I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Peerless Martial God ตอนที่ 137 ท้าทายด้วยชีวิตและความตาย

| Peerless Martial God | 1494 | 2336 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

หลินเฟิงพยักหน้าและกล่าว “ในเมื่อตอนนี้เจ้าพูดเสร็จแล้ว ข้าก็มีบางสิ่งที่อยากจะบอกเจ้า น้องชายของเจ้าเป็นเพียงเศษขยะ เขาพยายามที่จะขโมยห้องบ่มเพาะพลังของข้าและยังบังคับให้ข้าจากไป แต่คงเป็นเพราะเขาคือน้องชายของเจ้า เขาจึงคิดว่าตัวเองอยู่ยงคงกระพัน จากนั้นเขาก็ทำลายกฎของสำนักและคุกคามสหายของข้าเป็นเวลาติดต่อกันถึง 3 เดือนด้วยความช่วยเหลือของเจ้า เขาทำให้นางต้องอับอายและขัดขวางการฝึกฝนของนาง ข้าผิดที่สังหารเขาหรือไม่?” หลินเฟิงกล่าวขณะจ้องมองไปที่เฮยม๋อ

 

 “เจ้าฆ่าเขา.. เจ้าคิดว่าตัวเองถูก แต่…” เฮยม๋อต้องการที่จะพูดแต่ก็ถูกขัดขวางโดยหลินเฟิง “เจ้าได้บอกว่าเจ้าพูดจบแล้วดังนั้น หุบปาก!”

 

 “หืมม?!” ฝูงชนต่างตกตะลึง ชายหนุ่มคนนี้ก้าวร้าวมากและยังบอกให้เฮยม๋อหุบปาก เขาคงคิดว่าเขาสามารถทำแบบนี้ได้เพราะมีเวิ่นเหงาเสวี่ยอยู่ข้างๆ

 

 เฮยม๋อเองก็ตกตะลึงแต่เขาก็กล่าวขึ้น “ก็ได้ พูดต่อสิ”

 

 “เจ้ากล่าวว่าข้ามีสิทธิ์ที่จะสังหารเขา น้องชายของเจ้าฝ่าฝืนกฎของสำนัก เห็นได้ชัดว่ามันเป็นเพราะเจ้าอนุญาตให้เขาทำ เพราะเจ้าอนุญาตให้เขาฉีกหน้าข้าดังนั้นก็คือว่าเจ้าได้ทำให้ข้าเสียหน้าทางอ้อมเช่นกัน เมื่อเขาต้องการที่สังหารข้า เจ้าเองก็ยินดีที่จะสนับสนุน ดังนั้นที่เจ้าโกรธเกรี้ยวเป็นเพราะเจ้าเสียหน้าที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่เจ้าคิด เป็นไปได้ไหมว่าเจ้าจะโง่เกินไปที่จะคิดว่าข้าจะยอมเสียหน้าเพียงเพราะว่าเจ้าแข็งแกร่ง?” หลินเฟิงกล่าวอย่างจริงจังซึ่งทำให้ฝูงชนตกตะลึงอีกครั้ง

 

 ถูกต้อง คนประเภทนี้สนใจแค่เพียงตัวเองเท่านั้นและไม่ได้ให้ค่ากับคนอื่น

 

 “แม้ว่าสิ่งที่เจ้าพูดจะเป็นความจริง แต่แล้วมันยังไง?” เฮยม๋อกล่าวอย่างไม่แยแส

 

 “ก็ไม่ยังไง ข้าพบผู้คนมากมายที่คิดว่าตัวเองอยู่เหนือโลก แต่ข้าก็แสดงให้พวกมันเห็นถึงความโง่เขลาและไร้สาระของพวกมัน” หลินเฟิงกล่าวด้วยความเย็นชาจากนั้นก็กล่าวต่อ “เจ้าคงคิดว่าที่ข้ากล้าพูดเช่นนี้เป็นเพราะข้ามีเวิ่นเหงาเสวี่ยอยู่ อย่างไรก็ตามไม่ว่าเวิ่นเหงาเสวี่ยจะอยู่ที่นี่หรือไม่ คนอย่างเจ้าก็ไม่มีปัญญาสังหารข้าอยู่ดี”

