ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป“สมาธิ!” หลินเฟิงพูดพึมพัม
สิ่งที่อาจารย์กล่าวหมายถึงแม้เขาจะดูแข็งแกร่งเพราะเขามีความสามารถทางธรรมชาติสูง แต่ก็ยังคงเป็นไปได้ที่เขาจะสามารถปลดปล่อยคความสามารถตามธรรมชาติเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่
“ถูกต้องสิ่งที่ข้าทำไม่ได้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงที่แท้จริงของข้า” หลินเฟิงกล่าว หลังจากทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเขาความกดดันจากสังคมและบรรดาคนโง่ที่เข้ามายั่วยุเขาเป็นเรื่องยากสำหรับหลินเฟิงที่จะหาเวลาทำสมาธิเพื่อให้เขาไตร่ดรองได้
หลินเฟิงไม่รู้วิธีตอบโต้ในบางสถานการณ์ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อต้วนเทียนหลางทำลายนิกายหยุนไห่ เขาได้จับหานหมานและพั่วจวิน แล้วขายพวกเขาให้กับตระกูลไป๋ ซึ่งทำให้พวกเขากลายเป็นทาสแล้วหลินเฟิงจะไม่สังหารสมาชิกทั้งหมดของตระกูลไป๋ได้อย่างไร? เขาเกลียดพวกมันจากก้นบึ้งของหัวใจของเขาและเกลียดสิ่งที่พวกเขาได้กระทำกับผู้อื่นอีกหลายล้านคน เขารู้ว่ามันผิด แต่เขาก็ไม่สามารถอดกลั้นได้ เขาต้องฆ่าพวกมัน … เพราะพวกมันเหล่านั้นจะกระทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆกับคนอื่นๆ
ไม่มีใครสามารถหลบหนีจากอารมณ์ทั้ง 7 ของมนุษย์ได้
ผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งมักทำตามเจตนารมณ์ของพวกเขาด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธา
“ท่านอาจารย์ ได้โปรดสอนวิธีบรรเลงพิณแก่ข้าได้ไหม?” หลินเฟิงถามอย่างสุภาพ
“สมาธิ” อาจารย์กล่าวอย่างไม่แยแสแล้วพูดต่อ: “ความคิดและพฤติกรรมของเจ้าไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เจ้าต้องมีสมาธิมากกว่านี้ เจ้าต้องลืมความวุ่นวายที่เกิดขึ้นให้หมด เจ้าจำเป็นต้องชำระล้างสิ่งที่แปดเปื้อนที่เจ้าสะสมไว้ในใจตลอดหลายปี อย่าปล่อยให้ความสับสนวุ่นวายของโลกควบคุมหัวใจอันบริสุทธิ์ของเจ้าและขัดขวางไม่ให้เจ้ากลายเป็นคนที่แข็งแกร่งขึ้น”
“สมาธิ,ชำระล้างสิ่งแปดเปื้อนในหัวใจ… ” หลินเฟิงพูดทวนเบาๆ เหมือนก่อนหน้านี้ เสียงของพิณได้เจาะลึกเข้าไปในหัวใจของหลินเฟิง หลินเฟิงนั่งลงกลางต้นพีชและเริ่มทำสมาธิ เขาค่อยๆหลับตาลง
เหมือนแต่ก่อน อาจารย์ไม่เคยเงยหน้าขึ้นมามองและยังคงบรรเลงพิณต่อ
เมื่อเมิ่งฉิงเห็นว่าหลินเฟิงกำลังนั่งสมาธิ นางเดินไปอยู่ด้านหลังเขาและยังคงเพลิดเพลินกับทิวทัศย์ นางมองไปที่ต้นพีชและดอกของมันด้วยความเพลิดเพลิน นางไม่เคยเห็นต้นไม้พีชที่เบ่งบานมาก่อนในชีวิตของนางเพราะมันไม่มีบนหุบเขาวายุทมิฬ
เสียงเพลงเต็มไปด้วยความสงบและเบิกบานใจ ทำให้คนลืมทุกสิ่งทุกอย่างและปล่อยให้เพลงบุกรุกเข้าไปในหัวใจของพวกเขา
ในความคิดของหลินเฟิงภาพต่างๆ ปรากฏขึ้นตอนที่เขามาถึงทวีปเก้าเมฆา จนถึงช่วงที่เขาถูกไล่ออกจากตระกูลหลินและตอนที่เขาต้องออกจากเมืองหยางโจว เมื่อเขากลับไปยังนิกายหยุนไห่ ต้วนเทียนหลางได้กวาดล้างนิกายหยุนไห่จากนั้นเขาก็ระลึกถึงช่วงเวลาที่เขาเดินทางไปที่เมืองตว้านเริ่นภาพเหตุการณ์เหล่านี้ยังคงตราตรึงอยู่ในจิตใจของเขา
แต่ในใจของหลินเฟิงไม่มีความเกลียดชังและความเจ็บปวดใดๆ ราวกับว่าเขาเป็นคนอื่นที่คอยสังเกตสิ่งเหล่านี้จากภายนอก เขาใจเย็นขณะมองทุกช่วงเวลาในใจของเขา หัวใจของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความไพเราะของพิณและทำให้เขาสงบสุขอย่างมาก
บางทีเสียงเพลงน่าจะเหมาะสมกับการนั่งสมาธิ แม้แต่จิตวิญญาณของเขายังไม่เข้ามาขัดขวางเขา เพราะมันเป็นต่อเขามากและไม่เป็นอันตรายต่อเขา มันช่วยชำระล้างจิตใจ ทั้งความเกลียดชังและสิ่งต่างๆที่ไม่ดีทั้งหมดที่รวบรวมอยู่ในหัวใจของเขาออกไป
หลินเฟิงรู้สึกผ่อนคลายมากจนเขาค่อยๆหลับไป
ใบของต้นพีชยังคงกระพืออยู่ในสายลม หลังจากนั้นไม่นานหลินเฟิงก็ลืมตาขึ้น เมื่อเขาลืมตาขึ้นเขาก็เห็นอาจารย์ผู้ซึ่งยังคงบรรเลงพิณอยู่
เมิ่งฉิงยังคงดูบริสุทธิ์และไร้เดียงสาเหมือนเคย นางยังคงยืนนิ่งอย่างไร้อารมณ์ความรู้สึก ทำให้นางเกือบจะดูเหมือนรูปปั้น
หลินเฟิงค่อยๆลุกขึ้นอย่างช้าๆ ในขณะนั้นเขาดูแปลกใจและแสดงอาการแปลกๆบนใบหน้า
“5… ขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ห้า?” หลินเฟิงตรวจสอบระดับพลังของเขา ถูกต้องแล้วเขาได้ทะลวงไปยังขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 5
“การทำสมาธิ ผลลัพธ์ที่ได้รับช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ” หลินเฟิงกล่าว เขามีรอยยิ้มขนาดใหญ่ปรากฏบนใบหน้าของเขา การบรรลุขั้นต่างๆของขอบเขตจิตวิญญาณมันไม่ใช่เรื่องง่าย… แต่ก่อนหน้านี้หลินเฟิงได้ทะลวงผ่านไปยังขั้นที่ 4 ของขอบเขตจิตวิญญาณได้ในช่วงเวลาสั้นๆ และใกล้บรรลุขั้นที่ 5 แต่ไม่สามารถทะลวงไปได้ น่าประหลาดใจที่เขาได้ทะลวงผ่านไปขั้นถัดไประหว่างนั่งสมาธิ
“ขอบพระคุณอย่างยิ่ง ท่านอาจารย์” หลินเฟิงสามารถผ่านขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 5 ได้ด้วยความช่วยเหลือจากอาจารย์ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกขอบคุณอย่างมาก
ในที่สุดอาจารย์ก็หยุดบรรเลงพิณ เขาเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หลินเฟิงอย่างอ่อนโยน
“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า การที่เจ้าทะลวงไปยังขั้นที่ 5 มันเป็นเพราะพลังของเจ้าเอง พลังปราณอันบริสุทธิ์ในร่างกายของเจ้ามันเพียงพอแล้ว เจ้าได้มาถึงจุดสูงสุดของขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 4 ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เจ้าสามารถทะลวงผ่านขั้นที่ 5 ได้อย่างรวดเร็ว ข้าเพียงแค้ช่วยเจ้าขจัดสิ่งแปดเปื้อนที่เจ้าแบกรับไว้” อาจารย์กล่าวขณะยิ้ม น้ำเสียงของเขาแสดงให้เห็นว่าเขาชื่นชมหลินเฟิงมาก เขาจึงปฏิบัติต่อหลินเฟิงเหมือนกับลูกชายของตัวเอง ถึงแม้ว่าอาจารย์และเขาจะมีพลังที่แตกต่างกันมาก แต่เขาก็ไม่เคยทำตัวหยิ่งยโสเหมือนอาจารย์คนอื่นๆที่หลินเฟิงเคยเจอในอดีต
“ถ้าท่านไม่ได้บรรเลงดนตรี ข้าคงไม่ได้มาที่นี่ ถ้าท่านไม่ได้บรรเลงเพลงเพื่อช่วยข้า ข้าคงจะไม่ได้ผ่านไปยังขั้นถัดไปของขอบเขตจิตวิญญาณได้ ท่านอาจารย์ ข้ารู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้ง” หลินเฟิงกล่าวด้วยความสุจริตและจริงใจในขณะที่ยิ้ม
อาจารย์พยักหน้าเล็กน้อยแล้วยิ้มและก็พูดว่า: “ก็ได้ ข้ามีความสุขที่สามารถช่วยเจ้าได้”
หลินเฟิงมีรอยยิ้มที่อบอุ่นบนใบหน้าของเขาและกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ ครั้งก่อน ท่านเป็นคนบอกว่าจะสอนวิธีบรรเลงพิณให้แก่ข้า ท่านสามารถสอนข้าตอนนี้เลยได้ไหม?”
อาจารย์จ้องมองไปที่หลินเฟิงและกล่าวว่า “เจ้าไม่กลัวเสียเวลาการบ่มเพาะพลังของเจ้าหรือ? ตอนนี้เจ้าจะไม่ปรับระดับการบ่มเพาะพลังของเจ้าหรือ?”
“การปรับปรุงสภาพจิตใจเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกฝน” หลินเฟิงกล่าวขณะยิ้ม ทำให้อาจารย์ประหลาดใจและพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“ตั้งแต่ที่เจ้าต้องการเรียนรู้วิธีการบรรเลงพิณ เช่นนั้นข้าจะสอนเจ้า” อาจารย์ตอบกลับ “เมื่อใดก็ตามที่เจ้ามีเวลา เจ้าสามารถมาที่นี่ได้และข้าจะสอนเจ้า วันนี้ ข้าแค่อยากให้เจ้าฟัง เจ้าต้องฟังคนอื่นบรรเลงก่อน ก่อนที่เจ้าสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง”
“ขอรับ” หลินเฟิงกล่าว การฟังเสียงพิณช่วยให้เขาปรับปรุงการบ่มเพาะพลังได้ดีและเป็นเรื่องดีที่ได้รับฟัง ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ
อาจารย์กลับมาบรรเลงพิณอีกครั้ง หลินเฟิงและเมิ่งฉิงนั่งลงข้างใต้ต้นพีชและฟังเขาเล่น
………………….
ในห้องของหลินเฟิงมีเพียงไม่กี่คนที่มาชุมนุม หลินเฟิง, หลิ่วเฟย, หานหมานและพั่วจวิน
หลินเฟิงมองไปที่หานหมานและพั่วจวินและกล่าวว่า “พวกเจ้าแน่ใจหรือ?”
“พี่ใหญ่หลินเฟิง ข้าแน่ใจแล้ว” หานหมานกล่าวขณะพยักหน้า เขาสวมหน้ากากทองคำเพื่อปกปิดสัญลักษณ์ทาสบนใบหน้าของเขา
สัญลักษณ์ทาสเหล่านี้ที่ถูกประทับไว้ในใบหน้าของพวกเขาจะคงอยู่ตลอดไป… แต่ถ้าพวกเขาสามารถบรรลุระดับพลังที่สูงขึ้นได้แล้ว พวกเขาก็อาจสามารถลบมันออกได้ นี่คือเหตุผลที่ หานหมานและพั่วจวินกระตือรือร้นที่จะแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วที่สุดใครสามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยความอับอายที่มีสัญลักษณ์ดังกล่าวบนใบหน้าของพวกเขาตลอดไปกัน?
“พี่ใหญ่หลินเฟิงข้าก็แน่ใจเช่นกัน” พั่วจวินกล่าว ทั้งสองคนอายุมากกว่าหลินเฟิงแต่พวกเขายังคงเรียกเขาว่า “พี่ใหญ่” มันเป็นสัญลักษณ์แห่งความเคารพ หลินเฟิงก็ไม่ได้ว่ากล่าวอะไรพวกเขา ทั้งสองอายุมากกว่าเขาถึง 2 ปี แต่มันไม่ได้ห่างอะไรกันมากมาย มันจะแตกต่างกันมากกว่านี้ถ้าพวกเขาอายุมากกว่าเขามาก
“ก็ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางพวกเจ้า” หลินเฟิงกล่าวในขณะที่เขาดูเคร่งขรึมและพยักหน้า จากนั้นเขาก็มองไปที่หลิ่วเฟยและกล่าวว่า “เฟยเฟย ข้าขอโทษที่ต้องรบกวนเจ้า เจ้าสามารถเขียนจดหมายและส่งให้พวกเขาได้ไหม?”
หลิ่วเฟยพยักหน้าหยิบปากกาขึ้นมาและเริ่มเขียน
“หานหมาน พั่วจวิน พวกเจ้าใช้อาวุธอะไร?” หลินเฟิงถาม
“ข้าไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธ ผืนดินนี่แหละคืออาวุธของข้า” หานหมานกล่าวขณะส่ายหัว
พั่วจวินไม่ตอบกลับ หลังจาก 2-3 วินาทีเขาก็กล่าวว่า “ข้าใช้หอก”
“เอาล่ะ” หลินเฟิงกล่าวขณะพยักหน้า หลินเฟิงเหยียดมือของเขา ทันใดนั้นจู่ๆก็มีแสงกระพริบและจู่ๆก็มีหอกสีดำปรากฏปรากฏอยู่ในมือของหลินเฟิง
“ห๊ะ?” พั่วจวินและหานหมานตกตะลึง หอกมันออกมาจากไหนกัน?
“ไม่จำเป็นต้องประหลาดใจ ข้ามีหินล้ำค่าซึ่งสามารถช่วยให้ข้าพกสิ่งของติดตัวไปกับข้าได้ตลอดเวลา” หลินเฟิงกล่าว พั่วจวินรู้สึกซาบซึ้งอย่างมาก ไม่เพียง แต่หลินเฟิงจะช่วยชีวิตเขาไว้ แต่เขายังใจดีและใจกว้างต่อเขา
“พั่วจวินหอกนี้เป็นของเจ้า” หลินเฟิงกล่าวขณะส่งหอกให้พั่วจวิน ขณะที่พั่วจวินคว้าหอกจู่ๆ ปราณจากหอกก็เจาะเข้าไปในเนื้อและเลือดของเขา
ราวกับว่าหอกสีดำมันมีชีวิต!
“นี่เป็นอาวุธจิตวิญญาณ ดูแลมันให้ดีๆระหว่างต่อสู้” หลินเฟิงกล่าว
หานหมานและพั่วจวินต้องการไปและปกป้องตว้านเริ่น
“อาวุธจิตวิญญาณ?!” พั่วจวินหรี่ตาลง เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับอาวุธจิตวิญญาณมาก่อน
อาวุธจิตวิญญาณมีพลังงานที่แหลมคมมากและมีพลังปราณที่บริสุทธิ์พวกมันล้ำค่ามาก ผู้บ่มเพาะระดับจิตวิญญาณไม่ค่อยได้รับโอกาสให้ใช้อาวุธจิตวิญญาณ แต่น่าแปลกใจที่หลินเฟิงได้มอบมันให้กับพั่วจวิน
พั่วจวินรู้สึกว่ามือของเขามันรู้สึกหนักเหลือเกิน
ในขณะนั้นหลิ่วเฟยกลับมาหาพวกเขาและส่งจดหมายให้หมาน “เมื่อเจ้าไปถึงเมืองตว้านเริ่นให้ส่งจดหมายฉบับนี้ไปให้ท่านพ่อของข้า และเขาจะเข้าใจเอง”
“ขอบคุณ” หานหมานกล่าวขณะพยักหน้า จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “พี่ใหญ่หลินเฟิง พวกข้าต้องไปแล้ว”
“ระมัดระวังตัวด้วย” หลินเฟิงกล่าวขณะพยักหน้า หานหมานหันหลังกลับไปและเริ่มเดิน เขาได้ตัดสินใจแล้ว แต่การบ่มเพาะพลังของพวกเขามันไม่ใช่เรื่องง่าย
พั่วจวินโค้งคำนับหลินเฟิงและเดินตามหานหมานไป
หลินเฟิงไม่สามารถไปส่งพวกเขาข้างนอกได้ เพราะมันจะทำให้เขาดึงดูดความสนใจมากเกินไป เขาทำได้เพียงแค่มองไปที่แผ่นหลังของพวกเขาขณะที่พวกเขาจากไปและหวังให้พวกเขาปลอดภัย
******************************************************************
ปล. อ่านฟรี 4 วันนะคับ
ติดตามได้ที่ –