I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Peerless Martial God ตอนที่ 118 ลานศักดิ์สิทธิ์

| Peerless Martial God | 2537 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
                

ในฐานะผู้บ่มเพาะพลัง การรักษาหน้าไว้ถือเป็นเรื่องสำคัญแต่ก็ไม่ใช่เสมอไป หลินเฟิงได้ถูกให้ออกจากการทดสอบแต่เขาไม่ไป ทุกๆคนต่างจ้องมองไปที่หลินเฟิง แม้ว่าบางคนอาจจะคิดว่าเขาอาจจะทำตัวไร้สาระ และมีแต่จะทำให้ตัวเองได้รับความอับอาย หลินเฟิงยิ้มและร้องขอโอกาสครั้งที่สอง รอยยิ้มของเขาแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้สนใจว่าจะเสียหน้าหรือไม่จากการร้องขอโอกาสครั้งที่สอง

 

อย่างไรก็ตาม อาจารย์ก็เข้าใจว่าหลินเฟิงไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเท่าไหร่ เพราะเขาไม่ได้สนใจเรื่องเกียรติมากนัก ในทางตรงข้ามหลินเฟิงเป็นคนที่ดื้นรั้นและไม่เคยยอมแพ้

 

ฝูงชนรู้สึกประหลาดใจที่จู่ๆอาจารย์ตอบตกลง และมอบโอกาสครั้งที่สองให้กับหลินเฟิง น้ำเสียงของอาจารย์ฟังดูเหมือนว่าเขาเชื่อมั่นในตัวหลินเฟิง

 

“ขอบคุณมากขอรับ ท่านอาจารย์” หลินเฟิงกล่าวขณะพยักหน้า หลินเฟิงรู้สึกประทับใจอาจารย์คนนี้มาก เขาดูเป็นมิตรและเข้าถึงง่าย นอกจากนี้เขาไม่ได้ถือตัวเลยแม้แต่น้อย

 

“ข้าจะบรรเลงพิณอีกครั้ง ครั้งนี้เจ้าจะเป็นคนเดียวที่ได้รับฟังมัน” อาจารย์กล่าวอย่างไม่แยแส ทันใดนั้นเขาก็เริ่มบรรเลงอีกครั้ง อย่างไรก็ตามขณะที่เขากล่าว ฝูงชนไม่ได้ยินเสียงพิณเลยแม้แต่น้อย อาจารย์สามารถควบคุมเสียงเพลงของเขาได้อย่างไม่น่าเชื่อเพื่อให้ได้ยินเฉพาะคนที่เขาเลือกเท่านั้น

 

“แข็งแกร่งจริงๆ” ฝูงชนคิด อาจารย์ไม่เคยแสดงการควบคุมเสียงเพลงต่อหน้าพวกเขามาก่อน ในขณะนี้หลินเฟิงสามารถรู้สึกได้ถึงเสียงที่กำลังไหลเข้ามาในหูของเขา หลินเฟิงรู้สึกว่าดวงตาของเขาเริ่มหนักขึ้นภายใต้การสะกดจิต เขามุ่งความสนใจไปที่เสียงดนตรี และพยายามไม่สนใจภาพลวงตา เขารู้สึกว่าราวกับว่าตัวเขาเองค่อยๆตกอยู่ในภาพลวงตาทุกช่วงเวลาที่ผ่านไป

 

อย่างไรก็ตาม ได้เกิดเรื่องแปลกประหลาดขึ้น

 

“เห้อ…ถ้าจิตวิญญาณสวรรค์ของข้ายังคงเป็นแบบนี้เรื่อยๆ ถ้างั้นข้าก็จะไม่สามารถตกอยู่ในภาพลวงตาได้” หลินเฟิงคิด พลังปราณอันเยือกเย็นเริ่มเข้าไปในร่างกายของหลินเฟิง และไม่ได้รับผลกระทบจากภาพลวงตา เสียงพิณมีอำนาจน้อยกว่าพลังของเขา ทุกๆสิ่งที่อยู่รอบตัวเขา เขาสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน และนัยน์ตาของเขาเปิดกว้าง

 

ถึงแม้ว่าทำนองเพลงจะเหมือนกับก่อนหน้านี้ แต่นัยน์ตาของเขาก็ยังคงเปิดกว้างและจ้องมองไปที่อาจารย์ผู้ที่กำลังบรรเลงพิณอยู่

 

“หืม?” อาจารย์รู้สึกประหลาดใจเมื่อเขาเห็นหลินเฟิงไม่ตกอยู่ในภาพลวงตา เขาเริ่มบรรเลงเพลงที่แตกต่างจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิงทันที ในเวลานี้จังหวะเร็วขึ้นและทรงพลังมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามนัยน์ตาของหลินเฟิงก็ยังคงเปิดกว้างเหมือนก่อนหน้านี้

 

เขาจ้องมองไปที่อาจารย์ตั้งแต่แรกเริ่ม เขาไม่ได้ตกอยู่ในภาพลวงตา อาจารย์บรรเลงเพลงจังหวะเร็วขึ้นและทรงพลังมากขึ้นอยู่ในระดับที่ไม่สามารถนำมาใช้ในการทดสอบแบบปกติได้ นิ้วมือของเขากำลังพริ้วไหวด้วยความเร็วสูงและบรรเลงเพลงได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ดูเหมือนว่าหลินเฟิงจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ชั่วครู่ต่อมา อาจารย์ยิ้มให้เขาและบรรเลงช้าลงและช้าลงจนในที่สุดก็หยุดบรรเลง

 

เขามองไปที่หลินเฟิงและถาม: “เจ้าชื่ออะไร?”

 

“หลินเฟิง”

 

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ได้ล้มเหลวในการทดสอบครั้งแรก ขอแสดงความยินดีด้วยเจ้าสอบผ่าน” อาจารย์กล่าว ทำให้ฝูงชนตะลึง หลินเฟิงผ่านการทดสอบแล้ว? ทำไม เป็นไปได้อย่างไร?

 

ทำไมหลินเฟิงถึงไม่ถูกสะกดจิต แม้ว่าอาจารย์จะบรรเลงพิณเพื่อเขา หมายความว่ายังไงกัน?

 

“ขอบคุณขอรับท่านอาจารย์ที่มอบโอกาสครั้งที่สองให้ข้า” หลินเฟิงกล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา ถ้าอาจารย์ไม่มอบโอกาสครั้งที่สองให้กับเขา เขาคงไม่มีทางเลือกอื่น

 

“ท่านอาจารย์ เรื่องนี้มันหมายความว่ายังไงหรือขอรับ? เขาลืมตาขึ้น ทำไมเขาถึงสอบผ่านล่ะขอรับ? นอกจากนี้เขายังร้องขอโอกาสครั้งที่สอง ทำไมท่านถึงให้เขาผ่าน หลังจากที่เขาทำตัวไร้ยางอายเช่นนี้!” ชายผู้ที่ตัวสูงและกำยำเดินตรงไปหาอาจารย์ขณะถาม

 

“สิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจคือระหว่างการทดสอบครั้งแรกเขาไม่ได้ตกอยู่ในภาพลวงตาของข้า และไม่สามารถสะกดจิตเขาได้อย่างเต็มที่ เขาเพียงแค่ปิดตาของเขาลง และพักผ่อนอย่างสบายเท่านั้น มันทำให้เขาได้เห็นภาพลวงตาในช่วงสั้นๆเท่านั้น และเขาไม่ได้ตกอยู่ในการควบคุมของภาพลวงตาเลยแม้แต่น้อย ส่วนครั้งที่สอง เขาไม่ได้รับผลกระทบจากการบรรเลงพิณของข้า และยังคงตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาแม้ว่าข้าจะเพิ่มพลังเข้าไปในเสียงเพลงแล้วก็ตาม นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นฉากอันน่าทึ่งเช่นนี้ขึ้น แม้ว่าข้าจะเป็นอาจารย์ของสำนักแห่งนี้มาหลายปีแล้วก็ตาม” อาจารย์กล่าวขณะยิ้ม และส่ายหัว

 

“เขาไม่ได้รับผลกระทบจากเสียงเพลง?!” ผู้คนในฝูงชนรู้สึกมึนงง พวกเขารู้สึกประหลาดใจขณะจ้องมองหลินเฟิง และสงสัยว่าเขาเป็นมนุษย์จริงๆหรือ แม้แต่เวิ่นเหงาเสวี่ยก็ยังงงงวยว่าทำไมหลินเฟิงถึงไม่ได้รับผลกระทบจากการสะกดจิต

 

นัยน์ตาของชายสูงและกำยำเปิดกว้าง หลังจากนั้นเขาก็เดินเกาหัวและเดินตรงไปหาหลินเฟิงก่อนจะพูดว่า: “ข้าขอโทษที่ข้าพูดออกไปโดยไม่ทันคิด ข้าเข้าใจเจ้าผิดไป ถ้าเจ้าโกรธข้าก็บอกข้าได้ว่าจะให้ข้าทำอะไร เพื่อให้เจ้ายกโทษให้ข้า”

 

หลินเฟิงเงยหน้าขึ้น และเห็นชายร่างยักษ์ยืนอยู่ตรงหน้าเขา หลินเฟิงไม่ได้โกรธเขา เขาคิดว่าชายผู้นี้ตัวใหญ่จริงๆ พอๆกับหานหมาน เขาดูคล้ายกับหานหมานที่พูดไม่คิดเพราะเขาเป็นคนประเภทที่ซื่อตรง และซื่อสัตย์ เมื่อหลินเฟิงขบคิดเรื่องของหานหมาน ความรู้สึกอันหนาวเย็นก็ปรากฏขึ้นภายในหัวใจของเขา ต้วนเทียนหลาง…ต้วนหาน…