 

 “อย่าพยายามลบล้างสิ่งที่ข้าพูด เจ้ามีอิสระที่จะสังหารข้าได้ตลอดเวลาและเจ้าจะได้รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อเจ้าพยายามที่จะเอาชีวิตข้า ก็เหมือนกับที่เจ้ากล่าวไว้เมื่อมีคนกระทำผิดก็ต้องได้รับการลงโทษและในบางครั้งก็จะต้องจ่ายด้วยชีวิตของเจ้า” หลินเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่น่ากลัว

 

บางคนในฝูงชนขมวดคิ้ว ไม่เพียงหลินเฟิงจะกล่าวว่าไม่ว่าที่นี่จะมีเวิ่นเหงาเสวี่ยหรือไม่ เฮยม๋อก็ไม่มีปัญญาที่จะสังหารเขา เขายังกล่าวอีกว่าเฮยม๋ออาจจะตายหากพยายามที่จะสังหารเขา

 

หยวนซานไม่ได้สนใจสิ่งที่หลินเฟิงกล่าวเขารู้ว่ามีหญิงสาวลึกลับกำลังปกป้องเขาอยู่ เขาเคยเห็นความแข็งแกร่งของนางมากก่อน

 

 เฮยม๋อตกตะลึงและกล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าคงจะประเมินตัวเองไว้สูงมาก”

 

 “ข้าไม่เคยประเมินตัวเองไว้สูง ข้าไม่เคยคิดว่าตัวเองหยิ่งยโสและอยู่เหนือผู้อื่น ข้าไม่เหมือนกับเจ้าที่กล่าวถึงคนอื่นราวกับว่าชีวิตของพวกเขาอยู่ในกำมือของเจ้า มันไม่หยิ่งยโสเกินไปหรือ? เจ้าคงคิดว่าตัวเองอยู่เหนือผู้อื่นในโลก? ข้ามีบางอย่างที่จะถามเจ้า เจ้าบรรลุถึงระดับพลังขั้นไหนแล้ว?”

 

 หยิ่งยโส? คิดว่าตัวเองอยู่เหนือผู้อื่นในโลก?

 

 เฮยม๋อยิ้มอย่างเย็นชา “ข้าสามารถสังหารเจ้าได้อย่างง่ายดายด้วยสองนิ้วของข้า ข้าทะลวงสู่ขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 6 แล้ว…”

 

 “เจ้ากล้าที่จะหยิ่งยโส? ไร้สาระ เจ้าต้องล้อข้าเล่นแน่ๆ” หลินเฟิงหัวเราะเสียงดัง จากนั้นเขาก็กล่าว “เจ้าเพียงแค่บรรลุขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 6 แค่เจ้ากลับกล้ากล่าวราวกับว่าเจ้าเป็นผู้บ่มเพาะที่แข่งแกร่งที่สุดในโลก เจ้ายังกล่าวอีกว่าสามารถจัดการกับข้าได้ด้วยสองนิ้วของเจ้า เจ้าต้องล้อเล่นแน่ๆ! การบรรลุถึงขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 6 ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ ช่างไร้สาระยิ่งนัก”

 

 “โลกนี้ยิ่งใหญ่นัก มีอัจฉริยะอยู่นับล้าน… เจ้ากล้าที่จะบอกว่าตัวเองเป็นตัวตนที่พิเศษและคนอื่นต้องอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเจ้า ข้าจะบอกให้เอาบุญ ในโลกนี้เจ้าก็เป็นเพียงแค่หนูตัวเล็กๆเท่านั้น”

 

 “คำพูดหยิ่งยโสอะไรเช่นนี้!”

