ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปดูแลหลิ่วเฟย? หลินเฟิงมองหลิ่วช่างหลานอย่างว่างเปล่า และยิ้มอย่างขมขืน มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะดูแลหลิ่วเฟย
ถ้าหลิ่วเฟยมีนิสัยคล้ายคลึงกับเมิ่งฉิงล่ะก็…แต่ในตอนนี้หลินเฟิงได้อาศัยอยู่กับเมิ่งฉิง…แล้วหลิ่วเฟยล่ะ? มันเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากมากสำหรับหลินเฟิง เขาไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี
นอกจากนี้เมิ่งฉิงอยากอยู่กับเขา และนางต้องการให้เขาเล่าเรื่องราวต่างๆให้นางฟังตลอดเวลา
“ท่านลุงหลิ่วช่างหลาน ทำไมท่านถึงไว้ใจข้า?”
“ในตอนที่นิกายหยุนไห่ถูกทำลาย พวกเขาต่างเสียสละชีวิตของตนเพื่อปกป้องเจ้า ถ้าข้าไม่สามารถไว้วางใจเจ้าได้ คงไม่มีใครในโลกใบนี้ที่ข้าสามารถไว้ใจได้” หลิ่วช่างหลานกล่าวขณะมองหลินเฟิง จากนั้นเขาก็ยิ้มออกมาและกล่าว: “นอกจากนี้ ข้าคิดว่าหลิ่วเฟยและเจ้าดูเหมาะสมกันมากๆ ถ้าเจ้าอยากดูแลนางตลอดไป ข้าจะไม่คัดค้านเลยแม้แต่น้อย”
“เอ่อ….” หลินเฟิงตกตะลึงเป็นอย่างมาก หลิ่วช่างหลานพยายามทำให้หลินเฟิง และหลิ่วเฟยหมั้นหมายกัน เพราะความงดงามอันน่าเหลือเชื่อของนางทำให้ชายธรรมดาทั่วไปยากที่จะต่อต้านข้อเสนอนี้
แน่นอน หลินเฟิงไม่ใช่ผู้ชายธรรมดา
“ท่านลุงหลิ่วช่างหลาน ถึงข้าจะไม่ใช่คนแบบนั้นก็เถอะแต่เมื่อข้าได้ฟังสิ่งที่ท่านพูดแล้ว ข้าสามารถให้คำมั่นสัญญากับท่านได้ว่าข้าจะดูแลนางให้ดีที่สุด” หลินเฟิงตอบกลับ
“หลิ่วช่างหลานยิ้ม เขาชื่นชอบหลินเฟิง จากนั้นเขาก็กล่าวว่า: “ข้าเข้าใจ ข้ารู้เจ้าไม่ใช่คนแบบนั้น หลินเฟิงแต่มันจะเป็นหน้าที่ของหลิ่วเฟย”
เมื่อหลินเฟิงได้ยินคำพูดที่คลุมเครือของหลิ่วช่างหลาน ทำให้เขาอยากจะมุดลงดินและหายตัวไปจากโลกนี้ เขารู้สึกอายมาก บางทีหลิ่วช่างหลานอาจจะเข้าใจผิดกับสิ่งที่หลินเฟิงกล่าวว่าเขาไม่ใช่คนแบบนั้น
แต่หลินเฟิงมีทางเลือกอื่นอย่างไรหรือ? ถ้าเขาปฏิเสธข้อเสนอของหลิ่วช่างหลาน มันจะทำให้เขาดูน่าสังสัย……
เมื่อหลิ่วเฟยได้ยินว่าพ่อของนางต้องการเวลาอยู่ลำพังกับหลินเฟิงสักเล็กน้อย ทำให้นางรู้สึกโกรธเป็นอย่างมากภายในใจของนาง
ในขณะนั้นหลินเฟิงและหลิ่วเฟยอยู่ในบ้านของนาง หลิ่วเฟยจ้องมองหลินเฟิงอย่างโกรธเกรี้ยวและกล่าว: “เจ้าบอกอะไรกับพ่อของข้า?”
นางจำได้ว่าหลินเฟิงเคยกล่าวไว้ว่าเขาเป็นคนรักของนางต่อหน้าพ่อของนาง เป็นไปได้ไหมว่าพ่อของนางอาจจะเข้าใจผิด ในขณะนั้นหลิ่วช่างหลานได้บอกหลิ่วเฟยว่าจะขอคุยกับหลินเฟิงโดยไม่ขอความเห็นจากนาง และไม่มีโอกาสให้นางตอบ
แต่หลินเฟิงกลับไม่ตอบคำถามของนาง และยิ้มอย่างมีความสุข
“ท่านพ่อ ข้าไม่ไป” หลิ่วเฟยกล่าวขณะส่ายหัว และมองไปที่พ่อของนาง
“อย่าทำให้เรื่องมันยุ่งยาก เฟยเฟย! ข้าได้ตัดสินใจไปแล้ว และข้าจะไม่เปลี่ยนใจ ข้าได้บอกให้หลินเฟิงอยู่เมืองต้วนเริ่น 3 วัน หลังจากนั้นพวกเจ้าทั้งสองจะต้องจากไปด้วยกัน” หลิ่วช่างหลานกล่าวอย่างเคร่งเครียด
“ท่านพ่อ!” หลิ่วเฟยตะโกนนางต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ถูกหลิ่วช่างหลานขัดจังหวะ
“ไม่! เจ้าไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว! ข้าเป็นพ่อของเจ้า เจ้าต้องเชื่อฟังข้า”
หลิ่วเฟยกลายเป็นตัวสั่นขณะจ้องมองพ่อของนาง ทำให้หลิ่วช่างหลานอยากจะกลับไปแก้ไขคำพูดใหม่ และให้ทางเลือกแก่นาง แต่เขาเชื่อมั่นว่าหลิ่วเฟยจะต้องทำตาม ดังนั้นเขาจึงไม่พูดอะไร และเงียบ
“ข้าขอโทษ ที่ไม่เชื่อฟัง” หลิ่วเฟยไม่ได้พูดอะไรอย่างอื่น และวิ่งตรงไปที่ห้องของนางด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
เมื่อหลิ่วช่างหลานเห็นหลิ่วเฟยวิ่งจากไปทั้งๆอย่างงี้ ทำให้เขาไม่รู้จะทำเช่นไร หลินเฟิงก็เช่นกัน เพราะทั้งหมดที่หลิ่วช่างหลานทำไป ทำไปเพราะหากเขาต้องตกตายไปและต้องการให้หลิ่วเฟยมีชีวิตอยู่ต่อ
“บางคนก็ใจร้ายจริงๆ…” หลินเฟิงคิด
…………
สามวันต่อมา ฝุ่นละอองฟุ้งกระจายไปทั่วขณะม้าหุ้มโลหิตหุ้มเกราะหลายร้อยตัวกำลังวิ่งอยู่บนถนน
“ท่านลุงหลิ่วช่างหลาน มาถึงขนาดนี้แล้วพวกท่านไม่ต้องนำทางแล้วก็ได้ พวกข้าไม่เป็นไรแล้ว” หลินเฟิงกล่าวกับหลิ่วช่างหลาน
ม้าของพวกเขาค่อยๆชะลอตัวลงและหยุดลง หลิ่วช่างหลานมองไปที่หลิ่วเฟย เขาดูไม่ค่อยเต็มใจที่จะจากลากันเท่าไหร่ เพราะเขาไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกครั้งเมื่อไหร่
“ท่านพ่อ ตอนนี้ท่านกลับไปได้แล้ว” หลิ่วเฟยกล่าวอย่างไม่เต็มใจ นางกำลังกัดฟันไว้
“เฟยเฟย ได้โปรดฟังสิ่งที่หลินเฟิงพูดด้วย” หลิ่วช่างหลานกล่าวขณะจ้องมองหลิ่วเฟยอย่างเคร่งเครียด
แม้ว่าหลิ่วช่างหลานจะรู้จักหลินเฟิงได้ไม่นานนัก เขารู้ว่าหลินเฟิงแข็งแกร่ง เขารู้สึกมั่นใจถ้าหลินเฟิงอยู่ดูแลนาง
หลิ่วเฟยเหลือบมองหลินเฟิง นางพยักหน้าและกล่าว: “ท่านพ่อ ข้าเข้าใจแล้ว”
“ดูแลตัวเองด้วย” หลิ่วช่างหลานกล่าวขณะหันม้ากลับ และวิ่งจากไป
“หลินเฟิง ได้โปรดดูแลนางให้ดีด้วย” หลิ่วช่างหลานตะโกนจากระยะไกล
“น้องสาวขอให้เดินทางปลอดภัย”
“น้องชายขอให้เดินทางปลอดภัย”
ทหารม้าโลหิตหุ้มเกราะตะโกนคำพูดเหล่านี้ให้แก่หลินเฟิงและหลิ่วเฟย ขณะติดตามหลิ่วช่างหลานไป
ในขณะนั้น หลิ่วเฟยจ้องมองพวกเขาอย่างไม่ไหวติง
หลินเฟิงผู้ที่อยู่ใกล้ๆนางก็ยังคงนิ่งเงียบอยู่
“เมื่อวานนี้ ท่านพ่อของข้าได้บอกกับข้าว่า ในอดีตเขาเคยละทิ้งนิกายหยุนไห่ แม้ว่าพวกเขาจะสั่งสอนเขามามากมาย เขาคิดว่าเขาเป็นผู้รับผิดชอบที่นิกายหยุนไห่ถูกทำลาย เขารู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น”
“นอกจากนี้ ท่านพ่อยังบอกข้าว่า ระหว่างการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ชายแดนตร้วนเริ่น ท่านแม่ของข้าถูกสังหาร เขาไม่เคยพูดกับนางมาก่อน ก่อนที่นางจะถูกสังหาร ทำให้เขารู้สึกผิดเป็นอย่างมาก”
“ท่านพ่อยังบอกข้าว่าเพราะปัญหาที่ชายแดนตร้วนเริ่น ทำให้เขาไม่มีเวลาดูแลข้า นั่นคือเหตุผลที่เขาส่งข้าไปที่นิกายหยุนไห่ เพราะเขาไม่มีความรับผิดชอบในฐานะที่เป็นพ่อ เขายังกล่าวขอโทษลูกสาวอย่างข้าด้วย”
“ท่านพ่อยังบอกข้าว่าระหว่างสงครามชายแดนตร้วนเริ่น ทำให้เขาสูญเสียทหารไปจำนวนมาก นับแสนนายหรือมากกว่า…พวกเขาถูกฝังอยู่ด้านนอกเมืองตร้วนเริ่น และเขา…ยังคงมีชีวิตอยู่ ในใจเขารู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากที่ไม่สามารถช่วยพวกเขาได้”
หลินเฟิงตั้งใจฟังสิ่งที่หลิ่วเฟยกล่าวอย่างนิ่งเงียบ เขาคิดว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้มันซับซ้อนมาก
“ข้ารู้ว่าทำไมท่านพ่อของข้าต้องการให้ข้าจากไป เขาไม่ต้องการให้ข้าเข้ามาเกี่ยวข้อง เขารู้สึกอยากขอโทษ และเสียใจกับหลายสิ่งหลายอย่าง แต่สิ่งหนึ่งที่ข้ารู้ก็คือ อาณาจักรหิมะจันทราต้องเสียใจที่ทำกับเขาเช่นนี้ พวกเขาควรเป็นคนพูดกล่าวขอโทษเขา”
หลินเฟิงเงยหน้าขึ้น และจ้องมองไปที่ท้องฟ้าขณะฟังหลิ่วเฟย แม้ว่าถ้าอาณาจักรหิมะจันทราพูดกล่าวขอโทษเขาแต่แค่นั้นมันก็ยังคงไม่เพียงพอ! ถ้าหลินเฟิงแข็งแกร่งพอ เขาจะไปที่เมืองจักรพรรดิ และถามตระกูลจักรพรรดิว่ารู้สึกเช่นไรกับเรื่องนี้ เขาอยากรู้จริงๆว่าคนเหล่านี้รู้สึกอย่างไรจากก้นบึ้งหัวใจของพวกเขา
เฉพาะผู้ที่แข็งแกร่งมากพอเท่านั้นถึงจะสามารถโน้มน้าวผู้อื่นได้ ในโลกใบนี้ถ้าใครบางคนแข็งแกร่งพอ เขาก็จะสามารถทำลายทั้งอาณาจักรได้ด้วยเพียงแค่คลื่นจากฝ่ามือของเขา และไม่มีใครสามารถต่อต้านเขาได้
หลินเฟิงไม่เคยเข้าใจว่าทำไมความแข็งแกร่งถึงมีความสำคัญมากในโลกนี้มาก่อน
“ถ้าเจ้าอยากร้องไห้ก็ร้องออกมาเถอะ มันไม่เป็นไรหรอก” หลินเฟิงกล่าวกับหลิ่วเฟยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
หลิ่วเฟยรู้สึกถูกกดดันมากเกินไป นางเป็นเพียงหญิงสาวอายุ 16 ปีเท่านั้น
เมื่อหลิ่วเฟยได้ยินคำพูดของหลินเฟิง ทำให้น้ำตาของนางไหลอย่างไม่หยุดสาย ไหลลงไปยังแก้มอันนุ่มนิ่มของนาง ทันใดนั้นนางก็ร้องไห้ออกมาเสียงดัง นางตัวสั่นและแทบจะหายใจไม่ออกขณะที่น้ำตาไหลออกมาไม่หยุดจากนัยน์ตาของนาง
หลินเฟิงยิ้มอย่างบิดเบี้ยว ผู้หญิงยังไงก็คือผู้หญิง แม้ว่าพวกนางจะได้รับความกดดันมามากพอที่จะทำให้นางร้องไห้ออกมาได้ แต่นางก็พยายามซ่อนมัน
หลินเฟิงนำม้าของเขาไปอยู่เคียงข้างม้าของหลิ่วเฟย และวางมือลงบนบ่าของนาง จากนั้นเขาก็กระโดดลงจากหลังม้าของเขา และขึ้นไปบนม้าของหลิ่วเฟยและกล่าวว่า: “ไม่เป็นไร เจ้าจะเช็ดคราบน้ำตาลงบนตัวข้าก็ได้นะ”
หลิ้วเฟยหันกลับไปมองหลินเฟิงด้วยนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยน้ำตา นางซุกหน้าลงบนอกของหลินเฟิงขณะร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของเขา
หลังจากนั้น หลิ่วเฟยสงบลง นางมองหลินเฟิงและกล่าว: “เจ้าคนเป็นที่เลวทรามจริงๆ ถึงกลับใช้ประโยชน์จากสถานการณ์เช่นนี้”
“เอ๊ะ….” หลินเฟิงกลายเป็นมึนงง ช่างเป็นผู้หญิงที่เจ้าอารมณ์อะไรเช่นนี้
“ดูเหมือนจะมีใครบางคนตกหลุมรักข้าซะแล้ว” หลินเฟิงกล่าว
หลิ่วเฟยจ้องมองเขาและกล่าว: “เลิกหลงตัวเองซักที”
“เจ้าชอบชักจูงผู้อื่นมิใช่หรือ?” หลินเฟิงกล่าวขณะหัวเราะ จากนั้นเขาก็กระโดดกลับไปที่ม้าโลหิตหุ้มเกราะของเขา
หลิ่วเฟยยังคงมีคราบน้ำตาในนัยน์ตาของนาง และใบหน้าของนางแดง แต่นางไม่ต้องการให้หลินเฟิงเห็นนาง
“ไปกันได้แล้ว” หลิ่วเฟยกล่าวกับหลินเฟิง ม้าโลหิตหุ้มเกราะขยับทันทีราวกับพวกมันสามารถเข้าใจคนขี่ได้ พวกเขาออกเดินทางด้วยความเร็วสูงสุด และหลินเฟิงก็ยิ้ม
การทำให้หลิ่วเฟยฟังเขาช่างยากเย็นอะไรเช่นนี้!
บนถนนที่มีทิวทัศน์อันงดงาม มีชายหนุ่มผู้หล่อเหลา และหญิงสาวผู้งดงามบนหลังม้าของพวกเขากำลังตรงไปที่ขอบฟ้าอย่างรวดเร็ว