I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Peerless Martial God ตอนที่ 139 ทาสผู้บ่มเพาะพลัง

| Peerless Martial God | 1469 | 2365 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

ด้านในของกรง ผู้ชนะคือผู้รอดชีวิต ผู้แพ้มีเพียงความตายเท่านั้นที่รออยู่

 

 ที่แห่งนี้ราวกับสมรภูมิรบ

 

 ในทวีปเก้าเมฆา ผู้บ่มเพาะพลังจะได้รับความเคารพและนับถือ พวกเขาจะไม่ลังเลและทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้แข็งแกร่งขึ้น เส้นทางแห่งการบ่มเพาะพลังเต็มไปด้วยความท้าทายและความมุ่นมั่นคือกุญแจสู่ความสำเร็จ  

 

 “กฎของลานประลองเชลยคืออะไร?” หลินเฟิงถาม

 

 “กรรมการจะเป็นผู้ประกาศว่าใครจะสู้กับใคร แน่นอน เขาอาจจะจับคู่ระหว่างผู้บ่มเพาะพลังด้วยกันเองหรืออาจจะต้องสู้กับสัตว์อสูรที่ดุร้าย โดยปกติแล้วคู่ต่อสู้จะมีระดับที่ใกล้เคียงกันมิฉะนั้นมันจะกลายเป็นการเข่นฆ่าที่ไร้ความหมาย” เวิ่นเหงาเสวี่ยอธิบาย

 

 หลินเฟิงพยักหน้าเล็กน้อย

 

 “หากเจ้าพ่ายแพ้ความตายจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ถ้าเจ้าชนะเจ้าจะได้รับหินบริสุทธิ์จำนวนมาก ศิษย์มากมายจากสำนักของเรามาที่นี่เพื่อต่อสู้และนำหินบริสุทธิ์กลับไปที่หอบ่มเพาะพลัง พวกเขาทำแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้ระดับพลังของพวกเขาทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว…. แต่แน่นอน มันเป็นทางเลือกที่อันตรายอย่างมาก”

 

 “การเสี่ยงตายเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะแข็งแกร่งขึ้น ในสถานการณ์ที่อันตราย ความตายและโชคลาภจะหลอมรวมกัน” เวิ่นเหงาเสวี่ยกล่าวอย่างจริงจัง

 

 หลินเฟิงประหลาดใจ น้ำเสียงของเวิ่นเหงาเสวี่ยราวกับว่าเขาเคยมาที่นี่หลายครั้ง มันยากที่จะจินตนาการว่าชายหนุ่มที่งดงามเหมือนกับหญิงสาวคนนี้จะแวะเวียนมาที่นี่บ่อยๆ

 

 พวกเขายังคงเดินต่อไป ในเวลาเดียวกันหลินเฟิงก็สามารถมองเห็นภายในกรงได้อย่างชัดเจนจากตรงที่ที่เขายืนอยู่

 

 ภายในกรงมีขนาดใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ!

 

 ในกรงถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน : ส่วนแรกคือส่วนที่มีไว้สำหรับให้นักบ่มเพาะพลังต่อสู้กับนักบ่มเพาะพลังด้วยกันเอง อีกส่วนสำหรับให้ผู้บ่มเพาะพลังไว้ต่อสู้กับสัตว์อสูร

 

ทั้ง 2 ส่วนถูกแยกจากกันโดยแทนเก้าอี้สำหรับรับชม ผู้คนมีอิสระให้การเลือกดูสิ่งที่ต้องการ

 

 ในตอนนั้นเอง กลุ่มเงาที่อยู่ด้านหน้าของหลินเฟิงก็หันหลังและมองมายังพวกเขา

 

ราวกับว่าเวิ่นเหงาเสวี่ยได้คาดการณ์ไว้แล้ว เขาหยิบหินบริสุทธิ์ระดับปานกลางออกมา 6 ก้อนและยื่นให้กับชายคนหนึ่งเพื่อที่พวกเขาจะสามารถเข้าไปด้านในได้

 

 “ที่นั่งสำหรับ 10 แถวแรกมีราคาสูงทีเดียว แต่มันก็เป็นที่ที่ดีที่สุดที่จะรับชมการต่อสู้ได้อย่างชัดเจน” เวิ่นเหงาเสวี่ยกล่าว หลินเฟิงถึงกับตกตะลึง “หินบริสุทธิ์ระดับปานกลาง 1 ก้อนต่อ 1 คน? นี่มันขูดรีดกันชัดๆ!”

 

หินบริสุทธิ์ระดับกลาง 1 ก้อนเพียงพอให้เข้าฝึกฝนในห้องบ่มเพาะพลังเป็นเวลา 1 เดือน ในชั้นที่ 4 – 10 มันเป็นราคาที่ไม่อาจดูถูกได้เลยแม้แต่น้อย

 

  “ไม่ มันไม่แพงเลยกลับกันมันเป็นราคาที่ถูกมาก ลองนึกดูสิว่าบุคคลแบบไหนกันที่นั่งอยู่ในแท่นรับชมในชั้นที่ดีที่สุด? เวิ่นเหงาเสวี่ยกล่าวขณะส่ายหัว

 

 “บรรดาผู้ที่ต้องการเข้าไปในกรงเพื่อต่อสู้และเหล่าคนที่มั่งคั่งไปด้วยหินบริสุทธิ์” หลินเฟิงกล่าว

 

 “ถูกต้อง นอกจากนี้เมื่อพวกเขาชนะ พวกเขาจะได้รับหินบริสุทธิ์ระดับปานกลางอย่างน้อย 10 ก้อน แต่ถ้าหากพวกเขาแพ้พวกเขาจะไม่สูญเสียหินบริสุทธิ์ใดๆเลยเพราะพวกเขาตายไปแล้ว” เวิ่นเหงาเสวี่ยกล่าว เขาชี้ไปที่แถว 3 ของที่นั่ง “ไปนั่งตรงนั้นกันเถอะ”

 

 “อืม” หลินเฟิงหยักหน้า มีคนไม่มากนักที่นั่งอยู่ใน 10 แถวแรก

 

 เมื่อหลินเฟิงนั่งลง การต่อสู้ก็จบลงเช่นกัน

 

 ในกรง หนึ่งในทาสแทงฝ่ามือของเขาเข้าไปในหน้าอกของอีกฝ่ายและฉีกกระชากหัวใจ ภาพที่เห็นนั้นโหดเหี้ยมและไร้ความปรานีอย่างมาก เลือดไหลรินไปทั่วพื้น ทาสคนนั้นชูหัวใจของผู้ที่พึ่งสังหารขึ้นไปในอากาศ

 

 ฝูงชนต่างส่งเสียงเฮฮา พวกเขาตะโกนด้วยความตื่นเต้นเมื่อเห็นฉากที่โหดเหี้ยมดังกล่าว

 

 หลิ่วเฟยและจิ้งยวิ๋นขมวดคิ้ว พวกนางรู้สึกคลื่นไส้ หลินเฟิงที่ดูสงบแต่ด้านในของเขาปรากฏความเศร้าเล็กน้อย ในโลกใบนี้ไม่มีที่ว่างสำหรับคนอ่อนแอ

 

 “ถ้าไม่มั่นใจในความสามารถของตัวเองก็ไม่มีประโยชน์ที่จะเข้าไปในกรง” หลินเฟิงคิดขณะส่ายหัว

 

 “หลินเฟิงเมื่อพิจารณาจากคู่ต่อสู้ของเจ้าที่อยู่ในระดับเดียวกัน เจ้าต้องการที่จะต่อสู้กับผู้บ่มเพาะพลังหรือสัตว์อสูร?” เวิ่นเหงาเสวี่ยถามด้วยความอย่างรู้อยากเห็น

 

 “สัตว์อสูร” หลินเฟิงตอบโดยไม่ลังเล

 

 เวิ่นเหงาเสวี่ยแปลกใจกับคำตอบของหลินเฟิงและยิ้มออกมา “ถูกต้อง มีคนมากมายที่คิดว่าหากคู่ต่อสู้เป็นสัตว์อสูรที่อยู่ในระดับเดียวกันมันจะต้องแข็งแกร่งกว่าผู้บ่มเพาะพลัง แต่นั่นใช้กับในกรงแห่งนี้ไม่ได้ ทาสที่เป็นผู้บ่มเพาะพลังไม่จะไม่รู้ว่าเขาจะตายเมื่อไร พวกเขาล้วนแต่ถูกบังคับให้ต้องโหดเหี้ยมและดุร้ายยิ่งกว่าสัตว์อสูร พวกเขาเปรียบเสมือนฝันร้ายเลยทีเดียว”

 

 “บางครั้ง เจ้าอาจจะคิดว่าเจ้าแข็งแกร่งกว่าคู่ต่อสู้ แต่ในกรงนั้นต่างออกไป แม้ว่าเจ้าจะคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งกว่าแต่ในตอนจบอาจจะไม่ใช่เจ้าที่ยืนหยัดเป็นคนสุดท้าย”

 

 

 บางคนย่อมสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อที่จะได้มีชีวิตอยู่

 

 หลินเฟิงส่ายหัวและกล่าว “ถูกต้อง แต่ที่ข้าเลือกสู้กับสัตว์อสูรไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้”

 

 “อะไรนะ?” เวิ่นเหงาเสวี่ยประหลาดใจ

 

 “อืม ทาสผู้บ่มเพาะพลังพวกเขาอาจจะเป็นทาส… พวกเขาควรที่จะได้รับสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานและสำหรับข้าพวกเขาถือเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ไม่เคยสร้างความบาดหมางกับข้า” หลินเฟิงตอบ

 

เวิ่นเหงาเสวี่ยตกตะลึงกับคำตอบของหลินเฟิง

 

 “ที่พวกเจ้าคิดว่าทาสผู้บ่มเพาะพลังมีความโหดร้ายและป่าเถื่อน นั่นเป็นเพราะชีวิตของพวกเขาถูกบังคับให้ต้องดิ้นรนเพื่ออยู่รอด… และสิ่งที่แย่ที่สุดคือผู้ที่เข้าไปในกรงเพื่อต่อสู้กับทาสผู้บ่มเพาะพลังจนนำไปสู่ความตายเพื่อหินบริสุทธิ์เพียงไม่กี่ก้อน สำหรับตัวข้า ข้าไม่อาจสังหารใครที่ข้าไม่ได้เกลียดหรือมีความบาดหมางกันได้ มิฉะนั้นข้าคงจะรู้สึกผิดอย่างมาก” หลินเฟิงไม่ได้คิดว่าเขาเป็นคนดี แต่เขามีปณิธานแห่งความมุ่นมั่นและหลักการใช้ชีวิต เส้นทางแห่งการบ่มเพาะพลังของหลินเฟิงให้ความสำคัญกับยุติธรรมพอๆกับความมุ่งมั่น

 

 หลังจากได้ยินคำพูดของหลินเฟิง นี่เป็นครั้งแรกที่เวิ่นเหงาเสวี่ยรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติในสถานที่แห่งนี้ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นทาส… แต่พวกเขาก็ยังเป็นคน…

 

แต่ในโลกนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่คิดแบบหลินเฟิง หลังจากที่ต้องเกิดมาในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ พวกเขาจะถูกบังคับให้ต้องโหดเหี้ยมและไร้ความเมตตา

 

 คนส่วนใหญ่ที่มาที่นี่มีเป้าหมายที่จะแข็งแกร่งขึ้น ไม่ว่าจะต้องจ่ายด้วยอะไรก็ตาม ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจำเป็นที่จะต้องเอาชีวิตผู้อื่น การฆ่าถือเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเขาไปแล้ว

 

 “เจ้าอาจจะพูดถูก… ในอนาคต ข้าจะต่อสู้กับสัตว์อสูรเท่านั้น” เวิ่นเหงาเสวี่ยยิ้ม ทันใดนั้นก็ได้มีเสียงดังมาจากข้างหลัง

 

 “เหล่าศิษย์ทหาร ตั้งแต่เมือไรที่พวกเจ้ากลายเป็นผู้เห็นอกเห็นใจคนอื่นเช่นนี้? ไร้สาระ” เวิ่นเหงาเสวี่ยและหลินเฟิงหันกลับไป พวกเขาเห็นกลุ่มคนที่ใส่เสื้อผ้าหรูหราและยังดูหยิ่งยโสอย่างมาก

 

 “พวกศิษย์การเมือง” หลินเฟิงขมวดคิ้ว ในกลุ่มพวกเขาหลินเฟิงตระหนักได้ถึงบางคน… เขาคือคนที่หลินเฟิงเคยมอบบทเรียนให้…. ไป๋เจ๋อ!

 

ติดตามได้ที่ – 

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments