I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Peerless Martial God ตอนที่ 140 การต่อสู้ของหลินเฟิง 

| Peerless Martial God | 1597 | 2360 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

 

ในสำนักสวรรค์ ผู้คนที่เรียนรู้ยุทธวิธีทางทหารและผู้ที่เรียนรู้ด้านการเมืองมักมีความสัมพันธ์กันไม่ค่อยดี และมีความตึงเครียดระหว่างศิษย์ทั้งสองประเภท

 

ไม่เพียงแต่ศิษย์ที่เรียนรู้ทางด้านทหารเท่านั้นที่ชื่นชอบมาลานประลองเชลย ศิษย์ที่เรียนรู้ด้านการเมืองก็ชอบมาที่นี่และดูการต่อสู้…แต่โดยทั่วไปแล้วพวกเขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในย่านตลาดเพื่อรับสิ่งของล้ำค่าที่สามารถขายได้

 

ผู้คนจำนวนมากที่ชื่นชอบมาลานประลองเชลยเพราะมันเป็นการต่อสู้จริง อย่างไรก็ตามมันจำเป็นต้องมีความกล้าหาญด้วยเช่นกัน

 

เมื่อศิษย์ทหารเข้าร่วมการต่อสู้ในลานประลองเชลย พวกเขาสามารถปรับปรุงความสามารถของพวกเขาระหว่างการต่อสู้ และมีความกล้าหาญที่จะท้าทายสิ่งต่างๆ อย่างไรก็ตามผู้ที่เรียนรู้ด้านการเมืองพวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะพวกนี้ พวกเขาไม่ใช่พวกเลือดร้อนและมักชอบทำงานในที่ร่ม 

 

สำหรับผู้ที่เรียนรู้ด้านการเมือง และด้านทางทหารที่เข้าร่วมลานประลองเชลยเป็นพวกโง่เง่าที่เสี่ยงชีวิตของตัวเองเพื่อหินบริสุทธิ์ไม่กี่ก้อนเฉพาะคนโง่เท่านั้นที่จะทำเช่นนี้ บางทีพวกเขาทั้งหมดอาจจะมาจากครอบครัวที่ยากจน

 

ศิษย์การเมืองรู้สึกสนุกที่มาลานประลองเชลยเพื่อรับชมการต่อสู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีศิษย์ทหารเข้าร่วม ศิษย์การเมืองจะรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษเมื่อเห็นศิษย์ทหารบางคนถูกสัตว์อสูรกินหรือถูกสังหารโดยทาสผู้บ่มเพาะพลัง

 

“เจ้าคือหลินเฟิงใช่ไหม? เหตุผลที่เจ้ามาที่นี่เพราะเจ้าต้องการแข็งแกร่งขึ้นหลังจากได้ท้าทายเฮยม๋อแล้วถูกต้องไหม?” ชายหนุ่มที่สวมเสื้อคลุมสีเหลืองและนั่งข้างๆไป๋เจ๋อกล่าว จากนั้นเขากล่าวเพิ่มเติมว่า: “เจ้าห้ามถูกสัตว์อสูรฆ่าตายก่อนที่จะต่อสู้กับเฮยม๋อ! พวกข้าทุกคนล้วนตื่นเต้นจนทนไม่ไหวที่จะเห็นคนโง่เขลาอย่างเจ้าสู้!”

 

หลินเฟิงเหลือบมองไป๋เจ๋อ เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้รู้ว่าใครคือหลินเฟิงเพราะไป๋เจ๋อบอก อย่างไรก็ตามหลินเฟิงไม่รู้จักพวกเขาเลย

 

ดังนั้นหลินเฟิงจึงเหลือบไปบอกชายหนุ่มที่สวมเสื้อคลุมสีเหลืองแล้วหันหน้าไปมองที่กรง คนอย่างพวกเขาวิธีการที่ดีที่สุดคือทำเป็นไม่สนใจ ราวกับว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่

 

ผู้บ่มเพาะพลังที่มีฐานะมั่งคั่งและมีชื่อเสียงจะหยิ่งยโสและคิดว่าพวกเขาอยู่เหนือผู้อื่น เมื่อพวกเขากล่าวบางสิ่งบางอย่างคนอื่นๆมักจะฟังพวกเขาพูดหรือไม่เมิน

 

ความจริงที่ว่าหลินเฟิงเมินพวกเขาทำให้ชายหนุ่มที่สวมเสื้อคลุมสีเหลืองโกรธ เขารู้สึกประหลาดใจ รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าของเขาค่อยๆดูชั่วร้ายขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างเย็นชาและเสียงดังพอที่จะทำให้คนอื่นได้ยินสิ่งที่เขาพูด: “เจ้าหูหนวกงั้นรึ? เจ้าไม่ได้ยินเรื่องที่ข้าบอกเจ้ารึไง?” …ก่อนหน้านี้หลินเฟิงได้เมินเขา

 

“ข้าถามเจ้าอยู่!” หลินเฟิงยังคงเมิน ชายหนุ่มผู้ที่สวมเสื้อคลุมสีเหลืองเดือดพล่านจากความอับอายเพราะตอนนี้เขาตกเป็นเป้าสนใจจากผู้คนจำนวนมาก จากนั้นเขาก็ปลดปล่อยพลังปราณออกมาจากร่างกายของเขา

 

“หนวกหูจริง!” เวิ่นเหงาเสวี่ยกล่าวขณะเกาหัวของเขา จากนั้นเขาก็หันหน้าไปหาชายหนุ่มและตะโกนว่า: “เจ้ารู้ตัวไหมว่าเจ้าเป็นเหมือนสุนัขที่เห่าหอนเสียงดัง?”

 

ชายหนุ่มเสื้อคลุมเหลืองตกตะลึง หัวใจของเขาเดือดพล่านอยู่ในอกของเขา โดยปกติแล้วเขาเป็นคนที่ดูถูกคนอื่นโดยเรียกคนอื่นว่าสุนัข แต่เขากลับโดนดูถูก!

 

“หรือที่เจ้าเห่าหอนเสียงดังเช่นนี้เป็นเพราะเจ้าเป็นลูกของสุนัข?” เวิ่นเหงาเสวี่ยกล่าวเสียงดัง

 

“เขากล้าที่จะท้าทายเฮยม๋อ เจ้าคิดหรือว่าเจ้าแข็งแกร่งกว่าเฮยม๋อ? เจ้าตั้งใจจะทำอะไร?” ชายหนุ่มเสื้อคลุมเหลืองถามด้วยนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย เขาจ้องไปที่เวิ่นเหงาเสวี่ยด้วยเจตนาฆ่าและกล่าวว่า: “สุนัข? เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครถึงยั่วยุข้า เจ้ารู้หรือไม่คนที่เจ้ายั่วยุเป็นใคร?”

 

เวิ่นเหงาเสวี่ยเงียบและหันหลังกลับโดยที่ไม่มองชายหนุ่มแม้แต่น้อย จากนั้นเขาก็นั่งลงบนเก้าอี้และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า: “อย่าคิดว่าเจ้าเป็นคนตระกูลยู้แล้วจะทำตัวหยิ่งยโสกับใครก็ได้ แม้เจ้าจะเป็นคนจากตระกูลยู้ แต่ยังไงเจ้าก็คือสุนัข…และพยายามแสดงความแข็งแกร่งของเจ้าในที่นี่มีแต่จะทำให้เจ้าดูน่าสมเพชและน่าหัวเราะเท่านั้น”

 

เวิ่นเหงาเสวี่ยยังคงสงบเมื่อพูดคำเหล่านี้ออกไป ชายหนุ่มเสื้อคลุมเหลืองรู้สึกมึนงงว่าเวิ่นเหงาเสวี่ยรู้ได้ยังไงว่าตระกูลของเขาคือตระกูลยู้? นอกจากนี้ ทั้งๆที่เขารู้ว่าชื่อตระกูลของเขาคือยู้แต่เขาก็ไม่ลังเลที่จะทำให้เขาอับอายขายหน้าในที่สาธารณะ!

 

เมื่อหลิ่วเฟยได้ยินว่าตระกูลของเขาคือตระกูลยู้ ทำให้นางหันไปมองเขา จากนั้นนางก็หันไปมองเวิ่นเหงาเสวี่ยอีกครั้ง

 

ตระกูลยู้เป็นตระกูลที่ทรงพลังมากๆในเมืองจักรพรรดิ และได้รับความเคารพนับถือจากผู้คนจำนวนมาก แม้ว่าเวิ่นเหงาเสวี่ยจะรู้ชื่อตระกูลของเขาแต่เขาก็ยังไม่สนใจ! ราวกับว่าเวิ่นเหงาเสวี่ยไม่ใช่คนที่จะจัดการง่ายๆ!

