ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปภายในเมืองจักรพรรดิมีพระราชวังขนาดใหญ่และงดงามตั้งตะหง่านอยู่
บริเวณโดยรอบของพระราชวังมีผู้คุ้มกันมากมายกำลังเดินลาดตระเวนอยู่
พระราชวังเป็นส่วนสำคัญของเมืองจักรพรรดิ แต่ยังรวมไปถึงอาณาจักรหิมะจันทราด้วย พระราชวังแห่งนี้เป็นของตระกูลจักรพรรดิ
ข่าวลือว่ากันว่าพระราชวังแห่งนี้มีจุดตรวจถึง 8100 จุดภายในพระราชวัง จุดตรวจเหล่านั้นคุ้มเข้มอย่างมาก เฉพาะผู้ที่ผ่านพ้นจุดตรวจเหล่านี้เท่านั้นที่สามารถเข้าไปในพระราชวังได้
ในขณะนั้นได้มีเงากำลังเดินเข้าไปในพระราชวัง คนผู้นั้นเดิมตามปกติราวกับเดินบนถนน ไม่มีใครขัดขวางทางเดินของพวกเขา
คนผู้นั้นสวมเสื้อผ้าสีดำ ใบหน้าของเขาแข็งกระด้างและไม่ไหวติ่งราวกับภูเขา
ชายผู้นั้นเดินผ่านจุดตรวจและเดินมาถึงบ่อน้ำ ข้างบ่อน้ำมีม้านั่ง และมีคนกำลันั่งงตกปลาข้างบ่อน้ำ
คนผู้นั้นสวมเสื้อคลุมสีขาวอันเรียบง่าย และดูเป็นมิตรมากๆ เขาอายุประมาณ 20 ปี ชายผู้ที่สวมเสื้อผ้าสีดำและชายผู้ที่สวมเสื้อคลุมสีขาวพวกเขาดูคล้ายกัน ชายผู้ที่สวมเสื้อคลุมสีขาวกำลังนั่งม้านั่งอยู่และกำลังตกปลา เขาค่อนข้างดูลึกลับ
ชายในชุดดำเดินมาหาชายผู้สวมเสื้อคลุมสีขาว แต่พวกเขายังไม่พูดคุยอะไรกัน
หลังจากนั้น ชายผู้สวมเสื้อคลุมสีขาวจู่ๆตัวของเขาก็เริ่มสั่น โดยเฉพาะที่มือของเขา เขารีบดึงคันเบ็ดอย่างรวดเร็ว และเก็บเข้าไปในตระกร้าไม้ไผ่ของเขา ปลาที่เขาตกได้มีน้ำหนักประมาณครึ่งกิโลกรัม วิธีตกปลาของชายในเสื้อคลุมสีขาวทั้งสง่าและงดงาม หลังจากนั้นได้ปรากฏรอยยิ้มขนาดใหญ่ขึ้นบนใบหน้าของเขา
“หนันซาน มานั่งๆ” ชายหนุ่มผู้สวมเสื้อคลุมสีขาวกล่าวกับชายผู้สวมเสื้อสีดำขณะยิ้มอย่างอบอุ่น
“ขอรับ องค์ชาย” หนันซานกล่าวขณะโค้งคำนับ แต่เขาไม่ได้นั่งลง
“หนันซาน ข้าไม่เคยเห็นเจ้ามาที่นี่ อะไรถึงทำให้เจ้ามานี่แห่งนี้กัน?”
“ฮ่าๆ” หนันซานยิ้มขณะพยักหน้า และพูดว่า: “องค์ชาย ฉู่จั่นเผิงและลั่วเสวี่ย
อยู่ที่นี่แล้ว”
“ลานศักดิ์สิทธิ์หิมะจันทรากำลังเปิดตัวไม่แปลกใจที่พวกเขาจะมา เจ้าไม่ได้มาเพื่อบอกข้าเรื่องแค่นี้ใช่ไหม”
ชายหนุ่มคนนี้ยังคงมีรอยยิ้มอันอบอุ่นและเป็นกันเอง และเขาก็ดูฉลาดหลักแหลมมากเช่นกัน
“องค์ชายท่านมีสัมผัสที่หกหรือสามารถมองเห็นอนาคตด้วยพลังเหนือธรรมชาติหรือ วันนี้ร้านอาหารของชิงซินถูกทำลาย ข้าได้เจอคนสองคนพวกเขาดูน่าสนใจมากๆ”
“ร้านอาหารของชิงซิน? ร้านอาหารของนาาค่อนข้างเป็นสถานที่ดี หนันซาน ชิงซินไม่ใช่เด็กๆอีกต่อไปแล้ว เมื่อไหร่เจ้าจะขอนางแต่งงาน? ข้ายินดีที่จะเป็นผู้จัดงานแต่งของเจ้า”
ชายหนุ่มคนนี้ดูเหมือนจะไม่สนใจเรื่องที่หนันซานกล่าว เขาเปลี่ยนเรื่องคุยและเริ่มพูดคุยชีวิตส่วนตัวของหนันซาน
