ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปไม่นานก่อนหน้านี้ ทุกคนต่างเรียกหลินเฟิงว่าเป็นขอทาน
ในขณะนี้มีเพียงขอทานฝ่ายเดียวที่ตบหน้าจั่วชิวและทำให้ไป๋เจ๋อได้รับความอัปยศ แค่นั้นไม่พอเขายังตบหน้าพวกเขาทางอ้อมด้วย พวกเขาทุกคนต่างได้รับความอับอายขายหน้าเพราะคำพูดอันหยิ่งยโสของพวกเขาเอง
ถ้าหลินเฟิงเป็นขอทาน แล้วพวกเขาล่ะจะเป็นอะไร?
“พวกเจ้าทุกคนล้วนหยิ่งยโส และอวดดี ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้าจะเรียนรู้จากความผิดพลาดครั้งนี้ได้หรือไม่”
คำพูดไม่กี่คำทำให้ผู้บ่มเพาะพลังที่ร่ำรวยและมั่งคั่งโกรธมากยิ่งขึ้น
“หุบปากของเจ้าซะ ข้าจะสู้กับเจ้าเอง” กล่าวด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น ทำให้ทุกคนประหลาดใจ
“หรงเอี๋ยนอย่าท้าผู้ที่แข็งแกร่งกว่าตัวเจ้าเพราะมันจะนำพาเจ้าไปสู่ความตาย เจ้าก็เห็นการต่อสู้ของพวกเขาแล้วไม่ใช่รึ?”
ผู้คนในกลุ่มฝูงชนเริ่มพูดถกเถียงกัน ในขณะนั้นได้มีชายชราคนหนึ่งกล่าว: “ให้ข้าพูด!”
ทุกคนหยุดพูดคุยทันทีเมื่อได้ยินเสียงของชายชรา ในสำนักสวรรค์ อาจารย์ผู้ฝึกสอนทุกคนล้วนแข็งแกร่ง ผู้บ่มเพาะที่สูงส่งและร่ำรวยไม่กล้าที่จะทำให้อาจารย์เสียหน้า
ในเมืองจักรพรรดิ มีผู้บ่มเพาะพลังที่มั่งคั่งและสูงส่งมากมาย ในสำนักสวรรค์ไม่มีอาจารย์คนใดไม่มีชื่อเสียงหรือไม่โด่งดังมาก่อนในอดีต อาจารย์ของพวกเขามีความรอบรู้มากมายและจากตระกูลที่ร่ำรวยและสูงส่ง
“หยุดก่อปัญหาได้แล้ว อย่าลืมว่าวันนี้เป็นวันอะไร” ชายชรากล่าวขณะเหลือบมองไปยังฝูงชน ทุกคนเงียบลงทันที
ชายชราเดินตรงไปหาไป๋เจ๋อและกล่าวอย่างเย็นชาว่า: “ลุกขึ้น”
ไป๋เจ๋อเงยหน้ามองชายชรา เขาดูละอายใจ เพราะเขาได้รับความพ่ายแพ้จากการโจมตีด้วยนิ้วมือเพียงนิ้วเดียว เขาได้รับความอับอายขายหน้าอย่างสมบูรณ์ จากวันนี้เป็นต้นไปทุกคนจะหัวเราะเยาะเขาตลอดเวลาจากเห็นการณ์ครั้งนี้
“ท่านอาจารย์” ไป๋เจ๋อกล่าวขณะลุกขึ้น เขาก้มต่ำมองพื้น เขาอับอายขายหน้าเป็นอย่างมาก
“หึ เจ้ายังมีหน้ามาเรียกข้าว่าอาจารย์อีกรึ” คำพูดของชายชราทำให้ใบหน้าของไป๋เจ๋อกลายเป็นสีแดง อาจารย์ด่าทอเขาทำให้เกิดฉากอันน่าอับอายนี้ขึ้น
“เส้นทางแห่งการบ่มเพาะพลังเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่งและเป็นนักสู้ที่ยอดเยี่ยม แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายของการบ่มเพาะพลัง สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ การมีจิตใจที่เข้มแข็ง ในทวีปนี้มีผู้บ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่งอยู่มากมาย ไม่มีใครคิดว่าตัวเองเป็นผู้บ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก มันไม่สำคัญว่าความสามารถตามธรรมชาติหรือว่ามีความแข็งแกร่งแค่ไหน มันจะต้องมีใครบางคนแข็งแกร่งกว่าเจ้าอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีจิตใจที่เข้มแข็งและตระหนักถึงตัวตนของตัวเอง การต่อสู้ชนะมันไม่เกี่ยวข้องกับเกียรติยศหรือศักดิ์ศรี แต่มันเป็นเพียงเป้าหมายส่วนตัวและความสำเร็จ การพ่ายแพ้การต่อสู้มันไม่ใช่เรื่องที่น่าอับอาย มันทำให้เจ้าได้เรียนรู้และปรับปรุงตัวเอง แม้ว่าในกรณีที่พ่ายแพ้ เจ้าความแน่วแน่และไม่ยอมแพ้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากต่อสู้พ่ายแพ้ เจ้าควรมุ่งมั่นให้มากยิ่งขึ้นเพื่อกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งมากกว่านี้” ชายชรากล่าวกับไป๋เจ๋อ ทำให้หัวใจของไป๋เจ๋อเริ่มเต้นเร็วขึ้น คำพูดพวกนี้ดังกังวาลอยู่ในใจของเขา เช่นเดียวกับเสียงกลองยามค่ำคืน และเสียงระฆังตอนเช้า
