ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปด้านนอกของสำนัก มีคนจำนวนหนึ่งกำลังมุ่งตรงไปยังประตูหลัก
ผู้นำกลุ่มผู้อยู่ในชุดสีฟ้าและสวมหน้ากากที่งดงาม เขาเป็นชายวันกลางคนที่มีปราณอันเยือกเย็นกระจายออกมาจากร่าง ในบรรดาผู้ที่ติดตามมามีบางคนซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ที่เกิดในลานประลองเชลย
ในบรรดากลุ่มคนของตระกูลไป๋เหล่านี้ มีชายหนุ่มหนึ่งคนที่สวมหน้ากากสีทอง มือของเขาถูกพันด้วยผ้าพันแผล แววตาของเขาราวกับปีศาจ มันทำให้ดูชั่วร้ายอย่างมาก
ทันใดนั้นเอง มีร่างเงา 2 ร่างกระโจนลงมาขวางทางของพวกเขาเอาไว้ “มีเพียงศิษย์ของสำนักและผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้นที่จะเข้าไปในสำนักได้ คนอื่นไม่มีสิทธิ์!”
ชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อผ้าสีฟ้าก้าวออกไป ผมของเขาปลิวไสวไปตามสายลม
“ไสหัวไป” ชายวัยกลางคนในชุดสีฟ้ากล่าว เขาเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวก็สามารถผลัก 2 คนนั้นออกไปได้อย่างง่ายดาย เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
“ขอบเขตปฐพี!”
กลุ่มคนเดินเข้าไปในสำนักสวรรค์ ยามทั้ง 2 คนลุกขึ้นและเริ่มเดิน
ชายวัยกลางคนที่อยู่ขอบเขตปฐพีต้องไม่ได้มีจุดประสงค์ที่ดีแน่นอน
เหล่าสมาชิกตระกูลไป๋เดินไปถึงหนึ่งในพระราชวัง มันคือสถานที่ที่ศิษย์ผู้ศึกษาวิชาทหารอาศัยอยู่
“หยุด!”
ทันใดนั้นก็ได้มีคนกลุ่มใหญ่เดินมาอยู่หน้ากลุ่มของคนตระกูลไป๋
ชายวันกลางคนขมวดคิ้ว “ออกไปให้พ้นจากทางของข้า”
“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร? กล้าดียังไงถึงไม่เคารพกฎของสำนัก?” หนึ่งในนั้นกล่าวอย่างเย็นชา
ชายวัยกลางคนมองไปที่เขาและกล่าว “เอาคนที่คุยรู้เรื่องออกมา”
“เจ้าต้องการอะไร? แล้วเจ้ามาที่นี่ทำไม?” ทันใดนั้นชายที่อยู่ในเสื้อคลุมดำก็กล่าวออกมา
“ข้าต้องการให้พวกเจ้าส่งตัวใครบางคนมา” ชายวัยกลางคนกล่าวอย่างไม่แยแส
“ส่งตัวใครบางคน?” ชายในเสื้อคลุมดำยิ้มอย่างเย็นชาและกล่าว “ไม่เพียงแต่เจ้าจะไม่เคารพกฎ แต่เจ้ายังกล้าขอให้ข้าส่งตัวศิษย์ของสำนักให้เจ้า?”
ชายวันกลางคนยิ้ม ทันใดนั้นเขาก็ยกมือขึ้นมาจากนั้นก็ปรากฏแสงสว่างรอบๆมือของเขา
เมื่อชายในเสื้อคลุมดำเห็นแสงที่อยู่บนมือของชายวัยกลางคน การแสดงออกทางสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปในทันที
“เจ้าบอกว่าคนนอกไม่มีสิทธิ์เข้ามาในสำนักสวรรค์ ถ้าเช่นนั้นข้าก็อยากที่จะถามเจ้าเหมือนกัน เจ้าอนุญาตให้ศิษย์ของเจ้าไปที่ลานประลองเชลยของข้าและยังให้พวกมันสังหารคนในตระกูลของไป๋ทั้งยังขโมยทาสของข้ามาอีก 2 คน? เจ้าคงจะช่วยอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้?” ชายวัยกลางคนกล่าว น้ำเสียงของเขาทรงพลังอย่างมาก แรงกดดันที่น่ากลัวแผ่ออกมาจากร่ายกายของเขาอย่างต่อเนื่อง
“ถ้าเจ้าไม่ยอมส่งตัวผู้ที่ขโมยทาสของข้ามา ข้าคงต้องระบายโทสะออกมาบ้าง”
ใบหน้าของชายในเสื้อคลุมดำบิดเบี้ยว เขาเป็นอาจารย์ของสำนักสวรรค์และมีสถานะที่สูงมาก แต่เขาก็รู้ดีว่าไม่อาจรับมือกับชายวัยกลางคนคนนี้ได้และกลุ่มคนที่ติดตามเขามาก็ไม่อาจนับได้ว่าธรรมดา
“ใครคือผู้ก่อปัญหาให้เจ้า?” ชายในเสื้อคลุมดำถาม
“ศิษย์ทหารทนามว่าหลินเฟิง และศิษย์อีกคน เวิ่นเหงาเสวี่ย…”
“เวิ่นเหงาเสวี่ย?!” ชายในเสื้อคลุมดำประหลาดใจ ชายวัยกลางคนกล่าว “คนที่จะต้องรับผิดชอบการกระทำส่วนใหญ่ก็คือหลินเฟิง เจ้าไม่จำเป็นต้องส่งตัวเวิ่นเหงาเสวี่ยมา… แต่หลินเฟิงและทาสอีก 2 คน เจ้าจะต้องนำพวกมันมาให้ข้าในทันที”
แม้ว่าชายวัยกลางคนจะมีสถานะที่สูงมากแต่เขารู้ดีว่าไม่อาจทำอะไรเวิ่นเหงาเสวี่ยได้ ทางสำนักสวรรค์จะไม่ยอมส่งมอบเขามาให้อย่างแน่นอน
“ไปบอกให้หลินเฟิงและทาสอีก 2 คนให้ออกมา” ชายในเสื้อคลุมดำกล่าวกับชาย 2 คนที่ยืนอยู่ข้างกายเขา
ดูเหมือนว่าชายวัยกลางคนจะรู้สึกพึงพอใจ ดวงตาของชายหนุ่มที่สวมหน้ากากสีทองส่องประกายที่ชั่วร้ายออกมา
หลินเฟิงนั่งสมาธิอยู่ภายในห้อง ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นทำให้เขาลืมตาขึ้นมา
“หลินเฟิงออกมา!” เสียงตะโกนที่หยาบคายดังขึ้น หลินเฟิงประหลาดใจ สำนักสวรรค์มีกฎที่ว่า ไม่ว่าผู้ใดก็ตามไม่อาจที่จะเข้ามาในส่วนที่พักของผู้อื่นได้หากไม่ได้รับอนุญาต
หลินเฟิงลุกขึ้นยืน เขารู้สึกดีขึ้นแต่การพื้นฟูอาการบาดเจ็บของเขายังไม่สมบูรณ์
หลินเฟิงมองไปยังชายที่เรียกเขา เขาเองก็เป็นศิษย์ของสำนัก
“เจ้าคือหลินเฟิง?” ศิษย์คนนั้นกล่าวอย่างไม่แยแส
“ใช่ แล้วทำไม?” หลินเฟิงถามขณะขมวดคิ้ว
“โง่เขลาสิ้นดี มันคิดว่าตัวเองสามารถทำอะไรก็ได้เพียงเพราะเป็นสหายกับเวิ่นเหงาเสวี่ย ในตอนแรกมันไปยั่วยุเฮยม๋อและตอนนี้ยังไปสร้างปัญญาที่ลานประลองเชลย” ศิษย์คนนั้นคิด
คนทั้ง 2 คิดว่าที่หลินเฟิงกล้าทำแบบนี้เป็นเพราะเขาเป็นสหายของเวิ่นเหงาเสวี่ย พวกเขาคิดว่าหลินเฟิงเป็นเหมือนกับสุนัขที่จะต้องคอยให้เจ้านายมาตามแก้ไขปัญญาที่ตัวเองก่อขึ้น
“ตอนนี้ นำทาสที่เจ้าขโมยจากลานประลองเชลยมา มีบางคนต้องการที่จะพบกับเจ้า” ศิษย์อีกคนกล่าว หลักจากที่พูดจบเขาก็เริ่มเดินจากไป
“เดี๋ยว เดี๋ยว!” หลินเฟิงกล่าว
“มีอะไร?”
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะลืมบางอย่าง?”
“ลืมอะไร?” ชายคนนั้นกล่าว จากนั้นเขาก็ยักไหล่และกล่าวต่อ “ก็ไม่นิ ข้าไม่ได้ลืมอะไร”
“เจ้าลืมแน่นอน” หลินเฟิงกล่าวอย่างหนักแน่น
ชายคนนั้นเริ่มที่จะมีโทสะ “เจ้ากำลังล้อเล่นกับข้า?”
“ข้าไม่ชอบล้อเล่น เจ้าตรงมายังห้องของข้าและยังทำท่าทางหยาบคาย แล้วเจ้ายังไม่คิดที่จะขอโทษข้า?” หลินเฟิงยิ้มอย่างเย็นชา
“ขอโทษเจ้า?” ศิษย์คนนั้นยิ้มราวกับว่ากำลังฟังเรื่องตลก จากนั้นเขาก็เมินเฉยต่อหลินเฟิงและก้าวเดินเพื่อที่จะจากไป
ทันใดนั้น ปราณที่เยือกเย็นก็เข้าปะทะกับร่างกายของเขาและบดขยี้ตัวเขาไว้ เขาตกตะลึงอย่างมากและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
ศิษย์คนนั้นหันไปและพบว่าหลินเฟิงกำลังก้าวเดินมาหาเขาอย่างช้าๆ ร่างกายของหลินเฟิงกำลังปลดปล่อยปราณน้ำแข็งที่ทรงพลังออกมา
“เจ้ากำลังจะทำอะไร?”
“ข้าเพียงแค่ไม่ชอบคนที่ทำตัวหยาบคาบกับข้า” หลินเฟิงกล่าว ปราณที่เขาปลดปล่อยออกมาเริ่มที่จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ศิษย์คนนั้นตกอยู่ในความหวาดกลัวอย่างสิ้นเชิง เขาไม่มีทางต่อกรกับหลินเฟิงได้ในแง่ของความแข็งแกร่ง
“ข้ามาที่นี่ในนามของอาจารย์ เจ้าเพียงแค่ตามข้ามา” เขากล่าว
“แน่นอน ในตอนแรกข้าอาจจะไปกับเจ้า แต่เจ้าละเมิดกฎของสำนักและแสดงพฤติกรรมหยาบคายในพื้นที่ของข้า ถ้าเจ้าวางแผนที่จะโน้มน้าวข้าให้ไปกับเจ้า เจ้าคงต้องผิดหวังแล้ว เจ้าทำตัวหยาบคายกับข้าแล้วยังจะให้ข้าฟังคำพูดของเจ้า? คนอื่นๆจะไม่หัวเราะข้าหรือไงที่ข้าต้องทำตามที่เจ้าบอกทั้งๆที่เจ้าแสดงพฤติกรรมต่ำๆในพื้นที่ของข้า?” คำพูดของหลินเฟิงแฝงไว้ด้วยปราณที่เยือกเย็น อุณหภูมิรอบๆตัวเขาเริ่มลดต่ำลงเรื่อยๆ
ชายคนนั้นหวาดกลัวอย่างมาก หลินเฟิงเพียงแค่ยกกำปั้นและต่อยออกไป
“ย๊ากก” ศิษย์คนนั้นตะโกนออกมา เขาปล่อยหมัดพุ่งตรงไปที่หลินเฟิง ปราณที่เขาปล่อยออกมาทำให้บรรยากาศสั่นสะเทือน เมื่อกำปั้นของพวกเขาเข้าปะทะกัน เขาสามารถรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดที่มือของเขาในทันที
“ไสหัวไป” หลินเฟิงเตะออกมาไปอย่างแรง ศิษย์คนดังกล่าวถูกส่งบินออกไปด้านนอกและถูกปกคลุมโดยชั้นน้ำแข็ง
“เศษขยะขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 3 กล้าที่จะมาหยิ่งยโสในพื้นที่ของข้า” หลินเฟิงตะโกน “รออยู่ข้างนอก ถ้าเจ้าก้าวเข้ามาในพื้นที่ของข้าอีกครั้งข้าจะทำให้เจ้าพิการ”
ติดตามได้ที่ –