ชายหนุ่มในชุดดำดูดีใจ องค์ชายของเขาชอบเป็นห่วงเรื่องของคนอื่น เขาเป็นคนดีจริงๆ
ชิงซินเป็นหญิงสาวที่เขาชื่นชอบ ดังนั้นถ้าองค์ชายอนุญาต ครอบครัวของนางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับไม่ว่าพวกเขาจะมีเชื่อเสียงมากแค่ไหน ดังนั้นประโยคของชายหนุ่มจึงเพียงพอที่จะทำให้หัวใจของหนันซานเต้นเร็วขึ้น
แต่หนันซานคิดว่าเวลานี้มันไม่เหมาะสมที่จะพูดคุยเรื่องงานแต่งงานของเขา
“องค์ชาย วันนี้ต้วนอวี้ได้ไปที่ร้านอาหารของชิงซิน และถูกชายหนุ่มอายุประมาณ 16 ปีตบหน้าของนาง”
“หืม?” ชายหนุ่มยิ้มและกล่าว: “นี่ช่างเป็นเรื่องตลกที่น่าสนใจจริงๆ ใครกันที่กล้าตบหน้านางนอกเมืองจักรพรรดิ หายากจริงๆคนที่กล้าทำกลับนางแบบนี้ ข้ามั่นใจได้เลยว่าต้วนเลี่ยได้ช่วยนางจัดการกับเหตุการณ์นั้น และชิงซินทำได้เพียงแค่ยืนมอง ถูกต้องไหม?”
“ถูกต้องแล้วขอรับ องค์ชาย ทุกคนมีส่วนเกี่ยวข้องแต่สุดท้ายร้านอาหารก็ถูกทำลาย ข้าหลบหนีไปกับชิงซิน เพราะที่แห่งนั้นมีรุ่นเยาว์คนหนึ่งบรรลุขอบเขตปฐพีแล้ว”
หนันซานยิ้ม ซึ่งทำให้ชายหนุ่มดูสนใจเรื่องนี้มากขึ้น จากนั้นชายกนุ่มก็กล่าว: “รุ่นเยาว์ที่อยู่ขอบเขตปฐพี เป็นไปไม่ได้ เขามาจากตระกูลไหนกัน?”
“องค์ชาย ข้าอาจพูดไม่ละเอียด เป็นเรื่องจริงที่รุ่นเยาว์ผู้นั้นอยู่ขอบเขตปฐพีแต่นางเป็นผู้หญิง นางดูงดงามเป็นอย่างมาก นางดูสง่างาม อ่อนช้อยและไร้เดียงสา นางมาจากตระกูล…..เอ่อ…..”
หนันซานพยายามทำให้เรื่องราวที่เขาเล่าดูน่าสนใจยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้ชายหนุ่มหัวเราะ จากนั้นชายหนุ่มก็กล่าวว่า: “หนันซาน เจ้ารู้จะทำให้ข้าใจจดใจจ่อเรื่องที่เจ้าเล่าได้เช่นไร แต่หญิงสาวผู้ที่อยู่ขอบเขตปฐพี เจ้าคิดว่าสถานะนางในสังคมจะเป็นเช่นไร?”
“ข้าไม่รู้จริงๆขอรับ ข้าไม่เคยเห็นนางมาก่อน แต่ข้าคิดว่าองค์ชายน่าจะสนใจชายหนุ่มคนนี้มากกว่า”
“หืม?” ในตอนนี้ชายหนุ่มอยากรู้จริงๆ ใครน่าสนใจกว่าหญิงสาวผู้บรรลุขอบเขตปฐพีแล้วกัน?
“เขาชื่ออะไร?”
“หลินเฟิง ขอรับ” ชายในชุดดำตอบกลับ
“หลินเฟิง” ชายหนุ่มพูดอย่างแผ่วเบา “ในวันนั้น วันที่นิกายหยุนไห่ถูกทำลาย มีศิษย์ผู้หนึ่งได้รับการช่วยเหลือ และมั่นใจมากเขาต้องชื่อหลินเฟิง”
“นั่นจะต้องเป็นเขา เรื่องราวชีวิตของเขามันน่าสนใจจริงๆ……” ชายหนุ่มชุดดำกล่าว ทำให้ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีขาวใจจดใจจ่อ
“เล่ามา!” ชายหนุ่มชุดคลุมสีขาวกล่าว
“หลินเฟิงมาจากเมืองหยางโจว” ชายในชุดดำกล่าว
“เมืองหยางโจว…หลินเฟิง…” ชายหนุ่มพูดซ้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา เขาขบคิดอยู่ชั่วครู่แล้วใบหน้าของเขาก็กลายเป็นแข็งทื่อ ตาของเขาเป็นประกายแล้วกล่าว: “ลูกชายของนาง?!”
