I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Peerless Martial God ตอนที่ 152 การเดินทาง

| Peerless Martial God | 1570 | 2365 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

“สมาธิ!” หลินเฟิงพูดพึมพัม

 

สิ่งที่อาจารย์กล่าวหมายถึงแม้เขาจะดูแข็งแกร่งเพราะเขามีความสามารถทางธรรมชาติสูง แต่ก็ยังคงเป็นไปได้ที่เขาจะสามารถปลดปล่อยคความสามารถตามธรรมชาติเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่

 

“ถูกต้องสิ่งที่ข้าทำไม่ได้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงที่แท้จริงของข้า” หลินเฟิงกล่าว หลังจากทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเขาความกดดันจากสังคมและบรรดาคนโง่ที่เข้ามายั่วยุเขาเป็นเรื่องยากสำหรับหลินเฟิงที่จะหาเวลาทำสมาธิเพื่อให้เขาไตร่ดรองได้

 

หลินเฟิงไม่รู้วิธีตอบโต้ในบางสถานการณ์ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อต้วนเทียนหลางทำลายนิกายหยุนไห่ เขาได้จับหานหมานและพั่วจวิน แล้วขายพวกเขาให้กับตระกูลไป๋ ซึ่งทำให้พวกเขากลายเป็นทาสแล้วหลินเฟิงจะไม่สังหารสมาชิกทั้งหมดของตระกูลไป๋ได้อย่างไร? เขาเกลียดพวกมันจากก้นบึ้งของหัวใจของเขาและเกลียดสิ่งที่พวกเขาได้กระทำกับผู้อื่นอีกหลายล้านคน เขารู้ว่ามันผิด แต่เขาก็ไม่สามารถอดกลั้นได้ เขาต้องฆ่าพวกมัน … เพราะพวกมันเหล่านั้นจะกระทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆกับคนอื่นๆ

 

ไม่มีใครสามารถหลบหนีจากอารมณ์ทั้ง 7 ของมนุษย์ได้

 

ผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งมักทำตามเจตนารมณ์ของพวกเขาด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธา

 

“ท่านอาจารย์ ได้โปรดสอนวิธีบรรเลงพิณแก่ข้าได้ไหม?” หลินเฟิงถามอย่างสุภาพ

 

“สมาธิ” อาจารย์กล่าวอย่างไม่แยแสแล้วพูดต่อ: “ความคิดและพฤติกรรมของเจ้าไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เจ้าต้องมีสมาธิมากกว่านี้ เจ้าต้องลืมความวุ่นวายที่เกิดขึ้นให้หมด เจ้าจำเป็นต้องชำระล้างสิ่งที่แปดเปื้อนที่เจ้าสะสมไว้ในใจตลอดหลายปี อย่าปล่อยให้ความสับสนวุ่นวายของโลกควบคุมหัวใจอันบริสุทธิ์ของเจ้าและขัดขวางไม่ให้เจ้ากลายเป็นคนที่แข็งแกร่งขึ้น”

 

 

“สมาธิ,ชำระล้างสิ่งแปดเปื้อนในหัวใจ… ” หลินเฟิงพูดทวนเบาๆ เหมือนก่อนหน้านี้ เสียงของพิณได้เจาะลึกเข้าไปในหัวใจของหลินเฟิง หลินเฟิงนั่งลงกลางต้นพีชและเริ่มทำสมาธิ เขาค่อยๆหลับตาลง

 

เหมือนแต่ก่อน อาจารย์ไม่เคยเงยหน้าขึ้นมามองและยังคงบรรเลงพิณต่อ

 

เมื่อเมิ่งฉิงเห็นว่าหลินเฟิงกำลังนั่งสมาธิ นางเดินไปอยู่ด้านหลังเขาและยังคงเพลิดเพลินกับทิวทัศย์ นางมองไปที่ต้นพีชและดอกของมันด้วยความเพลิดเพลิน นางไม่เคยเห็นต้นไม้พีชที่เบ่งบานมาก่อนในชีวิตของนางเพราะมันไม่มีบนหุบเขาวายุทมิฬ

 

เสียงเพลงเต็มไปด้วยความสงบและเบิกบานใจ ทำให้คนลืมทุกสิ่งทุกอย่างและปล่อยให้เพลงบุกรุกเข้าไปในหัวใจของพวกเขา

 

ในความคิดของหลินเฟิงภาพต่างๆ ปรากฏขึ้นตอนที่เขามาถึงทวีปเก้าเมฆา จนถึงช่วงที่เขาถูกไล่ออกจากตระกูลหลินและตอนที่เขาต้องออกจากเมืองหยางโจว เมื่อเขากลับไปยังนิกายหยุนไห่ ต้วนเทียนหลางได้กวาดล้างนิกายหยุนไห่จากนั้นเขาก็ระลึกถึงช่วงเวลาที่เขาเดินทางไปที่เมืองตว้านเริ่นภาพเหตุการณ์เหล่านี้ยังคงตราตรึงอยู่ในจิตใจของเขา

 

แต่ในใจของหลินเฟิงไม่มีความเกลียดชังและความเจ็บปวดใดๆ ราวกับว่าเขาเป็นคนอื่นที่คอยสังเกตสิ่งเหล่านี้จากภายนอก เขาใจเย็นขณะมองทุกช่วงเวลาในใจของเขา หัวใจของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความไพเราะของพิณและทำให้เขาสงบสุขอย่างมาก

 

บางทีเสียงเพลงน่าจะเหมาะสมกับการนั่งสมาธิ แม้แต่จิตวิญญาณของเขายังไม่เข้ามาขัดขวางเขา เพราะมันเป็นต่อเขามากและไม่เป็นอันตรายต่อเขา มันช่วยชำระล้างจิตใจ ทั้งความเกลียดชังและสิ่งต่างๆที่ไม่ดีทั้งหมดที่รวบรวมอยู่ในหัวใจของเขาออกไป

 

หลินเฟิงรู้สึกผ่อนคลายมากจนเขาค่อยๆหลับไป

 

ใบของต้นพีชยังคงกระพืออยู่ในสายลม หลังจากนั้นไม่นานหลินเฟิงก็ลืมตาขึ้น เมื่อเขาลืมตาขึ้นเขาก็เห็นอาจารย์ผู้ซึ่งยังคงบรรเลงพิณอยู่

 

เมิ่งฉิงยังคงดูบริสุทธิ์และไร้เดียงสาเหมือนเคย นางยังคงยืนนิ่งอย่างไร้อารมณ์ความรู้สึก ทำให้นางเกือบจะดูเหมือนรูปปั้น

 

หลินเฟิงค่อยๆลุกขึ้นอย่างช้าๆ ในขณะนั้นเขาดูแปลกใจและแสดงอาการแปลกๆบนใบหน้า

 

“5… ขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ห้า?” หลินเฟิงตรวจสอบระดับพลังของเขา ถูกต้องแล้วเขาได้ทะลวงไปยังขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 5

 

“การทำสมาธิ ผลลัพธ์ที่ได้รับช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ” หลินเฟิงกล่าว เขามีรอยยิ้มขนาดใหญ่ปรากฏบนใบหน้าของเขา การบรรลุขั้นต่างๆของขอบเขตจิตวิญญาณมันไม่ใช่เรื่องง่าย… แต่ก่อนหน้านี้หลินเฟิงได้ทะลวงผ่านไปยังขั้นที่ 4 ของขอบเขตจิตวิญญาณได้ในช่วงเวลาสั้นๆ และใกล้บรรลุขั้นที่ 5 แต่ไม่สามารถทะลวงไปได้ น่าประหลาดใจที่เขาได้ทะลวงผ่านไปขั้นถัดไประหว่างนั่งสมาธิ

 

“ขอบพระคุณอย่างยิ่ง ท่านอาจารย์” หลินเฟิงสามารถผ่านขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 5 ได้ด้วยความช่วยเหลือจากอาจารย์ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกขอบคุณอย่างมาก

 

ในที่สุดอาจารย์ก็หยุดบรรเลงพิณ เขาเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หลินเฟิงอย่างอ่อนโยน

 

“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า การที่เจ้าทะลวงไปยังขั้นที่ 5 มันเป็นเพราะพลังของเจ้าเอง พลังปราณอันบริสุทธิ์ในร่างกายของเจ้ามันเพียงพอแล้ว เจ้าได้มาถึงจุดสูงสุดของขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 4 ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เจ้าสามารถทะลวงผ่านขั้นที่ 5 ได้อย่างรวดเร็ว ข้าเพียงแค้ช่วยเจ้าขจัดสิ่งแปดเปื้อนที่เจ้าแบกรับไว้” อาจารย์กล่าวขณะยิ้ม น้ำเสียงของเขาแสดงให้เห็นว่าเขาชื่นชมหลินเฟิงมาก เขาจึงปฏิบัติต่อหลินเฟิงเหมือนกับลูกชายของตัวเอง ถึงแม้ว่าอาจารย์และเขาจะมีพลังที่แตกต่างกันมาก แต่เขาก็ไม่เคยทำตัวหยิ่งยโสเหมือนอาจารย์คนอื่นๆที่หลินเฟิงเคยเจอในอดีต