“ท่านอาจารย์ ข้าเข้าใจแล้วขอรับ” ไป๋เจ๋อกล่าวขณะโค้งคำนับให้ชายชรา
“ถ้าเจ้าเข้าใจมันก็ดีแล้ว ตอนนี้กลับไปก่อน และอย่าลืมค้นหาวิญญาณของเจ้า การรู้แจ้งเป็นสิ่งที่สำคัญ” ชายชรากล่าวอย่างไม่แยแส หลังจากนั้นชายชราหันหลังกลับไปมองหลินเฟิง
หลิงเฟิงก็เริ่มจ้องมองชายชราเช่นกัน และรู้สึกประหลาดใจ อาจารย์ท่านนี้ฉลาดหลักแหลมมากๆ และเป็นประโยชน์ต่อลูกศิษย์อย่างมาก เขาเพียงแค่พูดประโยคไม่กี่ประโยคและทำให้ไป๋เจ๋อเปลี่ยนความของเขาได้อย่างง่ายดาย ถ้าเขาไม่ได้ทำเช่นนั้นกับไป๋เจ๋อ ไป๋เจ๋อคงตะเกียกตะกายก้าวเดินบนเส้นทางแห่งการบ่มเพาะพลังของเขา
อย่างไรก็ตาม แม้ชายชราผู้นี้จะเป็นอาจารย์ที่น่าอัศจรรย์ แต่เขายังคงเป็นอาจารย์ของสำนักแห่งนี้ และหลินเฟิงไม่ใช่ศิษย์ของที่นี่ นอกจากนี้เขายังเป็นคนทำให้ศิษย์ของสำนักสวรรค์แห่งนี้ได้รับความอัปยศ
“ระหว่างวันลงทะเบียน เจ้ามาที่นี่และก่อปัญหาขึ้น ข้าอยากจะถามเจ้า อะไรคือแรงจูงใจที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดที่เจ้าก่อขึ้นกัน?” ชายชราถามขณะจ้องมองหลินเฟิง ทำให้หลินเฟิงรู้สึกประหลาดใจ
หลินเฟิงเป็นคนก่อให้เกิดปัญหา? เขาพยายามไม่สนใจพวกมันตั้งแต่แรกเริ่ม
“ทำไมเจ้าถึงมายั่วยุและดูถูกศิษย์ของข้าหน้าสำนักเช่นนี้?” ชายชราถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น
ผู้บ่มเพาะพลังที่สูงส่งและร่ำรวยปรากฏรอยยิ้มอยู่ตรงมุมปากของพวกเขา อาจารย์ของสำนักแห่งนี้พวกเขาไม่ได้เป็นเพียงแค่อาจารย์เท่านั้น แต่พวกเขายังเป็นสมาชิกของตระกูลที่สูงส่งและมั่งคั่ง
หลินเฟิงช่างโชคร้ายเสียจริง เขาได้ทำให้อาจารย์ของสำนักแห่งนี้โกรธ
ศิษย์ที่มาจากครอบครัวและตระกูลธรรมดาๆ พวกเขารู้ดีว่าอาจารย์พยายามทำให้สถานการณ์มันเลวร้ายลง พวกเขารู้ว่าชายชราผู้นี้พยายามกล่าวหาหลินเฟิงในสิ่งที่เขาไม่ได้ทำ แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูด อย่างไรก็ตามชายชราผู้นี้เป็นถึงอาจารย์ของสำนักแห่งนี้ และเขาแข็งแกร่งมากกว่าผู้คนที่อยู่ที่นี่เป็นอย่างมาก เช่นเดียวกับสถานะทางสังคมของเขา ทั้งหมดที่พวกเขาสามารถทำได้คือสังเกตดูว่าหลินเฟิงจะถูกจัดการอย่างไร
หลินเฟิงดูโกรธเป็นอย่างมาก เขาคิดว่าชายชราผู้นี้ช่างน่าขันจริงๆ เขามองไปที่ชายชราและกล่าวว่า: “ข้าจำได้ว่าเมื่อจั่วชิวกล่าวว่าเขากำลังจะสอนบทเรียนให้ข้า ท่านกล่าวว่าทำได้เพราะข้าไม่มีจดหมายแนะนำ ท่านไม่คัดค้านใดๆเมื่อเขาตัดสินใจโจมตีข้า…และตอนนี้ท่านกลับมากล่าวหาข้าว่าข้ามาที่นี่เพื่อสร้างปัญหา และทำให้สำนักเสียชื่อเสียง…ข้าอยากจะถามท่านว่า นี่คือสิ่งที่ท่านสอนให้แก่ศิษย์คนอื่นๆงั้นหรือ? ความไม่ยุติธรรม และไร้ความถูกต้อง? ท่านสอนให้พวกเขาข่มขู่ผู้ที่อ่อนแอกว่างั้นหรือ?”
“สามหาว” ชายชราตะโกน เขาดูโกรธเกรี้ยวและกล่าว: “ข้ารู้ว่าข้ากำลังทำอะไรอยู่ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน? เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นอาจารย์ของข้ารึ? เจ้าตั้งใจจะทำอะไรกันแน่? อวดดีจริงๆ”
หลินเฟิงกำลังยิ้มอย่างเย็นชา ลึกๆในหัวใจของเขา เป็นเพราะชายชราผู้นี้มีความแข็งแกร่งพอที่จะข่มขู่ผู้อื่น เขาจึงข่มขู่หลินเฟิง
ตอนแรกชายชราคิดว่าจั่วชิวจะมอบความพ่ายแพ้ให้กับหลินเฟิงได้ ดังนั้นเขาจึงไม่คัดค้านการต่อสู้ แต่หลินเฟิงกลับเป็นผู้ชนะนั่นเป็นความอัปยศต่อสำนัก ทำให้ชายชราโกรธเป็นอย่างมาก
“ท่านผู้อาวุโส ทำไมท่านถึงไร้ความยุติธรรมขนาดนี้? คนอื่นต่างหากที่ท้าทายเขาก่อน” ต้วนเฟิงกล่าว เขากำลังจะใช้ชีวิตอยู่ในสำนัก และหวังว่ามันจะเป็นสถานที่ที่ดีสำหรับการเรียนรู้ เขาไม่คิดเลยว่าจะเกิดความขัดแย้งขึ้นในวันแรก
นอกจากนี้ คนอื่นยังเป็นคนก่อปัญหาขึ้น
“เจ้า หุบปากซะ! อย่าลืมว่าเจ้าเป็นศิษย์ของสำนักนี้ หรือเจ้าไม่อยากเป็นศิษย์ของสำนักนี้ต่อ?” ชายชรามองต้วนเฟิงอย่างเย็นชา และข่มขู่เขา
ต้วนเฟิงกำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่หลินเฟิงขัดจังหวะเขาเสียก่อนและกล่าว: “ต้วนเฟิง เจ้าเป็นศิษย์ของสำนักสวรรค์แห่งนี้ เรื่องนี้มันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้าเลยแม้แต่น้อย” เมื่อเขาพูดเสร็จ เขาจ้องมองไปที่ชายชราและพูดว่า: “ถ้างั้นท่านต้องการเช่นไร?”