“ขอรับ ลูกชายของนาง” ชายในชุดดำพยักหน้า
ดูเหมือนชายหนุ่มจะสนใจและกล่าว: “ข้าสนใจเขาจริงๆ บอกข้าเกี่ยวกับเรื่องของเขาอีก และห้ามเจ้าบอกคนอื่นเกี่ยวกับเรื่องนี้”
“องค์ชาย ข้ารู้ต้องทำเช่นไร” หนันซานตอบกลับขณะยิ้ม
หลินเฟิงไม่รู้ว่าในขณะนี้พวกเขากำลังพูดคุยถึงเขาอยู่ สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือหลินเฟิงไม่มีสถานะทางสังคมในเมืองหยางโจว หรือในเมืองจักรพรรดิ เขาเป็นเพียงบุคคลธรรมดาที่ไม่มีภูมิหลังปกป้องเขา
ทั้งสี่คนออกจากรถมา และกำลังมองไปที่สำนักสวรรค์อันใหญ่โต มีผู้บ่มเพาะพลังจำนวนมากเดินผ่านไปมา พวกเขาส่วนใหญ่ดูตื่นเต้น และหยิ่งยโส
ชื่อของสำนักเขียนด้วยตัวอักษรที่ใหญ่หนาและมีสีสันตรงปากทางเข้าเมือง
ใต้ซุ้มประตูทางเข้า มีชายชรากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ และมีโต๊ะอยู่ตรงหน้า บนโต๊ะพวกเขามีหมึกและแปรง
ผู้คนที่อยู่ด้านหน้ามอบจดหมายให้ชายชราลงนาม หลังจากนั้นผู้บ่มเพาะพลังก็จะสามารถเข้าไปในสำนักสวรรค์ได้
“กรรรจ์” ในขณะนั้นสัตว์อสูรคำราม ซึ่งดึงดูดความสนใจจากผู้คนจำนวนมาก
ทุกคนหันหลังกลับไปและเห็นหญิงสาวในเสื้อคลุมสีแดงกำลังนั่งอยู่บนสัตว์อสูร
สัตว์อสูรตัวนั้นคือสิงโตปีศาจ ขนอันหนาทึบของมันทำให้ดูเหมือนเปลวเพลิง เพียงแค่เสียงคำรามของมันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ทุกคนหวาดกลัว
“นั่งอยู่บนสัตว์อสูรระดับจิตวิญญาณ ช่างสง่างามจริงๆ”
บางคนรู้สึกประหลาดใจ บางคนดูอิจฉา บางคนก็ดูหวาดกลัว
“จงหลิง!” ในขณะนั้น ได้มีร่างเงาบินผ่านอากาศและปรากฏตัวอยู่ด้านหลังหญิงสาวผู้สวมเสื้อคลุมสีแดง
“หมาป่าจันทรา…สัตว์อสูรระดับจิตวิญญาณอีกตัว” สายตาของผู้คนในกลุ่มฝูงชนดูสิ้นหวัง พวกเขาเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนหลังสัตว์อสูร ชายหนุ่มผู้นี้อายุของเขาประมาณ 16 ปี
“สมแล้วที่เป็นสำนักสวรรค์”
ทุกคนดูประหลาดใจ ถึงแม้ว่าสำนักสวรรค์จะไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในเมืองจักรพรรดิ แต่ชื่อเสียงของสำนักนี้สามารถตระหนักได้ในตอนนี้ สำนักแห่งนี้เป็นที่รู้กันดีว่าจะรับเฉพาะศิษย์ที่โดดเด่นเท่านั้น หรือไม่ก็บุคคลที่มาจากตระกูลหรือครอบครัวที่ทรงอำนาจภายในอาณาจักร
แน่อน บางคนในหมู่ฝูงชนไม่มีใครสนใจสัตว์อสูร นัยน์ตาของเขามีเพียงความมุ่งมั่น และจิตใจอันแข็งแกร่งเพื่อประสบความสำเร็จ
“ต้วนเฟิง ดูเหมือนพวกเราจะดูน่าอับอายขายหน้าเล็กน้อย” หลินเฟิงกล่าวขณะขับรถม้า พวกเขาสามารถรู้สึกได้ถึงพลังปราณที่สัตว์อสูรปลดปล่อยออกมา ทันใดนั้นจู่ๆม้าของพวกเขาก็หยุดวิ่ง พวกมันหยุดที่จะเดินต่อเพราะกลัวสัตว์อสูร หลินเฟิงยิ้มอย่างบิดเบี้ยว และพยายามทำให้ม้าเดินหน้าต่อไป
“พี่ใหญ่หลินเฟิง ข้ามาที่นี่เพื่อฝึกฝน ไม่ได้มาเพื่อความเพลิดเพลิน” ต้วนเฟิงกล่าวขณะส่ายหัวและยิ้ม
ในขณะนั้นบางคนหันไปมองรอบๆ และมองหลินเฟิง ต้วนเฟิง และคนอื่นๆ แล้วกล่าว: “โอ้ กลุ่มยาจกอีกอีกกลุ่มมาถึงแล้ว พวกเขาดูน่าสังเวชจริงๆ”
****************************************************
ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปลงแล้วจะแจ้งอัพเดททางเพจให้นะครับ >>>>