 

“ถ้าท่านไม่ได้บรรเลงดนตรี ข้าคงไม่ได้มาที่นี่ ถ้าท่านไม่ได้บรรเลงเพลงเพื่อช่วยข้า ข้าคงจะไม่ได้ผ่านไปยังขั้นถัดไปของขอบเขตจิตวิญญาณได้ ท่านอาจารย์ ข้ารู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้ง” หลินเฟิงกล่าวด้วยความสุจริตและจริงใจในขณะที่ยิ้ม

 

อาจารย์พยักหน้าเล็กน้อยแล้วยิ้มและก็พูดว่า: “ก็ได้ ข้ามีความสุขที่สามารถช่วยเจ้าได้”

 

หลินเฟิงมีรอยยิ้มที่อบอุ่นบนใบหน้าของเขาและกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ ครั้งก่อน ท่านเป็นคนบอกว่าจะสอนวิธีบรรเลงพิณให้แก่ข้า ท่านสามารถสอนข้าตอนนี้เลยได้ไหม?”

 

อาจารย์จ้องมองไปที่หลินเฟิงและกล่าวว่า “เจ้าไม่กลัวเสียเวลาการบ่มเพาะพลังของเจ้าหรือ? ตอนนี้เจ้าจะไม่ปรับระดับการบ่มเพาะพลังของเจ้าหรือ?”

 

“การปรับปรุงสภาพจิตใจเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกฝน” หลินเฟิงกล่าวขณะยิ้ม  ทำให้อาจารย์ประหลาดใจและพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

 

“ตั้งแต่ที่เจ้าต้องการเรียนรู้วิธีการบรรเลงพิณ เช่นนั้นข้าจะสอนเจ้า” อาจารย์ตอบกลับ “เมื่อใดก็ตามที่เจ้ามีเวลา เจ้าสามารถมาที่นี่ได้และข้าจะสอนเจ้า วันนี้ ข้าแค่อยากให้เจ้าฟัง เจ้าต้องฟังคนอื่นบรรเลงก่อน ก่อนที่เจ้าสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง”

 

“ขอรับ” หลินเฟิงกล่าว การฟังเสียงพิณช่วยให้เขาปรับปรุงการบ่มเพาะพลังได้ดีและเป็นเรื่องดีที่ได้รับฟัง ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ

 

อาจารย์กลับมาบรรเลงพิณอีกครั้ง หลินเฟิงและเมิ่งฉิงนั่งลงข้างใต้ต้นพีชและฟังเขาเล่น

 

………………….

 

ในห้องของหลินเฟิงมีเพียงไม่กี่คนที่มาชุมนุม หลินเฟิง, หลิ่วเฟย, หานหมานและพั่วจวิน

 

หลินเฟิงมองไปที่หานหมานและพั่วจวินและกล่าวว่า “พวกเจ้าแน่ใจหรือ?”

 

“พี่ใหญ่หลินเฟิง ข้าแน่ใจแล้ว” หานหมานกล่าวขณะพยักหน้า เขาสวมหน้ากากทองคำเพื่อปกปิดสัญลักษณ์ทาสบนใบหน้าของเขา

 

สัญลักษณ์ทาสเหล่านี้ที่ถูกประทับไว้ในใบหน้าของพวกเขาจะคงอยู่ตลอดไป… แต่ถ้าพวกเขาสามารถบรรลุระดับพลังที่สูงขึ้นได้แล้ว พวกเขาก็อาจสามารถลบมันออกได้ นี่คือเหตุผลที่ หานหมานและพั่วจวินกระตือรือร้นที่จะแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วที่สุดใครสามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยความอับอายที่มีสัญลักษณ์ดังกล่าวบนใบหน้าของพวกเขาตลอดไปกัน?

 

“พี่ใหญ่หลินเฟิงข้าก็แน่ใจเช่นกัน” พั่วจวินกล่าว ทั้งสองคนอายุมากกว่าหลินเฟิงแต่พวกเขายังคงเรียกเขาว่า “พี่ใหญ่” มันเป็นสัญลักษณ์แห่งความเคารพ หลินเฟิงก็ไม่ได้ว่ากล่าวอะไรพวกเขา ทั้งสองอายุมากกว่าเขาถึง 2 ปี แต่มันไม่ได้ห่างอะไรกันมากมาย มันจะแตกต่างกันมากกว่านี้ถ้าพวกเขาอายุมากกว่าเขามาก

 

“ก็ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางพวกเจ้า” หลินเฟิงกล่าวในขณะที่เขาดูเคร่งขรึมและพยักหน้า จากนั้นเขาก็มองไปที่หลิ่วเฟยและกล่าวว่า “เฟยเฟย ข้าขอโทษที่ต้องรบกวนเจ้า เจ้าสามารถเขียนจดหมายและส่งให้พวกเขาได้ไหม?”