 

“เมื่อกี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ? ข้าลืมไปหมดแล้ว” หลินเฟิงกล่าวขณะยิ้ม ทำให้ชายสูงและกำยำรู้สึกประหลาดใจและยิ้มให้ เขายื่นมือใหญ่ๆของเขาออกไปหาหลินเฟิงและกล่าว: “หยวนซาน”

 

“หลินเฟิง” ทั้งคู่จับมือกันและยิ้มให้กันและกัน

 

“ความเพียร, จิตใจ, ความกล้าหาญและความแข็งแกร่งเป็นทักษะที่จำเป็นต้องมีเพื่อเป็นผู้บัญชาการที่ยอดเยี่ยม” อาจารย์กล่าวขณะพยักหน้า เขาเก็บเครื่องดนตรีของเขา และกล่าวว่า: “หลินเฟิง ถ้าเจ้าต้องการเรียนรู้วิธีการบรรเลงพิณ หรือกู่ฉินให้มาหาข้า ข้าจะสอนเจ้าเอง” เมื่อเขาพูดจบ เขาก็หันหลังกลับและจากไป

 

หลินเฟิงรู้สึกมึนงง เขายิ้มและจ้องมองไปที่ภาพเงาของอาจารย์ในขอบฟ้า และกล่าว: “ท่านอาจารย์ ข้าจะทำให้ดีที่สุดเพื่อแสดงให้ท่านเห็นว่าท่านไม่ได้ตัดสินใจผิดพลาด”

 

ทุกๆคนในฝูงชนเริ่มจ้องมองไปที่หลินเฟิงด้วยนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชมและอิจฉา ผู้บ่มเพาะที่มีทักษะดนตรีจะทรงพลังอย่างมาก

 

“ยินดีด้วยหลินเฟิง ข้าอยากเรียนรู้วิธีบรรเลงพิณหรือกู่ฉินมาตลอด แต่ท่านอาจารย์กลับไม่ยอมสอนข้า” เวิ่นเหงาเสวี่ยกล่าวขณะยิ้มให้กับหลินเฟิง

 

“ข้าก็แค่โชคดีเท่านั้นแหละ” หลินเฟิงกล่าวขณะส่ายหัวและยิ้ม

 

“ดูเหมือนเจ้าจะโชคดีบ่อยครั้งจริงๆ” เวิ่นเหงาเสวี่ยกล่าวลและกล่าวเพิ่มเติมว่า: “ตอนนี้เจ้าก็เป็นศิษย์ของสำนักแห่งนี้แล้ว ข้าจะพาเจ้าไปดูว่าพวกเรานอนหลับกันที่ไหน”

 

“ขอบคุณ ถ้างั้นไปกันเถอะ”

 

“ข้าไปด้วย” หยวนซานกล่าว

 

“เอาล่ะ เจ้าก็เป็นศิษย์ของสำนักแห่งนี้ด้วยเช่นกัน ทำไมเจ้าไม่เข้าร่วมกับกลุ่มของพวกเราล่ะ”

 

เวิ่นเหงาเสวี่ยพาพวกเขาไปที่พระราชวัง พวกเขารีบเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว หลินเฟิงเงยหน้าขึ้น และประหลาดใจเพราะพระราชวังแห่งนี้มีประมาณ 20 ชั้น จากตรงกลางสามารถมองเห็นท้องฟ้าจากหลังคาที่เปิดอยู่ได้

 

“ห้องพักทุกห้องเป็นห้องพักของศิษย์ เจ้าควรเลือกห้องพักของเจ้าก่อน ส่วนตรงกลางเป็นห้องสำหรับฝึกฝนภายใต้ท้องฟ้าที่เปิดกว้าง”

 

พระราชวังนั้นมีขนาดใหญ่มากๆ มีพื้นที่ว่างมากมายภายใน หลินเฟิงเห็นว่าห้องพักทุกห้องมีขนาดใหญ่มากๆและมีพื้นที่อยู่อาศัยหลายส่วนอยู่ภายในราวกับว่ามันเป็นบ้านขนาดใหญ่ มันมีพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ซึ่งแบ่งออกเป็นหลายๆส่วนอยู่ภายในห้องนั้น

 

“ทุกห้องเหมือนกันหมด ถ้าเจ้าต้องการเลือกห้องที่ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของก็จะไม่มีปัญหา ทำตามที่เจ้าต้องการภายในพระราชวัง มีเพียงสิ่งเดียวที่เจ้าต้องรู้ไว้ว่ามีทั้งชายและหญิงอาศัยอยู่ที่นี่ดังนั้นเคารพนับถือกันด้วย นอกจากนี้ยังมีบางคนที่ชอบความสงบและไม่ชอบถูกรบกวน อย่าเข้าไปในพื้นที่ที่มีพวกเขาอยู่จนกว่าพวกเขาจะอนุญาต”

 

“เข้าใจแล้ว” หลินเฟิงกล่าวขณะพยักหน้า เขาไม่ได้มีสิทธิพิเศษใดๆ เมื่อมาถึงที่อยู่อาศัยของเขา เขาหวังว่าจะพบห้องว่าง เพื่อที่เขาและสหายจะได้อยู่เคียงข้างกันได้

 

“ถ้างั้นข้าเลือกห้องนี้” หลินเฟิงชี้นิ้วไปยังประตูหิน จิ้งยวิ๋น และต้วนเฟิงเลือกที่จะอยู่อาศัยห้องถัดไปติดกับหลินเฟิง ส่วนหยวนซานเลือกห้องที่อยู่ติดกับต้วนเฟิง

 

“แล้วเจ้าล่ะ?” หลินเฟิงถามเมิ่งฉิง

 

“ข้าสามารถอยู่กับเจ้าได้” เมิ่งฉิงกล่าวอย่างเฉยเมย น้ำเสียงของนางฟังดูสงบตลอดเวลา อย่างไรก็ตามหลินเฟิงก็ยังคงรู้สึกประหลาดใจ

 

เวิ่นเหงาเสวี่ยมองหลินเฟิงและยิ้ม สายตาที่แสดงออกมาของเวิ่นเหงาเสวี่ยทำให้หลินเฟิงรู้สึกอึดอัดมาก……

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า ควาดคิดเช่นนั้นก็ไม่เลว!” หยวนซานหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง หลินเฟิงเหลือบมองเขา และทำให้เขารู้สึกอึดอัดมากขึ้น

 

“เอาล่ะ นั้นมันเป็นความคิดที่ดี ข้าจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดีเลย” หลินเฟิงกล่าว ทำให้ต้วนเฟิงรู้สึกประหลาดใจ หลินเฟิงต้องการดูแลเมิ่งฉิง?!

 

“พี่ใหญ่หลินเฟิงช่างเป็นคนที่ยอดเยี่ยมจริงๆ” ต้วนเฟิงคิด แต่คำพูดไม่สามารถพูดออกมาจากปากเขาได้

 

“ถ้าพวกเราอยู่ด้วยกัน เจ้าต้องเล่าเรื่องให้ข้าฟังอย่างน้อย 10 เรื่องต่อวัน” เมิ่งฉิงกระซิบทำให้หลินเฟิงถึงกับเข่าอ่อนจนเกือบจะล้ม ช่างเป็นผู้หญิงที่โหดร้ายยิ่งนัก!

 

…………

 

เช้าวันรุ่งขึ้นภายในสำนักสวรรค์ ผู้คนเดินทางมาถึงทีละคน แต่มีจำนวนคนน้อยกว่าเมื่อวันก่อน

 

ในเมืองจักรพรรดิ มีพื้นที่สาณารณะสี่เหลี่ยมจัสตุรัสขนาดใหญ่ซึ่งมีผู้คนรวมตัวกันอยู่ และมีผู้คนจำนวนมากอยู่ก่อนแล้ว แต่ก็ยังคงมีผู้คนมาเรื่อยๆ

 

นอกลานสี่เหลี่ยมจัสตุรัสขนาดใหญ่มีประตูขนาดใหญ่ตั้งอยู่ซึ่งมีคำว่า ลานศักดิ์สิทธิ์แห่งหิมะจันทรา ถูกแกะสลักไว้

 

นั่นคือวันที่ลานศักดิ์สิทธิ์แห่งหิมะจันทรากำลังจะเปิดขึ้นอย่างเป็นทางการ หลังจากที่มีข่าวกระจายไปทั่วในหมู่ประชาชน ทำให้มีฝูงชนจำนวนมากรีบไปที่นั้นทันที บางคนหวังว่าจะได้รับการคัดเลือกให้เข้าลานศักดิ์สิทธิ์แห่งหิมะจันทรา ขณะที่บางคนมาเพื่อดูพิธี การสร้างลานศักดิ์สิทธิ์แห่งหิมะจันทราเป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่มากในประวัติศาสตร์ของอาณาจักร มันอาจเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของอาณาจักรหิมะจันทราได้ก็เป็นได้  

 

บางทีพิธีเปิดวันนี้อาจจะไม่ราบรื่นก็เป็นได้!

 

*******************************************************************************

 

ติดตามได้ที่ – 

ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
comments