 

“ยู้!” หลินเฟิงคิด หลินเฟิงเคยได้ยินชื่อตระกูลนี้มาหลายครั้ง และไม่ใช่ครั้งเดียว!

 

ในอาณาจักรหิมะจันทรา ตระกูลและนิกายที่แข็งแกร่งที่สุด ได้แก่ ตระกูลจักรพรรดิ, ตระกูลเย่ว, ตระกูลยู้, นิกายวั่นโซ่ว, นิกายห้าวเย่ว, นิกายหยุนไห่, หมู่บ้านน้ำแข็งหิมะ และนิกายลั่วเซี่ย

 

ทั้ง 8 ตระกูลหรือนิกายนี้มีอิทธิพลอยู่ทั่วอาณาจักรและเป็นที่รู้จักว่าทรงพลังอย่างมาก นับตั้งแต่นิกายหยุนไห่ถูกทำลายทำให้เหลือเพียง 7 มหาอำนาจเท่านั้น…ทั้ง 7 มหาอำนาจนี้ มี 4 มหาอำนาจอยู่ในเมืองจักรพรรดิ

 

ชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมเหลืองบางทีเขาน่าจะเป็นสมาชิกของตระกูลยู้

 

แต่ในขณะนั้น เสียงคำรามของสัตว์อสูรทำให้หลินเฟิงตื่นขึ้นมาออกมาจากความคิด จากนั้นชายชราคนหนึ่งก็เข้าไปในกรง

 

“กิ้งก่าอสูร!” ฝูงชนรู้สึกตื่นเต้นมากๆ กิ้งก่ามีการป้องกันที่แข็งแกร่ง และยังว่องไวราวกับเสือ มันแข็งแกร่งมาก

 

“ข้าไม่รู้ว่าใครกันจะกล้าเข้าไปในกรง แต่มันต้องอีกหนึ่งการต่อสู้ที่น่าตื่นเต้น!” ฝูงชนคิด ฝูงชนกำลังสงสัยว่ามีผู้คนมากมายเท่าไหร่กันที่ถูกกิ้งก่าอสูรฆ่าในการต่อสู้ มันน่าจะเป็นหลายคน!

 

“บรรดาผู้ที่เป็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้เต็มด้วยทาสและสัตว์อสูร แล้วพวกเขาจะไม่สูญเสียเงินเมื่อทาสหรือสัตว์อสูรของพวกเขาถูกสังหารอย่างงั้นหรือ? นอกจากนี้ พวกเขายังต้องให้หินบริสุทธิ์กับผู้ชนะ!” หลินเฟิงถาม เขารู้สึกทึ่งกับวิธีการของลานประลองเชลย น่าแปลกใจที่เจ้าของลานประลองเชลยมีทาสและสัตว์อสูรเข้าไปข้างในตลอด ถ้าใครบางคนในกลุ่มพวกเขาต้องถูกฆ่าตายทุกๆวัน แล้ววิธีการใดพวกเขาถึงมีทาสและสัตว์อสูรมากมายขนาดนี้?

 

“เมื่อทาสและสัตว์อสูรมาถึง แม้ว่าพวกมันจะถูกสังหาร แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ พวกเขาวางใจประสบการณ์ของทาสและสัตว์อสูรที่ได้รับในการต่อสู้แต่ละครั้ง สัตว์อสูรแข็งแกร่งขึ้นและบ้าเลือดมากขึ้นในการต่อสู้แต่ละครั้ง พวกทาสก็เช่นกันพวกเขาแข็งแกร่งขึ้นและแข็งแกร่งขึ้นเมื่อพวกเขาสู้กับความตาย เพราะพวกเขาเติบโตขึ้นในสถานะการณ์ที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย…จากนั้นเจ้าของทาสก็จะพาพวกเขาออกและขายพวกเขาในราคาแพงๆ นี่เป็นเป้าหมายของพวกเขา พวกเรามาที่นี่เพื่อแข็งแกร่งขึ้นและเพิ่มความสามารถในการบ่มเพาะพลังของพวกเรา…เช่นเดียวกับเจ้าของทาส พวกเราใช้พวกเขาเพื่อให้พวกเราแข็งแกร่งขึ้นแต่พวกเขาก็ใช้พวกเราให้สัตว์อสูรและทาสของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน”