 

หลิ่วเฟยพยักหน้าหยิบปากกาขึ้นมาและเริ่มเขียน

 

“หานหมาน พั่วจวิน พวกเจ้าใช้อาวุธอะไร?” หลินเฟิงถาม

 

“ข้าไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธ ผืนดินนี่แหละคืออาวุธของข้า” หานหมานกล่าวขณะส่ายหัว

 

พั่วจวินไม่ตอบกลับ หลังจาก 2-3 วินาทีเขาก็กล่าวว่า “ข้าใช้หอก”

 

“เอาล่ะ” หลินเฟิงกล่าวขณะพยักหน้า หลินเฟิงเหยียดมือของเขา ทันใดนั้นจู่ๆก็มีแสงกระพริบและจู่ๆก็มีหอกสีดำปรากฏปรากฏอยู่ในมือของหลินเฟิง

 

“ห๊ะ?” พั่วจวินและหานหมานตกตะลึง หอกมันออกมาจากไหนกัน?

 

“ไม่จำเป็นต้องประหลาดใจ ข้ามีหินล้ำค่าซึ่งสามารถช่วยให้ข้าพกสิ่งของติดตัวไปกับข้าได้ตลอดเวลา” หลินเฟิงกล่าว พั่วจวินรู้สึกซาบซึ้งอย่างมาก ไม่เพียง แต่หลินเฟิงจะช่วยชีวิตเขาไว้ แต่เขายังใจดีและใจกว้างต่อเขา

 

“พั่วจวินหอกนี้เป็นของเจ้า” หลินเฟิงกล่าวขณะส่งหอกให้พั่วจวิน ขณะที่พั่วจวินคว้าหอกจู่ๆ ปราณจากหอกก็เจาะเข้าไปในเนื้อและเลือดของเขา

 

ราวกับว่าหอกสีดำมันมีชีวิต!

 

“นี่เป็นอาวุธจิตวิญญาณ ดูแลมันให้ดีๆระหว่างต่อสู้” หลินเฟิงกล่าว

 

หานหมานและพั่วจวินต้องการไปและปกป้องตว้านเริ่น

 

“อาวุธจิตวิญญาณ?!” พั่วจวินหรี่ตาลง เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับอาวุธจิตวิญญาณมาก่อน

 

อาวุธจิตวิญญาณมีพลังงานที่แหลมคมมากและมีพลังปราณที่บริสุทธิ์พวกมันล้ำค่ามาก ผู้บ่มเพาะระดับจิตวิญญาณไม่ค่อยได้รับโอกาสให้ใช้อาวุธจิตวิญญาณ แต่น่าแปลกใจที่หลินเฟิงได้มอบมันให้กับพั่วจวิน

 

พั่วจวินรู้สึกว่ามือของเขามันรู้สึกหนักเหลือเกิน

 

ในขณะนั้นหลิ่วเฟยกลับมาหาพวกเขาและส่งจดหมายให้หมาน “เมื่อเจ้าไปถึงเมืองตว้านเริ่นให้ส่งจดหมายฉบับนี้ไปให้ท่านพ่อของข้า และเขาจะเข้าใจเอง”

 

“ขอบคุณ” หานหมานกล่าวขณะพยักหน้า จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “พี่ใหญ่หลินเฟิง พวกข้าต้องไปแล้ว”

 

“ระมัดระวังตัวด้วย” หลินเฟิงกล่าวขณะพยักหน้า หานหมานหันหลังกลับไปและเริ่มเดิน เขาได้ตัดสินใจแล้ว แต่การบ่มเพาะพลังของพวกเขามันไม่ใช่เรื่องง่าย

 

พั่วจวินโค้งคำนับหลินเฟิงและเดินตามหานหมานไป

 

หลินเฟิงไม่สามารถไปส่งพวกเขาข้างนอกได้ เพราะมันจะทำให้เขาดึงดูดความสนใจมากเกินไป เขาทำได้เพียงแค่มองไปที่แผ่นหลังของพวกเขาขณะที่พวกเขาจากไปและหวังให้พวกเขาปลอดภัย

 

******************************************************************

ปล. อ่านฟรี 4 วันนะคับ
ติดตามได้ที่ – 

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments