I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Peerless Martial God ตอนที่ 112 ใครตบใคร

| Peerless Martial God | 2537 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
                

“หึ ทำไมการพูดคุยครั้งนี้ถึงไร้สาระเช่นนี้? การต่อสู้จะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการหาว่าใครเป็นผู้แข็งแกร่งกว่ากัน” ผู้บ่มเพาะพลังในฝูงชนคนหนึ่งกล่าว บางคนรู้จักตระกูลจั่ว และผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นที่สุดคือ จั่วซิว เพราะเขาอายุยังไม่ถึง 18 ปี แต่กลับบรรลุขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 2 ได้แล้ว หลินเฟิงเขายังอายุไม่ถึง 17 ปี ไม่มีทางที่เขาจะเอาชนะจั่วชิวได้

 

“หึ ท้าทายผู้ที่ไม่มีหนังสือแนะนำนี่มันยุติธรรมจริงๆหรือ? คนอย่างข้าไม่ชอบท้าทายคนที่อ่อนแอ” จั่วชิวกล่าว

 

“ถ้าเจ้าไม่กล้า ก็กล่าวยอมแพ้เสียและอย่าพยายามหาข้อแก้ตัว จั่วชิงกล่าวด่าทอหลินเฟิงหลายครั้ง เพื่อแสดงให้เห็นว่าผู้บ่มเพาะพลังอย่างเขา และขอทานอย่าพวกมันไม่สามารถเทียบเคียงกับเขาได้” ชายหนุ่มคนหนึ่งในฝูงชนกล่าวผู้ที่ความแข็งแกร่งและความร่ำรวยของผู้บ่มเพาะพลังควรจะเป็น ชายหนุ่มที่กำลังพูดเขาสวมเสื้อผ้าสีเหลืองและดูหยิ่งยโสอย่างไม่น่าเชื่อ อายุของเขาประมาณ 15 ปี

 

“ไป๋เจ๋อ เจ้าไม่จำเป็นต้องบอก แม้เจ้าจะไม่บอกข้าข้าก็ยังคงตบหน้าเขา และทำให้มันปิดปากอันสกปรกของมัน” จั่วชิวกล่างขณะยิ้ม

 

“ฮ่าๆ ถ้างั้นก็ไม่เป็นไร เจ้าก็แค่ไม่อาจทำให้ตระกูลจั่วเสียหน้าได้” ไป๋เจ๋อกล่าวพร้อมกับมีรอยยิ้มอันลึกลับปรากฏบนใบหน้าของเขา แม้ว่าจั่วชิวจะแข็งแกร่งและได้รับการยอมรับจากสำนัก แต่เขายังไม่โจมตีหลินเฟิง ไป๋เจ๋อกำลังสงสัยว่าทำไมจั่วชิวถึงต้องพูดให้มากความ

 

“ไม่มีทางที่ตระกูลจั่วจะได้รับความอับอายขายหน้า” จั่วชิวกล่าวขณะมองต่ำไปที่หลินเฟิงอย่างดูถูก จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า: “ถ้าเจ้าตบหน้าของตัวเอง ข้าจะไม่ตบหน้าเจ้า”

 

“หายากจริงๆที่ข้าจะเจอคนใจดีเช่นเจ้า” หลินเฟิงกล่าวขณะโมโห เขาไม่ได้สนใจจั่วชิวเลยแม้แต่น้อย เขากำลังมองต้วนอวี้ที่ไม่เตือนจั่วชิวถึงอัตรายที่จะต้องเผชิญ กลับกันนางจ้องมองอย่างนิ่งเงียบและรอการแสดงเริ่มต้น

 

เป็นความจริงที่หลินเฟิงเป็นคนตบหน้านาง แต่ถ้าในตอนนั้นหลินเฟิงแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเขา นางคงไม่อับอายขายหน้าขนาดนั้น เพราะทุกๆคนต้องการอยากรู้ว่าเขาแข็งแกร่งแค่ไหน และไม่คิดว่าใครก็ไม่รู้สามารถตบหน้านางได้

 

“ปัญญาอ่อน?” ฝูงชนสังเกตเห็นว่าหลินเฟิงชอบใจ และได้รับความสนใจมากขึ้น

 

“จั่วชิว คนที่เจ้าเรียกว่าขอทานกำลังเรียกจ้าว่า ปัญญาอ่อน”

 

“ฮ่าๆ จั่วชิวเหมือนกับเจ้ากำลังถูกเจ้านั้นข่มขู่อยู่” คนๆหนึ่งกล่าว ความคิดเห็นนี้ทำให้จั่วชิวดูโกรธเกรี้ยวมากขึ้น

 

“ข้าจะไม่ตบหน้าเจ้าเพียงคนเดียว แต่ข้าจะตบหน้าพวกเจ้าทั้งหมด ข้าจะสอนบทเรียนให้เจ้าและสหายของเจ้า” จั่วชิวกล่าวขณะจ้องมองเมิ่งฉิง และจิ้งยวิ๋น คำพูดของเขาทำให้หลินเฟิงโกรธ เขาไม่ชอบถูกคนอื่นยั่วยุ แต่เขามักจะถูกผู้อื่นยั่วยุตลอด ทำไมเหล่าคนพวกนี้มักมองต่ำใส่คนอื่นและคิดว่าพวกเขาอ่อนแอกว่าตน

 

“เจ้ายังพูดเรื่องไร้สาระไม่จบอีกรึ?” หลินเฟิงกล่าวอย่างเย็นชาทำให้จั่วชิวโกรธเกรี้ยวยิ่งกว่าเดิม

 

ร่างของเขาสั่นสะท้านเพราะความโกรธ เขายกมือขึ้นและแบฝ่ามือออกไปข้างหน้า พลังปราณที่ปรากฏออกมาจากฝ่ามือได้สร้างลมแรงในอากาศขึ้น

 

เขาง้าวมือตรงไปทางหลินเฟิง มันรุนแรงพอที่จะคนให้กระเด็นไปเมื่อปะทะ

 

รอยยิ้มอันเยือกเย็นปรากฏบนใบหน้าหลินเฟิง เขายกมือขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับแสง และหยุดมือของจั่วชิวอ

 

“ห๊ะ?” จั่วชิวประหลาดใจ ชายผู้นี้ไม่ได้อ่อนแอ ถ้าเขาอ่อนแอเขาคงไม่สามารถหยุดมือของเขาได้

 

“แม้เจ้าจะใช้พลังทั้งหมดที่เจ้ามี เจ้าคิดว่าจะหยุดมือของข้าได้งั้นรึ?” จั่วชิวกล่าวอย่างเย็นชา ทันใดนั้นเปลวไฟก็โผล่ออกมาจากร่างของเขา เขาเปิดปากและพ่นไฟออกมา ทันใดนั้นเปลวไฟเริ่มพุ่งตรงไปที่หลินเฟิงทันที

 

“นี่มันทักษะประหลาดอะไรกัน” ฝูงชนรู้สึกประหลาดใจ

 

แต่ในขณะนั้น หลินเฟิงใช้มืออีกข้างเพื่อโจมตีออกไป พลังปราณอันแข็งแกร่งปรากฏออกมาจากฝ่ามือของเขาและพุ่งตรงไปที่เปลวไฟของชิวจั่ว เมื่อเปลวไฟของจั่วชิวหายไปมันก็ยังคงพุ่งตรงไปที่จั่วชิว

 

ทันใดนั้นจั่วชิวใช้มือทั้งสองข้างปลดปล่อยเปลวไฟอันรุนแรงของเขาออกมา และพุ่งตรงเข้าหาหลินเฟิง

 

อากาศกลายเป็นร้อน และหนักหน่วงขึ้น แต่นัยน์ตาของจั่วชิวกลับเยือกเย็น เขาจ้องมองไปที่หลินเฟิงเพราะถูกหลินเฟิงบังคับให้เขาใช้พลังทั้งหมดที่มีเพื่อป้องกันตัวเอง

 

แต่หลินเฟิงยังคงโจมตีอีกครั้ง แม้ว่าจั่วชิวจะป้องกันการตบหน้าครั้งแรกของหลินเฟิงได้ แต่ครั้งนี้ดวงตาของเขาเปิดกว้างและจ้องมองไปยังฝ่ามือที่กำลังเคลื่อนที่มาที่ใบหน้าของเขาด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ

 

“หนี” จั่วชิวคิด แต่…เขาเพิ่งมาคิดตอนนี้ได้มันไม่สายเกินไปหรือ?

 

“ผัวะ!” ในขณะนั้นเสียงถูกตบหน้าดังไปทั่วบรรยากาศ ฝูงชนทั้งหมดกลายเป็นตกตะลึง

 

เขาต้องการตบหน้าหลินเฟิง แต่กลับกลายเป็นถูกหลินเฟิงตบหน้าแทน…?

 

หลินเฟิงไม่ได้ใส่พลังไปมากเท่าไหร่ จั่วชิวยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น แต่เกียรติของเขาถูกทำลายเจ็บมากกว่าการถูกตบหน้า เกียรติของเขาได้ถูกเหยียบย่ำอย่างสมบูรณ์และเขาถูกทำให้อับอายขายหน้าอย่างสิ้นเชิง

 

“เจ้ากล้าตบข้า?!” จั่วชิวกล่าวเขายังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาสัมผัสแก้มของตัวเอง มันร้อนและเจ็บปวด…และปรากฏรอยช้ำขนาดใหญ่บนใบหน้าของเขา

 

“ก่อนหน้านี้เจ้าพูดไว้ว่าอะไร?” หลินเฟิงกล่าวขณะตอบคำถามโง่ๆของมัน

 

“เจ้าทดสอบความอดทนของข้ามามากพอแล้ว ข้าล่ะเหนื่อกับความโง่เขลาของเจ้าจริงๆ ไปให้พ้นหน้าข้าซะ” หลินเฟิงกล่าวขณะยกมือขึ้นเพื่อตบหน้าของจั่วชิวอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้หลินเฟิงไม่ได้ควบคุมพลังของเขา ฝ่ามือของเขากระแทกใบหน้าของจั่วชิวและส่งให้มันบินไกลหลายเมตรทันที

 

เมื่อฝูงชนได้ยินเสียงร่ายกายของจั่วชิวกระแทกกับพื้น พวกเขาสั่นสะท้านไปทั่ว เพียงแค่ตบ…ช่างโหดร้ายยิ่งนัก!

 

หลินเฟิงหันหลังและจ้องมองไปที่จงหลิง นางดูแปลกใจและก้าวถอยหลัง 

 

“เจ้าสมควรโดนด้วยเช่นกัน” หลินเฟิงกล่าว ทำให้จงหลิงกลายเป็นหวาดกลัว

 

“ข้าจะสังหารเจ้าาาาา!!!” จั่วชิวตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวขณะลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ

 

“มานี่ หมาป่าจันทรา!” จั่วชิวตะโกน จั่วชิวเรียกหมาป่าจันทรา มันเคลื่อนที่ตรงไปที่หลินเฟิงด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ ราวกับมันเคลื่อนที่ได้รวดเร็วกว่าแสง มันเปล่งแสงขณะเคลื่อนที่แหวกว่ายผ่านอากาศ

 

“เจ้าสัตว์เดรัจฉาน” หลินเฟิงกล่าว และมีแสงสว่างจ้าเกิดขึ้นระหว่างหมาป่าและหลินเฟิง ทันใดนั้นเมื่อแสงหายไป ร่างหมาป่าจันทราร่วงหล่นกระแทกพื้นอย่างรุนแรงและปราศจากลมหายใจ

 

“แสงมันต้องมาจากดาบ มันต้องมาจากดาบแน่ๆ” ฝูงชนบางคนกล่าว มันรวดเร็วมาก เพียงแค่ดาบเดียวก็สามารถสังหารหมาป่าระดับจิตวิญญาณได้

 

“เจ้า…….” จั่วชิวโกรธเกรี้ยวมาก ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวจนน่ากลัว

 

“ถ้าเจ้าไม่ต้องการให้ข้าปิดปากอันสกปรกของเจ้าตลอดไป อย่าให้ข้าได้ยินเรื่องไร้สาระของเจ้าอีกครั้ง” หลินเฟิงกล่าวขณะเดียวกันก็ปรากฏเจตนาฆ่าเล็ดลอดออกมา เห็นได้ชัดว่าจั่วชิวรีบปิดปากของเขาลงทันที แต่เขายังคงดูโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก เขาไม่กล้าพูดอะไรสักคำ

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า…พวกเขาช่างหยิ่งยโสจริงๆ ผู้บ่มเพาะร่ำรวยและมีชื่อเสียงอะไรกัน นี่มันตลกจริงๆ แม้แต่การโจมตีเพียงครั้งเดียวก็ไม่สามารถต้านทานได้ ขยะจริงๆ” ใครบางคนในฝูงชนกล่าว พวกเขาต้องการยั่วยุให้จั่วชิวโจมตีหลินเฟิง ไม่เพียงแต่จั่วชิวจะไม่สามารถตบหลินเฟิงได้ แต่เขากล้าถูกหลินเฟิงตบกลับมาถึง 2 ครั้ง มันทำให้บรรดาผู้บ่มเพาะพลังที่ร่ำรวยและมีชื่อเสียงได้รับความอัปยศเป็นอย่างมาก ซึ่งก่อนหน้านี้พวกเขาได้ทำตัวหยิ่งยโส มันทำให้พวกเขารู้สึกราวกับถูกตบหน้า

 

“จั่วชิว เจ้ามันเป็นความอัปยศต่อตระกูลจั่ว” ไป๋เจ๋อกล่าว ทำให้จั่วชิวรู้สึกอับอายกับการกระทำของตัวเอง จั่วชิวได้รับความอับอายไปแล้ว แต่ไป๋เจ๋อก็ดูถูกเขาอย่างไร้ความปรานี ทำให้จั่วชิวโกรธ

 

แต่เมื่อจั่วชิวนึกได้ว่าตระกูลไป๋แข็งแกร่งขนาดไหน เขาควบคุมสติอารมณ์ของตัวเอง และทนต่อคำด่าทอ

 

ในขณะนั้นหลินเฟิงเริ่มจ้องมองไปที่ไป๋เจ๋อ ทำให้ไป๋เจ๋อรู้สึกประหลาดใจ และสงสัยว่าหลินเฟิงต้องการอะไร ไป๋เจ๋อหดตาลงและจ้องมองไปที่หลินเฟิง

 

“เมื่อตะกี้นี้ ไม่ใช่ว่าเจ้าพูดกับจั่วชิวให้ตบหน้าข้าสัก 2-3 ครั้งหรอกหรือ?” หลินเฟิงกล่าวกับไป๋เจ๋ออย่างไม่แยแส ทำให้ฝูงชนตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง

 

หลินเฟิงต้องการต่อสู้อีกครั้ง?

 

หลินเฟิงเริ่มโกรธมากขึ้นเรื่อยๆและหมดความอดทน เมื่อเขาเห็นว่าไป๋เจ๋อไม่ตอบคำถามของเขา

 

“เจ้าสั่งให้เขาตบหน้าข้า แต่เขากลับทำล้มเหลว ทำไมตอนนี้เจ้าไม่ลองทำมันด้วยตัวเองล่ะ? หรือว่าเจ้าไม่กล้าที่จะแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเจ้าพูดถูก เกี่ยวกับความจริงที่ว่าผู้บ่มเพาะที่ร่ำรวยและมีชื่อเสียงเป็นผู้บ่มเพาะพลังที่ดีที่สุด?” หลินเฟิงกล่าวคำพูดของเขาดังไปทั่วในหมู่ฝูงชน ในขณะนั้นบรรดาผู้บ่มเพาะพลังที่ไม่ได้มาจากครอบครัวที่มั่งคั่งและมีชื่อเสียงเริ่มหัวเราะและหัวเราะให้ไป๋เจ๋อ

 

“ไป๋เจ๋อ เจ้าถูกยั่วยุและทำให้เจ้าอับอายขายหน้า เจ้ากำลังทำอะไรอยู่? หรือว่าเจ้าหวาดกลัวมัน?”

 

“ไป๋เจ๋อ ทำไมเจ้าไม่พูดว่าผู้บ่มเพาะพลังที่ร่ำรวยและมีชื่อเสียงดีกว่าผู้บ่มเพาะพลังทั่วๆไปล้านๆเท่ากัน? ทำไมเจ้าไม่สามารถพิสูจน์คำพูดของเจ้าด้วยการกระทำล่ะ? แสดงให้พวกข้าเห็น หรือว่าผู้บ่มเพาะพลังที่ร่ำรวยและมีชื่อเสียงจะเป็นพวกชอบคุยโอ้อวด?”

 

ทุกคำพูดที่รุนแรงเหล่านี้พุ่งเข้าไปในหูของผู้บ่มเพาะพลังที่ร่ำรวยและมีชื่อเสียงทุกๆคน พวกเขาและผู้บ่มเพาะพลังทั่วๆไปต่างจ้องมองไปที่ไป๋เจ๋อและรอคำตอบของเขา…

 

***************************************************************************************

 

ติดตามได้ที่ – 

ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
comments