 

 บางคนเริ่มจ้องมองไปยังเฮยม๋อผู้ที่กำลังถูกยั่วยุโดยคำพูดของหลินเฟิง เฮยม๋อเพียงแต่ทะลวงสู่ขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 6 เท่านั้นซึ่งไม่ถือว่าแข็งแกร่งอะไรมากมายในโลกภายนอก แต่ในสำนักไม่มีใครกล้าที่จะยั่วยุเขา เกือบจะไม่มีใครเอาชนะเขาได้ แม้แต่บางคนที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 7 ก็ไม่ต้องการที่จะต่อสู้กับเขา

 

 แต่การที่กล่าวว่าขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 6 เป็นสิ่งที่น่าตกตะลึงในเส้นทางการบ่มเพาะพลัง เห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงการกล่าวเกินจริง

 

 หลินเฟิงกล่าวต่อ “แน่นอนว่าเจ้าอาจจะคิดว่าตัวเองน่าอัศจรรย์ที่เจ้าได้เป็น 1 ใน 10 ศิษย์ที่ดีที่สุดของสำนัก แต่เจ้าก็ยังไม่ได้มีความสำคัญเลยในโลกแห่งการบ่มเพาะพลัง ตอนนี้ข้าอยากจะถามเจ้า ในเวลา 3 เดือนข้าต้องการที่จะท้าประลองเป็นตายกับเจ้า เจ้ากล้าหรือไม่?” หลินเฟิงกล่าว

 

 ฝูงชนกลายเป็นตื่นตระหนก

 

 หลินเฟิงกล้าที่จะท้าประลองกับ 1 ใน 10 ศิษย์ที่ดีที่สุดของสำนัก ทั้งยังเอาชีวิตเป็นเดิมพัน

 

 หลินเฟิงเพิ่งเข้าร่วมกับสำนัก เขาคงไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่

 

 “เขาคงไม่รู้ว่าเฮยม๋อทรงพลังขนาดไหน”

 

 “เด็กน้อยคนนี้กำลังรนหาที่ตาย เขาบ้าไปแล้ว”

 

 ฝูงชนต่างแสดงความคิดเห็นต่อการกระทำของหลินเฟิง ไม่มีใครเชื่อว่าหลินเฟิงจะชนะ พวกเขาคิดว่าการกระทำของหลินเฟิงเป็นเพียงความประมาทและไร้ซึ่งเหตุผล

 

 แม้แต่เหล่าสหายของหลินเฟิงก็ประหลาดใจและไม่เชื่อในสิ่งที่เขากล่าว พวกเขารู้ว่าหลินเฟิงแข็งแกร่งแต่เขาไม่มีทางเอาชนะเฮยม๋อได้อย่างแน่นอน นี่มันบ้าบิ่นเกินไป

 

เวิ่นเหงาเสวี่ยจ้องมองไปที่หลินเฟิง เห็นได้ชัดจากใบหน้าของเขา เขาไม่คิดว่าหลินเฟิงจะชนะการต่อสู้ในครั้งนี้

 

 แน่นอน หลินเฟิงกำลังทำให้เฮยม๋ออับอายด้วยการท้าประลองกับเขา

 

 ศิษย์ที่เพิ่งเข้าร่วมกับสำนักได้สร้างความอับอายให้กับเฮยม๋อ ทั้งยังท้าทายเขาด้วยการประลองเป็นตาย ทั้งหมดทำให้เขาเสียหน้าอย่างสมบูรณ์

 

 เฮยม๋อแน่ใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นจะต้องแพร่กระจายไปทั่วสำนักและเขารู้ว่าศิษย์ที่มีรายชื่อติดอันดับคนอื่นๆก็จะต้องได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

 ในตอนนี้ ใบหน้าที่ราวกับปีศาจของเฮยม๋อเริ่มดูชั่วร้ายขึ้นเรื่อยๆ

 

 ดวงตาของเขากำลังลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงทำให้ดูน่ากลัวอย่างมาก

 

 “เจ้าคิดว่าตัวเองเสียหน้า?” หลินเฟิงยิ้ม “เจ้าเสียหน้าอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้าพาคนจำนวนมากมาด้วย เจ้าไม่คิดว่าข้าจะเสียหน้าเช่นกัน?”

 

 “เจ้าไม่จำเป็นต้องมองข้าแบบนั้น ถ้าเจ้าต้องการที่จะกู้ศักดิ์ศรีของเจ้า พวกเราจะได้เห็นกันในอีก 3 เดือน จงแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเจ้า เฮยม๋อ สามารถที่จะหยิ่งยโสได้ในฐานะผู้บ่มเพาะพลังที่น่าอัศจรรย์”

 

 เฮยม๋อจ้องมองไปยังหลินเฟิงอย่างโกรธเกรี้ยว “ใน 3 เดือน เจ้าจะเข้าใจในความน่าสมเพชของตัวเอง”

 

 เมื่อพูดจบ เฮยม๋อก็หันหลังและจากไป

 

 ฝูงชนต่างประหลาดใจ เฮยม๋อยอมรับคำท้าของหลินเฟิง

 

 ในอีก 3 เดือน เฮยม๋อจะทำให้หลินเฟิงต้องเสียใจที่กล้าท้าทายเขา

 

 ฝูงชนจ้องมองไปยังแผ่นหลังของเฮยม๋อและหันกลับไปมองหลินเฟิง พวกเขารู้สึกตื่นเต้นมากแทบจะอดใจรอชมการต่อสู้ไม่ไหว

 

 หลินเฟิงสามารถท้าทายเขาได้อย่างไร? ความแข็งแกร่งที่หลินเฟิงมีมากพอที่จะท้าประลองเป็นตายกับเฮยม๋อได้จริงๆหรือ?

 

 ในอีก 3 เดือน เฮยม๋อจะต้องแข็งแกร่งขึ้นและสามารถทวงคืนศักดิ์ศรีของเขาได้

 

*************************

 

 3 เดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว มันไม่ถือว่านานมากนักสำหรับโลกแห่งการบ่มเพาะพลัง

 

 “ไปกันเถอะ” หลินเฟิงกล่าวขณะจ้องมองไปยังสหายของเขา พวกเขาเดินตรงไปยังทางออกของสำนัก

 

 เวิ่นเหงาเสวี่ยจ้องมองไปที่หลินเฟิงและกล่าว “เฮยม๋ออยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 6 แม้กระทั่งศิษย์ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 7 บางคนก็ยังไม่กล้าที่จะท้าประลองกับเขา แทบจะไม่มีใครในสำนักที่จะเอาชนะเขาได้… และระดับพลังของเจ้า? ขั้นที่ 4 หรือขั้นที่ 5 ขอบเขตจิตวิญญาณ… เจ้าไม่มีทางเอาชนะเขาได้ นอกจากนี้เฮยม๋อที่อยู่ในจุดสูงสุดขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 6 อาจจะทะลวงสู่ระดับต่อไปในเวลาอีกไม่นาน มันเป็นเรื่องยากมากสำหรับเจ้าที่จะเอาชนะเขาด้วยระดับพลังที่เจ้ามีในตอนนี้”

 

 หลินเฟิงยิ้ม เขารู้อยู่แล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายจากนั้นก็กล่าว “ข้าต้องการที่จะแข็งแกร่งเหนือผู้อื่นให้เร็วที่สุด”

 

 เวิ่นเหงาเสวี่ยทำได้เพียงพยักหน้าและถอนหายใจ เขาไม่เข้าใจถึงความหมายในสิ่งที่หลินเฟิงกล่าว แล้วมันเกี่ยวกับเฮยม๋อยังไง?

 

 หลินเฟิงเห็นการแสดงออกทางสีหน้าของเวิ่นเหงาเสวี่ยและกล่าว “ความแข็งแกร่งมักจะมาในตอนที่ตกอยู่อันตราย เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงตายถึงชีวิตก็จะสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างรวดเร็ว”

 

เมื่อได้ยินสิ่งที่หลินเฟิงกล่าว เวิ่นเหงาเสวี่ยกลายเป็นตกตะลึง เสี่ยงชีวิตเพื่อที่จะแข็งแกร่ง? เด็กหนุ่มที่ชื่อหลินเฟิงคนนี้น่ากลัวเกินไป!

 

**************************************************************

ติดตามได้ที่ – 

 

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments