ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปไป๋เจ๋อยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน เสื้อผ้าราคาแพงไม่อาจเก็บซ่อนใบหน้าที่ชั่วร้ายของเข้าได้ ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวอย่างหน้ากลัวคล้ายกับปีศาจ
คำพูดของหลินเฟิงทำให้เขาโกรธถึงขีดสุด ถ้าเขาไม่สู้ก็จะถูกผู้คนเยาะเย้ย
สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างหลินเฟิงและจั่วชิวก่อนหน้านี้ไม่อาจที่จะวัดระดับพลังที่แท้จริงของหลินเฟิงได้ สิ่งเดียวที่ผู้คนมั่นใจก็คือหลินเฟิงต้องแข็งแกร่งกว่าจั่วชิวแน่นอน
“แม้ว่ามันจะมีอายุราวๆแค่ 16 ปีแต่ก็มีพลังที่น่ากลัว มันน่าจะอยู่จุดสูงสุดของขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 2 และแข็งแกร่งกว่าจั่วชิวมาก” ไป๋เจ๋อคิดขณะพยายามสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง เขาทะลวงสู่ขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 3 และสามารถเอาชนะจั่วชิวได้อย่างง่ายดายหากเขาต้องการ
ในตอนแรกไป๋เจ๋อคิดว่าหลินเฟิงเป็นเพียงแค่พวกขอทานบ้านนอกแต่ความแข็งแกร่งและบุคลิกของเขาได้ทิ้งคำถามไว้ในใจของไป๋เจ๋อแล้ว เขาเป็นคนธรรมดาจริงๆหรือ? ลักษณะภายนอกของหลินเฟิงไม่เข้ากับความแข็งแกร่งและบุคลิกของเขาแม้แต่น้อย
ไป๋เจ๋อไม่มั่นใจเพราะสำหรับเขา ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะก็ไม่ได้ประโยชน์ใดๆเลยแม้แต่น้อย
แม้ว่าไป๋เจ๋อจะชนะก็จะไม่มีใครยอมรับความแข็งแกร่งของเขา เห็นได้ชัดว่าการเอาชนะตัวตนอันต่ำต้อยเช่นหลินเฟิงได้ก็เป็นเพียงเรื่องธรรมดา ไม่มีใครคิดว่าเป็นสิ่งที่น่าภูมิใจแม้แต่น้อย บางคนอาจจะคิดว่าเขาใช้พลังในการกลั่นแกล้งผู้ที่อ่อนแอกว่า อย่างไรก็ตามเขาถูกทำให้เสียหน้าอย่างมาก แล้วเขาจะอยู่เฉยๆโดยไม่ทำอะไรได้อย่างไร?
“เจ้าแน่ใจที่จะแสดงความแข็งแกร่งของเจ้าต่อหน้าข้า?” ไป๋เจ๋อถามด้วยน้ำเสียงที่ชั่วร้าย ลักษณะการพูดของเขาทำให้หลินเฟิงนึกถึงเหวินเริ่นเหยียน
“แน่นอน” หลินเฟิงพยักหน้า
“เจ้าคิดถึงผลที่ตามมาหรือยัง? ถ้าข้าแสดงความแข็งแกร่งของข้าออกมา ข้ามันใจเลยว่ามันจะทำให้เจ้าเสียใจไปตลอดชีวิต”
“ฮ่าๆๆๆ” หลินเฟิงหัวเราะในขณะที่มีประกายแสงในดวงตาของเขา “ผู้บ่มเพาะพลังจากตระกูลชั้นสูงนี่ปากดีกันจริงๆ ข้าเริ่มรู้สึกคุ้นเคยกับการพูดแบบนี้ของพวกเจ้าแล้ว เจ้าไม่จำเป็นที่จะต้องพูดให้มากความ ข้าได้ยินเรื่องไร้สาระมามากพอแล้วในวันนี้”
ในขณะเดียวกันหลินเฟิงก็เหลือบมองไปที่จั่วชิว ทั้งจั่วชิวและไป๋เจ๋อต่างก็มองมาที่เขาเช่นกัน
“ฮ่าๆๆ เจ้าได้ยินหรือยัง? ไป๋เจ๋อเจ้าควรหยุดพล่ามได้แล้ว”
“ใช่ พวกคนจากตระกูลชั้นสูงและร่ำรวยเหล่านี้ดูเหมือนจะแข็งแกร่ง แต่ก็แค่ดูเหมือนล่ะนะ…”
ผู้คนธรรมดากลายเป็นตื่นเต้น แต่ผู้บ่มเพาะพลังที่มาจากตระกูลชั้นสูงดูเหมือนจะโกรธเกรี้ยวอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งไป๋เจ๋อ