“การทำลายชื่อเสียงของสำนักถือเป็นความผิดร้ายแรง เจ้าจะต้องตายสำหรับความผิดของเจ้า แต่วันนี้เป็นวันลงทะเบียน มันเป็นวันที่ฤกษ์งามยามดี เพราะฉะนั้นข้าจะทำลายการบ่มเพาะพลังของเจ้า” น้ำเสียงของชายชราดูเหมือนพูดคุยเรื่องปกติ แต่นัยน์ตาของเขาเผยให้เห็นเจตนาฆ่าอย่างชัดเจน
หลินเฟิงเป็นอัจฉริยะและมีความสมารถพิเศษตามธรรมชาติ แต่เขาจะเทียบเคียงกับชายชราผู้นี้ได้อย่างไร เขายังเป็นเพียงแค่ผู้เยาว์และยังคงอ่อนแอ แต่ชายชราสามารถทำลายการบ่มเพาะพลังของหลินเฟิงได้อย่างง่ายดาย ถ้าเขาต้องการทำเช่นนั้น
หลินเฟิงมีพรสวรรค์มากมาย และเขาไม่ได้เข้าร่วมสำนัก ซึ่งทำให้ชายชราต้องการทำลายการบ่มเพาะพลังของเขามากยิ่งขึ้น ด้วยวิธีนี้สำนักจะได้มีคู่แข่งน้อยลงในอนาคต บางทีหลินเฟิงอาจต้องการไปเข้าร่วมกับลานศักดิ์สิทธิ์แห่งหิมะจันทราก็เป็นได้
“ทำลายการบ่มเพาะพลังของข้า? ดูเหมือนน้ำเสียงของท่านมันจะเป็นเรื่องง่ายที่จะทำเช่นนั้น” หลินเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น คนที่แข็งแกร่งกว่าจะพูดอะไรก็ได้ พวกเขาสามารถลงมือทำได้โดยปราศจากความลังเล ถ้าพวกเขาต้องการสังหาร พวกเขาก็จะสังหาร ถ้าพวกเขาต้องการทำลายการบ่มเพาะพลังของใครบางคน พวกเขาก็จะทำลายการบ่มเพาะพลังของคนพวกนั้น มันไม่มีทางที่จะเปลี่ยนความคิดของพวกเขาได้ เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอย่างพวกเขา มันไม่สำคัญว่าบุคคลนั้นจะมีพรสวรรค์มากขนาดไหน ถ้าคนผู้นั้นไม่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขา พวกเขาก็จะกำจัดคนเหล่านั้นอย่างไม่ลังเล
โลกนี้เป็นโลกของผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด สำนัก, นิกายและที่อื่น ก็เหมือนกันหมด ความแข็งแกร่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่หลินเฟิงกลับไม่รู้หวาดกลัวใดๆเลยเมื่อมีเมิ่งฉิงอยู่กับเขา นางได้แสดงให้เขาแล้วว่านางสามารถปกป้องเขาได้ นางแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ ดังนั้นหลินเฟิงจึงไม่กังวลแม้แต่น้อย
นอกจากนี้ เมิ่งฉิงได้สัญญาณกับหลินเฟิงแล้วว่า นางสามารถปกป้องเขาได้ เมิ่งฉิงไม่ชอบพูด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพูดไปแล้วก็เท่านั้น ดังนั้นเมื่อนางเช่นนั้น นางก็จะทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน
“ท่านอาจารย์ เรื่องแค่นี้มันทำให้ท่านถึงกับต้องโกรธเลยหรือ?” ในขณะนั้นได้มีเสียงเสียงหนึ่งดังออกมา และปรากฏร่างเงาออกมาจากกลุ่มฝูงชนและกล่าวต่อ: “ชายหนุ่มผู้นี่เป็นอัจฉริยะที่แท้จริง ถ้าเขาตกลงที่จะเข้าร่วมสำนักของพวกเรา เขาจะต้องกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งและทรงพลังมากอย่างแน่นอน”
มันเป็นชายหนุ่ม เขาผมยาวสละสลวย น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนและนุ่มนวล ซึ่งทำให้ผู้คนจำนวนมากรู้สึกประหลาดใจ นอกจากใบหน้าของเขายังดูสง่างามและละเอียดอ่อนแล้วจะเรียกว่า “อ่อนหวาน” ก็ได้ มันสามารถใช้เพื่อบ่งบอกลักษณะใบหน้าของเขาได้ เพราะใบหน้าของเขาดูอ่อนหวานกว่าหญิงสาวทั่วๆไป
ชื่อของเขาคือ เวิ่นเหงาเสวี่ย
“เขาตั้งใจจะทำอะไร?” ผู้คนในฝูงชนมากมายกล่าวเมื่อพวกเขาเห็นเวิ่นเหงาเสวี่ย และเขาก็ทำให้พวกเขาประหลาดใจ เมื่อชายชราเห็นและได้ยินเสียงของเวิ่นเหงาเสวี่ย เขาก็พยักหน้า
“แล้วเจ้า? เจ้าคิดเห็นอย่างไรกับสิ่งที่เขาพูด?” ชายชราถามหลินเฟิง ทำให้ทุกคนมึนงง เวิ่นเหงาเสวี่ยกล่าวเพียงแค่พูดประโยคเดียว แต่กลับสามารถเปลี่ยนความคิดของชายชราได้
“อะไร… คือจะให้ข้าเข้าร่วมสำนักสวรรค์?” หลินเฟิงถามเวิ่นเหงาเสวี่ย หลินเฟิงส่ายหัวทันทีและกล่าวว่า: “ข้าไม่สนใจ”
“หืม?” ชายชราประหลาดใจ เขาเหลือบมองหลินเฟิงและกล่าวว่า: “เจ้าอาจจะไม่รู้สิ่งที่เจ้าจะได้รับ ข้าจะให้โอกาสเจ้า โอกาสเข้าร่วมสำนักสวรรค์ และถ้าเจ้าปฏิเสธอย่าหาว่าข้าโหดร้าย”
***************************************************************************************
ติดตามได้ที่ –