังมาจากห้องที่อยู่บนชั้นที่สองได้กล่าวว่าพวกเราไม่เคยเห็นพวกเขามาก่อน บางทีเขาอาจจะหมายถึงประโยคที่หลินเฟิงพูด และพวกเขาต้องการลบล้างสิ่งที่หลินเฟิงพูดไว้เมื่อตะกี้
“ดูเหมือนว่าข่าวลือจะเป็นเรื่องจริง ชิงซินเป็นภรรยาของเขา” ผู้คนบางคนกระซิบอย่างประหลาดใจ
ที่น่าแปลกใจคือชิงซินได้เล่นพิณเพื่อทุกคน โดยปกติแล้วนางมักจะเล่นพิณเพื่อเขาคนเดียวเท่านั้น
เมื่อหญิงสาววัยเยาว์ได้ยินคำพูดพวกนี้ ทำให้การแสดงออกอันหยิ่งบนใบหน้าของนางหายไป นั่นคือเขา!
เมื่ออยู่เบื้องหน้าเขา นางก็เหมือนไม่มีตัวตน เขาเป็นเหมือนดวงอาทิตย์ และนางเป็นเพียงแสงเทียน
เมื่อชิงซินได้ยินประโยคพวกนั้น นางพยักหน้าเล็กน้อย ตั้งแต่เขาไม่เคยเห็นพวกเขา ดังนั้นคนเหล่านี้ก็ไม่สำคัญ
“เจ้าอยากจะกล่าวอะไรเพิ่มเติมหรือไม่?” ชิงซินถามขณะมองหลินเฟิงอย่างเย็นชา และรอหลินเฟิงพูด
หลินเฟิงส่ายหัวเล็กน้อย
ชิงซินกล่าว: “ตั้งแต่ที่เจ้าเข้ามาในร้านอาหารของข้า ข้าต้องการ “เชิญ” เจ้าออกไปเดี๋ยวนี้ ขอบคุณ”
เมื่อชิงซินพูดเสร็จ นางเริ่มเล่นดนตรีเสียงดังราวกับนางต้องการให้ผู้คนลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้น ในขณะนั้นได้มีคนสองคนยืนปรากฏตัวออกมา คนหนึ่งยืนอยู่ด้านซ้ายของนาง และอีกคนยืนอยู่ด้านขวาของนาง หลินเฟิงยังคงสงบและทันใดนั้นแรงกดดันกดทับร่างกายของเขา
ภาพเงาสองร่างนี้เป็นของผู้คนที่กำลังพูดคุยอยู่ในห้องบนชั้นสอง
“แข็งแกร่งมาก ข้าไม่ต้องการต่อสู้กับพวกเขา” หลินเฟิงสามารถรู้ได้ว่าพวกเขาแข็งแกร่งขนาดไหน จากนั้นเขาก็มองไปบนชั้นสองและก็นึกขึ้นมาได้ว่าคนที่เขาเจออาจเป็นคนที่ต้วนเฟิงเล่าให้เขาฟัง
หลินเฟิงพยายามคาดเดาไปต่างๆนาๆ บางทีคนพวกนั้นอาจเป็นสหายองค์รัชทายาทที่ชั่วร้ายคนนั้น? หรือเป็นสหายขององค์ชายลำดับที่สองผู้ที่อบอุ่นและเป็นมิตร?
“ใครเป็นคนรังแกลูกสาวของข้ากัน?”
ในขณะนั้นได้มีเสียงดังและทรงพลังดังไปทั่วบรรยากาศ มันมาจากห้องบนชั้นสอง จากนั้นได้ปรากฏเงาของคนๆหนึ่ง และลงบันไดจากชั้นสองมาชั้นแรก คนนั้นดูสง่างามมาก เขายืนอยู่ตรงบันไดแต่ผู้คนกลับสามารถรู้สึกได้ถึงแรงกดดันโดยพลังปราณที่โผล่ออกมาจากร่างของเขา
เขาเป็นชายวัยกลางคน ชิงซินพยักหน้าและจากนั้นเขาก็มองไปที่คนสองคนที่ยืนอยู่ข้างๆนาง พวกเขาพยักหน้าเล็กน้อย ผ่านไปสักครู่ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ท่านพ่ออออออออ!” หญิงสาวผู้หยิ่งยโสกล่าว นางต้องการเดินไปหาท่านพ่อของนางแต่นางไม่สามารถไปได้ พลังปราณอันแข็งแกร่งและเยือกเย็นกำลังห่อหุ้มร่างของนางทำให้นางไม่สามารถขยับตัวได้ ดูเหมือนว่าถ้านางพยายามต่อต้านนางก็อาจตายได้ทุกเมื่อ
“สามหาว!” ชายวัยกลางคนกล่าวขณะเดินตรงเข้าไปหาหลินเฟิงพร้อมกับปลดปล่อยพลังปราณบางส่วนออกมา
ในขณะนั้นทั่วทั้งร้านอาหารเต็มไปด้วยแรงกดดันของพลังปราณ บางคนเกือบจะถูกบดขยี้เพราะพลังปราณอันแข็งแกร่งนี้ และมีหลายคนพยายามเคลื่อนตัวห่างออกไป
ร่างกายของหลินเฟิงเริ่มถูกกดทับมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆวินาทีเขารู้สึกราวกับว่ากระดูกของเขากำลังจะแตก เขามีความรู้สึกราวกับว่าเขากำลังแบกวัตถุหลายตันไว้บนหลังของเขา
“ตอนนี้เจ้ารู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เจ้าทำไปแล้วหรือยัง?” ชิงซินกล่าวอย่างเย็นชา นางต้องการเห็นอารมณ์ความรู้สึกหวาดกลัวของหลินเฟิง
“มีบางสิ่งที่เมื่อทำไปแล้ว แล้วจะไม่เสียใจทีหลัง” หลินเฟิงกล่าวขณะยิ้ม บางครั้งท่าทีและน้ำเสียงของเขาก็ดูเหมือนพระเอกในหนัง
“เมา, ร้องเพลง, พูดคุยเสียงดัง…ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องทำ แต่มนุษย์นั้นก็ต้องการศักดิ์ศรีเช่นกัน มิฉะนั้นชีวิตของพวกเขาก็จะไร้ค่า”
และมีบางอย่างที่ต้องตัดสินใจทำแม้มันจะเป็นเรื่องที่ผิดพลาดก็ตาม
“แม้เจ้าจะเสียใจกับการกระทำของตัวเอง แต่ข้าก็ไม่ให้โอกาสเจ้าหรอกนะ” ชายวัยกลางคนกล่าว เมื่อเขาเห็นรอยสีแดงบนใบหน้าของลูกสาวเขา พลังปราณของเขาจึงกลายเป็นกดดันและแข็งแกร่งมากขึ้น และเดินตรงไปหาหลินเฟิง
“เมา, ร้องเพลง และพูดคุยเสียงดัง…..” เมิ่งฉิงกระซิบ ทวนคำพูดของหลินเฟิงซ้ำ นางดูงงงวย
เมิ่งฉิงลุกขึ้น และเดินตรงไปหาหลินเฟิง จากนั้นนางก็อยู่ด้านหลังเขา นางกำลังจ้องมองผู้คนที่กำลังโจมตีและกดทับร่างกายของหลินเฟิงในเวลาเดียวกัน และปรากฏประกายแสงในนัยน์ตาของนาง
“ใช้คนจำนวนมากโจมตีคนพียงคนเดียว นี่เป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเจ้างั้นรึ?” เมิ่งฉิงกล่าว ในพริบตานางเคลื่อนที่ราวกับแสง และปรากฏอยู่ตัวด้านหน้าของหลินเฟิงเพียงย่างก้าวเดียว
ในขณะนั้น พลังอันน่าเหลือเชื่อและอัศจรรย์แผ่กระจายไปทั่วบรรยากาศ และทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างและทุกคนภายในร้านอาหารหยุดนิ่ง หัวใจของผู้คนกำลังห้ำหั่นกัน พวกเขาหวาดกลัวจนตัวแข็ง
“หายไปซะ”
บรรยากาศเริ่มเยือกเย็นขึ้นและเยือกเย็นขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผู้คนกำลังสั่นตั้งแต่หัวจรดเท้าเพราะความหวาดกลัว…
***********************************************************************
ติดตามอัพเดทได้ที่ –