“เจ้าแน่ใจแล้วนะถึงผลที่ตามมา?” ไป๋เจ๋อกล่าวขณะที่เดินออกมาจากกลางฝูงชน
“เจ้าเคยเห็นถึงผลลัพธ์ที่ตามมาของการเรียกข้าว่าขอทานหรือไม่?” หลินเฟิงกล่าวขณะก้าวเดิน ปราณที่ดุดันและทรงพลังเริ่มเล็ดลอดออกมาจากร่างกายของเขา
“ข้าคือชนชั้นสูงผู้ร่ำรวยและเป็นสมาชิกของตระกูลไป๋ในเมืองจักรพรรดิ ข้ายังอายุไม่ถึง 18 ปีแต่ก็ทะลวงสู่ขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 3 แล้ว ข้ามีสถานะที่สูงส่งและถือว่าเป็นอัจฉริยะ ข้าสามารถทำทุกสิ่งที่ข้าต้องการได้ การที่บอกว่าเจ้าเป็นขอทานมันผิดตรงไหน? หรือว่ามันไม่ใช่ความจริง?” ไป๋เจ๋อกล่าวอย่างอวดดี ปราณที่รุนแรงและเยือกเย็นพุ่งตรงไปที่หลินเฟิง ดูเหมือนว่าจุดประสงค์ของการโจมตีนี้คือการทำลายอวัยวะทั้งหมดของหลินเฟิง ไป๋เจ๋อใช้ออกด้วยพลังทั้งหมดของเขา
“ข้าเกิดเป็นคนธรรมดาและไม่ได้มีเงินทองมากมาย ข้ามักจะพึ่งพาตัวเองเพื่อให้ก้าวหน้า ข้าอายุแค่ 16 ปีและทะลวงสู่ขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 3 แล้ว เจ้าสามารถที่จะเทียบกับข้าได้หรือไม่?” คำพูดของหลินเฟิงเปรียบเสมือนคมดาบ ทันใดนั้นปราณดาบและอำนาจพลังก็แผ่ปกคลุมไปทั่วชั้นบรรยากาศ
ทั้งผืนปฐพีและท้องนภาเริ่มปล่อยเสียงดังก้อง ฝูงชนต่างตกตะลึง หลินเฟิงเพิ่งอายุได้ 16 ปีและมีระดับการบ่มเพาะเทียบเท่ากับไป๋เจ๋อ พวกเขาทั้ง 2 คือผู้ที่บรรลุขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 3 อย่างไรก็ตามไป๋เจ๋อเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ดีกว่าหลินเฟิง เขามีทุกสิ่งที่เขาต้องการเพื่อใช้ในการบ่มเพาะพลัง นอกจากนี้เขายังอายุมากกว่าหลินเฟิงถึง 2 ปี ช่องว่างระหว่างพวกเขาใหญ่เกินไป
“ศิษย์ที่โดดเด่นเช่นนี้กลับไม่มีจดหมายแนะนำของสำนักสวรรค์?” บางคนถึงกับมึนงงเมื่อคำนึงถึงความสามารถที่น่าเหลือเชื่อของหลินเฟิง
จั่วชิวผู้ยืนอยู่ด้านข้างของจงหลิงไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เขาได้ด่าทอหลินเฟิงไว้มากมายและยังเยาะเย้ยหลินเฟิงที่ไม่มีจดหมายแนะนำ แต่ในตอนนี้เขาตระหนักได้ว่าหลินเฟิงมีพรสวรรค์และความสามารถเหนือกว่าพวกเขาทุกคน แม้แต่ไป๋เจ๋อเองก็สูญเสียความภาคภูมิใจเมื่อยืนอยู่ต่อหน้าหลินเฟิง
เส้นทางการบ่มเพาะพลังนั้นมีมากมาย แม้พวกเขาล้วนมีเป้าหมายเดียวกันคือต้องการอยู่เหนือผู้อื่น
แรงกดดันที่น่าหวาดกลัวของหลินเฟิงกดทับร่างกายของไป๋เจ๋อไว้ ทำให้ไป๋เจ๋อรู้สึกราวกับว่าไร้พลังที่จะต่อต้าน เขากล่าวว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะดังนั้นเขาจึงไม่สามารถที่จะยอมแพ้ง่ายๆได้ เขาถอยหลังไปสองสามก้าวและปลดปล่อยพลังออกมาเพื่อยับยั้งแรงกดดันของหลินเฟิง ไป๋เจ๋อไม่คิดว่าความจริงแล้วมันจะทำให้เขายิ่งลำบาก พลังของหลินเฟิงแข็งแกร่งเกินไป มันยังคงรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
“บนเส้นทางการบ่มเพาะนอกเหนือจากความรวดเร็วในการก้าวหน้า การเข้าใจทักษะและเทคนิคอย่างท่องแท้ก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ อย่างไรก็ตามแน่นอนว่าจิตวิญญาณเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด จิตวิญญาณก็คือวิญญาณ จิตวิญญาณของข้าคือจิตวิญญาณงูขาว เจ้าจะต่อกรกับข้าได้อย่างไร?” ไป๋เจ๋อผู้ซึ่งถูกบังคับโดยแรงกดดันจากหลินเฟิงกล่าว เขาปลดปล่อยจิตวิญญาณออกมา ทันใดนั้นได้มีร่างเงาของงูและดวงตาที่ชั่วร้ายของมันปรากฏขึ้นเหนือร่างของเขา พวกมันจ้องมองหลินเฟิงอย่างชั่วร้าย
“อย่างที่คิดเป็นจิตวิญญาณประเภทสัตว์อสูร” หลินเฟิงยิ้ม
“แน่นอน จิตวิญญาณก็คือวิญญาณแต่ยังมีบางคนที่ไม่คำนึงถึงจิตวิญญาณของตัวเอง มันไม่สามารถที่จะต่อกรแม้เพียงการโจมตีครั้งเดียวได้” หลินเฟิงกล่าวอย่างไม่แยแส เขาใช้เทคนิคเคลื่อนที่ดั่งเงาจันทราและปรากฏตัวเบื้องหน้าไป๋เจ๋อจากนั้นก็ยกนิ้วขึ้น
“รนหาที่ตาย!”ไป๋เจ๋อกล่าวอย่างเย็นชา หลินเฟิงดูถูกเขาด้วยการโจมตีที่ใช้เพียงแค่นิ้วเดียว
ไป๋เจ๋อเริ่มขยับมือของเขาเพื่อป้องกันการโจมตีตามด้วยจิตวิญญาณงูขาว แต่ทันใดนั้นเขาก็ต้องประหลาดใจ เพราะปราณที่แข็งแกร่งและทรงพลังได้ปะทะเข้ากับร่างกายของเขา นิ้วของหลินเฟิงเปรียบเสมือนดาบ บรรยากาศเต็มไปด้วยปราณแห่งความตาย มันน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก
“ข้าไม่สามารถเผชิญหน้ากับการโจมตีจากนิ้วนั้นได้” ไป๋เจ๋อคิด ทันใดนั้นเขาก็เริ่มตื่นตระหนก เขารู้สึกว่านิ้วมือของหลินเฟิงกำลังที่จะปลิดชีพเขา
ปราณของหลินเฟิงยังคงกระจายไปทั่วบรรยากาศแต่ไม่สามารถมองเห็นได้ ฝูงชนต่างไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น แต่สำหรับไป๋เจ๋อทุกอย่างนั้นชัดเจน เขาถูกล้อมไปด้วยปราณดาบ เขารู้สึกว่าสามารถถูกบดขยี้ได้ทุกเมื่อ
“ฉึกก”
ไป๋เจ๋อรู้สึกเจ็บปวดอย่างมากมือของเขาปรากฏรอยเลือดออกมา เขาไม่สามารถต้านทานแรงกดดันจากการโจมตีได้อีกต่อไป ร่างกายของเขากำลังถูกบดขยี้และเกิดบาดแผลทั่วร่างกาย
“หนี” ไป๋เจ๋อตัดสินใจที่จะหนี แต่นิ้วของหลินเฟิงก็ยังคงปลดปล่อยแรงกดดันที่น่ากลัวออกมาเรื่อยๆ
“ตาย” หลินเฟิงกล่าวเพียงคำเดียว นิ้วของเขาปลดปล่อยพลังที่น่าหวาดกลัวออกมาซึ่งเริ่มฉีกกระชากอากาศ
เกิดเสียงดังกระจายไปทั่ว ไป๋เจ๋อร้องโอดครวญออกมา จิตวิญญาณงูขาวของเขาพยายามที่จะปลดปล่อยปราณที่แข็งแกร่งออกมา แต่ทันใดนั้นมันก็แตกสลายและหายไป ไป๋เจ๋อคุกเข่าลงบนพื้น
ทุกคนจ้องมองอย่างหวาดกลัวไปที่ร่างของไป๋เจ๋อ บรรยากาศถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ
“แปะ แปะ” ทันใดนั้น ทันใดนั้นฝูงชนก็เห็นเลือดไหลออกมาศีรษะของไป๋เจ๋อ
หลินเฟิงใช้เพียงแค่นิ้วเดียว แต่กลับน่าหวาดกลัวขนาดนี้!
ความหมายของหลินเฟิงก็คือบางคนที่ใช้จิตวิญญาณของพวกเขาแต่ไม่สามารถต้านทานการโจมตีเพียงครั้งเดียวได้ ในขณะที่บางคนไม่จำเป็นต้องใช้จิตวิญญาณแต่เขาก็ยังคงแข็งแกร่ง ฝูงชนรับรู้ว่าไป๋เจ๋อปลดปล่อยจิตวิญญาณของเขาออกมาแต่ไม่สามารถต้านทานการโจมตีแม้เพียงครั้งเดียวของหลินเฟิงที่ไม่ได้ปลดปล่อยจิตวิญญาณออกมาได้ มันพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าหลินเฟิงแข็งแกร่งกว่าไป๋เจ๋อมากนัก
ในตอนนี้หลินเฟิงจ้องมองไปที่ไป๋เจ๋อที่คุกเข่าลงบนพื้น เขารู้สึกประหลาดใจ เขาไม่คิดว่าเพียงหนึ่งนิ้วมือก็สามารถมอบความพ่ายแพ้ให้กับอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย ใจตอนนี้เขาพึงพอใจกับตัวเองอย่างมาก
“ข้ายังไม่อาจใช้การผสานอำนาจดาบได้อย่างเต็มที่ เฉพาะบางส่วนของร่างกายเท่านั้นที่จะใช้มันได้ ข้าเพิ่งเริ่มใช้อำนาจดาบได้เพียงไม่นาน นั่นคือเหตุผลที่ร่างกายและอำนาจดาบไม่สามารถผสานกันได้อย่างสมบูรณ์ แต่การใช้เพียงนิ้วมือในการควบคุมอำนาจของดาบก็ถือว่าน่าพอใจและเพียงพอให้ไป๋เจ๋อต้องคุกเข่า ข้าจะต้องแข็งแกร่งเท่าไหนกันนะ เพื่อจะใช้มันได้อย่างสมบูรณ์?” หลินเฟิงคิด ก่อนหน้านี้เขาพยายามให้นิ้วผสานเข้ากับอำนาจดาบของเขา และได้ก่อเกิดการโจมตีที่ทรงพลัง
หลินเฟิงก้าวหน้าอย่างมากในฐานะผู้เชี่ยวชาญดาบ เขาแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนและยังเข้าใจเกี่ยวกับดาบมากขึ้น
“ข้ายังห่างไกลจากการทำให้ร่างกายหลอมรวมกับอำนาจดาบได้อย่างสมบูรณ์ แต่ข้าก็เข้าใจมันมากขึ้นหลังจากที่ใช้มันครั้งแรก” เห็นได้ชัดว่าหลินเฟิงยังห่างไกลจากความสำเร็จของเขา เขาต้องการที่จะก้าวเดินไปที่ละขั้นเพื่อที่เขาจะสามารถควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์บนรากฐานที่มั่นคง
“แครก แครก” ไป๋เจ๋อกระอักเลือดออกมา เขายังไม่สามารถที่จะยืนได้
หลินเฟิงใช้เพียงแค่นิ้วเดียวก็เอาชนะไป๋เจ๋อที่ปลดปล่อยจิตวิญญาณออกมาได้ ไม่มีที่ไหนในโลกที่จะให้เขาซ่อนตัวจากความอัปยศในครั้งนี้
หลินเฟิงจ้องมองไปที่ไป๋เจ๋อ สายตาของเขาไม่ได้แสดงถึงความเห็นอกเห็นใจเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าบอกว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะ เจ้าคงภูมิใจที่มาจากตระกูลที่สูงส่งและร่ำรวย เจ้ายังคงเรียกข้าว่าขอทานอยู่หรือไม่ ด้วยสารรูปของเจ้าในตอนนี้?” หลินเฟิงเหยียดหยาม คำพูดของเขาทำให้ไป๋เจ๋อรู้สึกราวกับถูกตบหน้า มันเป็นการตบที่เจ็บปวดมาก มันย่ำยีความภาคภูมิใจของเขาทั้งหมด
นอกจากนี้ไม่เพียงไป๋เจ๋อเท่านั้นที่รู้สึกอัปยศ แม้แต่เหล่าลูกหลานจากตระกูลชั้นสูงต่างก็มีใบหน้าที่บิดเบี้ยว พวกเขาทั้งหมดราวกับถูกตบหน้าทางอ้อมโดยหลินเฟิง
***************************************************************************************
ติดตามได้ที่ –