 

หลินเฟิงรู้สึกประหลาดใจ เขาไม่เคยคิดอะไรแบบนี้มาก่อน สัตว์อสูรและทาสพวกนั้น ถ้าพวกเขาชนะในการต่อสู้พวกเขาก็จะแข็งแกร่งขึ้นซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเจ้านายของพวกเขา นอกจากนี้พวกเขายังมีค่ามากขึ้นเมื่อพวกเขาแข็งแกร่งขึ้น

 

“ถึงแม้ว่าพวกเราจะต้องเสียหินบริสุทธิ์เพื่อจ่ายเป็นค่าเข้าทุกครั้งที่พวกเราต้องการเข้ามาข้างในเพื่อต่อสู้หรือรับชม แม้ว่ามันจะไม่ได้แพง แต่ก็ควรคำนึงถึงจำนวนคนที่เข้ามาที่นี่ในทุกๆวันนี้ด้วย นอกจากนี้ผู้คนที่นั่งอยู่แถวแรกจะต้องจ่ายเงินมากขึ้น ลองนึกภาพจำนวนเงินที่พวกเขาต้องจ่ายเพื่ออยู่แถวหน้าดู” เวิ่นเหงาเสวี่ยอธิบายให้หลินเฟิงฟัง หลินเฟิงยิ้มและส่ายหัว หลินเฟิงรีบสรุปเกินไป เขาละเลยความจริงที่ว่าทุกคนต้องจ่ายอะไรบางอย่างเมื่อพวกเขาต้องการเข้ามาในลานประลอง

 

ในขณะนั้น ชายชราประกาศ : “อสูรกิ้งก่า อสูรระดับจิตวิญญาณขั้นที่ 4 ชนะต่อเนื่องถึง 28 รอบ!”

 

ทุกๆคนต่างประหลาดใจเมื่อได้ยินชายชรากล่าว อสูรกิ้งก่านั้นน่ากลัวจริงๆ! มันสังหารผู้คนไปแล้วมากมาย!

 

“ใครก็ตามที่สามารถเอาชนะกิ้งก่าอสูรได้โดยที่อยู่สูงกว่าระดับพลังขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 4จะได้รับหินบริสุทธิ์ระดับกลาง 20 ก้อน ส่วนคนที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 4 จะได้รับหินบริสุทธิ์ระดับกลาง 100 ก้อน ” ชายชรากล่าวต่อ

 

“หินบริสุทธิ์ระดับกลาง 20 ก้อน…เยอะอะไรอย่างนี้!” หลินเฟิงคิด หินบริสุทธิ์ระดับกลาง 20 ก้อนเท่ากับหินบริสุทธิ์ระดับต่ำ 2000 ก้อน มันเพียงพอที่จะฝึกฝนบนชั้น 4 ของหอฝึกตนเป็นเวลา 2 ปี ผู้ที่ฝึกฝน 2 ปีภายในหอฝึกตนจะยกระดับพลังและแข็งแกร่งขนาดไหนกัน!

 

“แต่การที่จะเดิมพันด้วยชีวิตเพื่อที่จะกลายเป็นคนร่ำรวยนั้นก็น่าหวาดกลัวเหมือนกัน!” หลินเฟิงคิด หลินเฟิงได้ตระหนักว่านิกายหยุนไห่ค่อนข้างยากจน เจ้าของลานประลองเชลยมีหินบริสุทธิ์มากมายช่างน่าหวาดกลัวจริงๆ!

 

หินบริสุทธิ์ระดับปานกลาง 20 ก้อนเพียงพอที่จะซื้อทาสที่แข็งแกร่ง , ทักษะต่อสู้ดีๆ หรือเทคนิคการเคลื่อนที่

 

เมื่อหลินเฟิงพิจารณาเรื่องเหล่านี้ เขาจึงลุกขึ้นยืนปราศจากความลังเลและพูดอย่างเฉยเมยว่า : “ข้าจะเป็นคู่ต่อสู้คนต่อไปเอง!”

 

********************************************************************

ติดตามได้ที่ – 

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments