ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปขณะกำลังเดินอยู่ภายในสำนัก หลินเฟิงพบว่ามีบางคนทำตัวเป็นมิตรกับเขาขณะที่บางคนไม่ค่อยทำตัวเป็นมิตรกับเขา
อย่างเช่น หลินเฟิงมาพร้อมกับหญิงสาวคนหนึ่งที่รอยยิ้มอันแจ่มใสบนใบหน้าพร้อมกับความไร้เดียงสา แต่หญิงสาวคนอื่นๆที่มีรอยยิ้มเช่นเดียวกับนางแต่เต็มไปด้วยคิดชั่วร้าย
เขาได้เจอชายหนุ่มอีกคนหนึ่งซึ่งร่างของเขาปลดปล่อยพลังปราณอันแหลมคมและเยือกเย็นออกมา เขาดูชั่วร้ายและอันตรายอย่างไม่น่าเชื่อ
“มีอะไรแปลกงั้นหรือ?” เวิ่นเหงาเสวี่ยถามพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา เมื่อเขาสังเกตเห็นว่าหลินเฟิงดูแปลกๆเมื่อเขามองไปรอบๆ โดยเฉพาะขณะที่เขาจ้องมองคนอื่น
“พลังปราณที่พวกเขาปลดปล่อยออกมามันค่อนข้างแปลกประหลาด” หลินเฟิงตอบกลับ หลินเฟิงไม่ใช่คนเดียวที่สังเกตเห็นมัน ต้วนเฟิงและจิ้งยวิ๋นทั้งสองก็เห็นด้วยกับเขาและพยักหน้า
“เจ้าพูดถูก นี่เป็นเพราะพวกเขาอ่อนแอมากๆ นั่นแหละคือเหตุผลที่พลังปราณที่ปลดปล่อยออกมาจากพวกเขามันแปลกประหลาด” เวิ่นเหงาเสวี่ยกล่าวขณะพยักหน้า หลังจากนั้นเขาก็ยกมืออันขาวเนียนของเขาชี้ไปที่พระราชวัง แล้วกล่าว: “ในสำนักสวรรค์ มีผู้คนสามประเภทที่แตกต่างกันภายในสำนัก แต่ละคนมีเส้นทางการฝึกฝนเป็นของตนเอง นี่เป็นทางเลือกที่เจ้าต้องเผชิญเมื่อเข้าสำนัก ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าปรารถนาเป็นผู้บ่มเพาะพลังประเภทไหน แล้วข้าจะบอกว่าเจ้าว่าต้องไปที่ไหน”
“ผู้คนสามประเภท?” หลินเฟิงคิด เขารู้สึกงงงวย จากนั้นเขาจึงถาม: “อะไรคือผู้คนสามประเภท?”
“หนึ่งคนที่สามารถต่อสู้ในสนามรบขณะกำลังสั่งการทหารได้ พวกเขาเหล่านี้เป็นผู้บ่มเพาะที่ไม่เกรงกลัวการนองเลือดและความรุนแรง พวกเขาจัดอยู่ในประเภทแรก”
“สั่งการ” หลินเฟิงประหลาดใจ การฝึกฝนประเภทแรกของสำนักราวกับทหาร พวกเขาสามารถบังคับบัญชาการ ไม่เกรงกลัวการนองเลือดและต้องมีความฉลาดหลักแหลมสูงในการวางแผนกลยุทธ์ทำสงคราม
“ประเภทที่สองของการฝึกฝนมันสามารถทำให้เจ้าเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยมได้ มันจะสอนวิธีการควบคุมและจัดการกับกลุ่มที่มีอิทธิพลในเงามืดได้”
“แล้วประเภทที่สามล่ะ?” หลินเฟิงถาม เขาเป็นคนที่อยากรู้อยากเห็นมาก น่าแปลกใจผู้คนสองประเภทแรกสำนักฝึกฝนพวกเขาผู้ที่ปรารถนาเป็นผู้บัญชาการหรือผู้นำ ทำให้หลินเฟิงรู้สึกประทับใจสำนักแห่งนี้
“ประเภทที่สามจะสอนเกี่ยวกับการเคลื่อนที่อันรวดเร็วราวกับสายลมในยามค่ำคืน มันจะสอนให้เจ้ารู้วิธีพรางตัวราวกับว่าเจ้าอยู่ท่ามกลางหมอก นี่เป็นประเภทที่ลึกลับที่สุดและยังเป็นประเภทที่อันตรายที่สุดเช่นกัน โดยปกติแล้วผู้คนจะไม่เห็นตัวพวกเขาแต่ถ้าคนอื่นเห็นพวกเขาจะเกิดการนองเลือดขึ้น” เวิ่นเหงาเสวี่ยอธิบายอย่างช้าๆ และทำให้หลินเฟิงรู้สึกประหลาดใจอีกครั้ง เพราะประเภทที่สามคือฝึกฝนเพื่อเป็นนักฆ่า
“ใครเป็นคนสร้างสำนักนี้กันแน่เนี่ย?” หลินเฟิงสงสัย พวกเขาได้รับการฝึกฝนให้เป็นผู้บัญชาการทหาร ผู้นำทางการเมือง และนักฆ่า ทั้งสามประเภทนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเป็นผู้นำทั้งอาณาจักร
“หรือว่าจะเป็นจักรพรรดิ?” หลินเฟิงตั้งคำถามกับตัวเอง จากนั้นเขาก็ปฏิเสธความคิดเช่นนั้นทันที ถ้าองค์จักรพรรดิเป็นคนสร้างสำนักนี้ขึ้น แล้วทำไมเขาถึงอนุญาตให้ต้วนเทียนหลางสร้างลานศักดิ์สิทธิ์แห่งหิมะจันทราขึ้น? อย่างไรก็ตาม ถ้าจักรพรรดิเป็นคนสร้างสำนักนี้ขึ้นมาจริงๆ ทำไมเขาถึงสร้างสถานที่ที่อันตรายเช่นนี้ขึ้นกัน?
“ใครเป็นเจ้าสำนักแห่งนี้หรือ?” หลินเฟิงถามเวิ่นเหงาเสวี่ย ซึ่งทำให้เวิ่นเหงาเสวี่ยประหลาดใจ นัยน์ตาอันงดงามของเขาจ้องมองไปที่หลินเฟิงและกล่าว: “มีผู้คนจำนวนมากต้องการรู้ แต่ดูเหมือนว่าสำนักนี้มีเพียงรองเจ้าสำนักเท่านั้น พวกเราไม่เคยเห็นเจ้าสำนักด้วยสายตาตัวเองมาก่อน แต่มีสิ่งเดียวที่พวกข้ามั่นใจ เจ้าสำนักจะต้องเป็นสามาชิกของตระกูลจักรพรรดิอย่างแน่นอน เขาจะต้องมีสถานะอันสูงส่งอย่างน่าอัศจรรย์ ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะเข้าใจ”
หลินเฟิงพยักหน้าเล็กน้อย ถ้าสำนักแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยสมาชิกของตระกูลจักรพรรดิจริงๆ ถ้างั้นสำนักแห่งนี้ก็จะฝึกผู้คนเพื่อรับใช้อาณาจักร
“นี่เป็นเหตุผลที่สำนักแห่งนี้มีความรอบคอบสูงและไม่ยอมรับคนที่ไม่มีหนังสือแนะนำ มีศิษย์จำนวนมากที่มีภูมิหลัง พวกเขาทั้งหมดล้วนมีความสุขที่ได้เข้าร่วมสำนัก พวกเขารู้ว่าสำนักแห่งนี้มีสภาพแวดล้อมที่ดีเยี่ยมต่อการฝึกฝน นั่นคือเหตุผลที่ข้าสามารถรับรองได้ว่าเจ้าจะไม่เสียใจที่ได้เข้าร่วมกับสำนักแห่งนี้” เวิ่นเหงาเสวี่ยกล่าวขณะพยักหน้าเล็กน้อย
“โอ้ จริงสิ เจ้าอาจจะรู้จักชื่อของข้าแล้ว แต่ข้ายังไม่รู้จักชื่อของเจ้าเลย”
“หลินเฟิง”
“หลินเฟิงรึ เป็นชื่อที่ดี” เวิ่นเหงาเสวี่ยกล่าว จากนั้นเขาก็กล่าวว่า: “ข้าเพียงแค่บอกเจ้าเกี่ยวกับสามประเภทของการฝึกฝนที่สามารถเลือกได้ในสำนัก สำนักมีศิษย์ที่มาจากตระกูลที่มั่งคั่งและสูงส่งมากมาย ดังนั้นพวกเขาส่วนใหญ่จึงเลือกประเภทที่สองเพราะพวกเขาต้องการทำสิ่งที่คล้ายคลึงกับพ่อแม่ของเขา พวกเขาต้องการมีความรับผิดชอบมากขึ้นเมื่อพวกเขากลับไปหาครอบครัวของเขา มีคนธรรมหลายคนพยายามเรียนรู้ทักษะเหล่านี้แต่ต่อมา เมื่อพวกเขาต้องการที่จะครอบครองหน้าที่ดังกล่าวพวกเขาเขามักพบกับปัญหามากมาย”
“ชายหนุ่มผู้เลือดร้อนจากครอบครัวสูงส่งและครอบครัวธรรมดาจะเลือกประเภทแรกและกลายเป็นผู้บัญชาการ ประเภทที่สามเป็นประเภทที่ผู้คนเลือกน้อยที่สุด มันเป็นประเภทที่อันตรายที่สุด ไม่มีใครรู้ว่าจริงๆแล้วเขาฝึกฝนอะไรที่นี่ และเต็มไปด้วยความลึกลับ”
หลินเฟิงตั้งใจฟังสิ่งที่เวิ่นเหงาเสวี่ยกล่าวให้เขาฟัง คนธรรมดาต้องการเติบโตขึ้นในระดับชั้นทางสังคม มันเป็นเรื่องยากมากๆที่จะเติบโตได้หากไม่มีภูมิหลังสนับสนุน พวกเขาต้องติดต่อกับผู้มีอำนาจเพื่อให้ได้ตำแหน่งที่สูงขึ้น
ส่วนประเภทที่สามเมื่อพิจารณาแล้ว มันเป็นทางเลือกที่ยากเมื่อคำนึงถึงเหตุผล เมื่อใดก็ตามที่นักฆ่าออกมา ชีวิตของผู้นั้นก็ตกอยู่ในอัตรายแล้ว
“แน่นอนมันยังมีปัจจัยอื่นๆอีกที่ต้องพิจารณา จิตวิญญาณและความสามารถตามธรรมชาติของศิษย์ก็มีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจของพวกเขา อย่างไรก็ตามมันไม่สำคัญว่าจะเลือกประเภทไหน สิ่งที่สุดคัญที่สุดคือมันจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้ ถ้าผู้บ่มเพาะพลังไม่แข็งแกร่งทุกสิ่งทุกอย่างก็จะไม่มีประโยชน์ เพราะความแข็งแกร่งและจิตใจมีความสำคัญอย่างมากบนเส้นทางบ่มเพาะพลัง มันไม่สำคัญว่าเจ้าอยากจะเรียนรู้อะไร ถ้าเจ้าต้องต่อสู้กับใครบางคนที่แข็งแกร่งกว่าเจ้า เจ้าก็จะต้องถูกฆ่าตายเพราะอ่อนแอกว่าพวกเขา”
เวิ่นเหงาเสวี่ยมองไปที่หลินเฟิงและกล่าว: “หลินเฟิง เจ้าคิดให้รอบคอบล่ะ เจ้าต้องการเรียนรู้ประเภทไหน?”
“ประเภทแรก” หลินเฟิงตอบกลับอย่างรวดเร็ว
หลินเฟิงไม่ชอบประเภทที่สองเพราะมันต้องลดตัวลงมามาวางแผนและต่อสู้กับพลเมือง เขาไม่สนใจที่จะใช้คนอื่นเพื่อประโยชน์ของเขา นอกจากนี้เขาคิดว่าประเภทที่สามไม่มีประโยชน์ ดังนั้นประเภทแรกเหมือนจะเหมาะสมกับเขามากที่สุด เขาสามารถใช้ทักษะเหล่านี้ในการต่อสู้จริงได้
“ผู้บ่มเพาะพลังที่เลือกประเภทแรกจะต้องมีความกล้าหาญ, เลือดร้อนและจงรักภักดี”
“เลือดร้อน และความกล้ามันไม่มีปัญหาสำหรับข้า…แต่ความจงรักภักดี? ภักดีต่อใคร?” หลินเฟิงถามเวิ่นเหงาเสวี่ย เขารู้สึกประหลาดใจ
“อย่ามองข้าแบบนั้น ข้าก็ไม่ได้รู้ซะไปทุกอย่าง” เวิ่นเหงาเสวี่ยตอบขณะแสดงออกราวกับผู้หญิงในสายตาของเขา
“หลินเฟิง ข้าจะพาเจ้าไปยังสามารถที่ที่เจ้าจะต้องไป”
“แล้วเจ้าล่ะ? เจ้ายังไม่ได้บอกประเภทที่เจ้าเลือกเลย?” หลินเฟิงถามเวิ่นเหงาเสวี่ย เวิ่นเหงาเสวี่ยเขาดูคล้ายกับผู้หญิง เห็นได้ชัดเขาต้องมาจากครอบครัวที่สูงส่ง แต่เขาดูไม่หยิ่งเหมือนคนอื่นๆ และดูไม่ค่อยมีความกล้าหาญเท่าไหร่ และไม่ได้เป็นคนเลือดร้อน
“ลองเดาดูสิ”
“ประเภทที่สาม” หลินเฟิงตอบกลับปราศจากความลังเล ซึ่งทำให้เวิ่นเหงาเสวี่ยแปลกใจ หลังจากนั้นเขายิ้มและเงียบ
“ต้วนเฟิงแล้วเจ้าล่ะ?” หลินเฟิงถาม
“ข้า?” ต้วนเฟิงกล่าวขณะยิ้ม “ข้าจะเลือกประเภทแรกเหมือนพี่ใหญ่หลินเฟิง”
“ยอดเยี่ยม ถ้างั้นไปด้วยกันเถอะ” หลินเฟิงกล่าวขณะยิ้ม
หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็มาถึงลานจัตุรัสขนาดใหญ่ หลายคนนั่งอยู่
“ถ้าเจ้าต้องการเลือกประเภทแรก เจ้าจำเป็นต้องผ่านการทดสอบเสียก่อน ถ้าเจ้าทดสอบผ่านเจ้าจะได้รับการยอมรับเป็นศิษย์ประเภทแรก” เวิ่นเหงาเสวี่ยอธิบายขณะมองไปที่หลินเฟิง
หลินเฟิงกล่าว: “ถ้าประเภทแรกต้องทำการทดสอบ แล้วอีกสองประเภทที่เหลือล่ะ? ทดสอบเหมือนกัน?”
“ประเภทที่สองไม่จำเป็นต้องทำการทดสอบใดๆ แต่ประเภทที่สามต้องผ่านการทดสอบก่อนและเป็นการทดสอบที่ยากที่สุด” เวิ่นเหงาเสวี่ยกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม หลินเฟิงรู้สึกประหลาดใจ คนส่วยใหญ่ไม่ค่อยสนใจประเภทที่สามแต่การทดสอบของประเภทนั้นเป็นการทดสอบที่ยากที่สุด หลินเฟิงรู้สึกงงงวย นอกจากนี้มันราวกับว่าประเภทที่หนึ่งมีคนสนใจมากมายและเป็นการทดสอบที่ง่ายที่สุด
ในลานสี่เหลี่ยมจัสตุรัสมีศิษย์ใหม่จำนวนมากพอๆกับศิษย์เก่า ในหมู่พวกเขาบางคนสังเกตเห็นเวิ่นเหงาเสวี่ยและยิ้มให้เขา
หลินเฟิงสังเกตว่าหลายคนที่เดินผ่าน หรือสังเกตเห็นเวิ่นเหงาเสวี่ยจะหลีกทางให้เขาราวกับพวกเขากลัวการปรากฏตัวของเวิ่นเหงาเสวี่ย!
หลินเฟิงรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องแปลกมาก!
***************************************************************************************
ติดตามได้ที่ –