ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปหลิ่วเฟยยืนอยู่ด้านหลังหลินเฟิงและกล่าว “อย่าได้กังวล พวกเขาแข็งแกร่ง ถ้าหากเกิดปัญหาที่ชายแดน พวกเขาสามารถรับมือได้แน่นอน”
หลินเฟิงยังคงนิ่งเงียบและจมอยู่กับความคิด
พั่วจวินกล่าวว่าเพราะมีสัญลักษณ์อยู่บนหน้าทำให้พวกเขาต้องใส่หน้ากากอยู่ตลอดเวลาเมื่ออยู่ในเมืองจักรพรรดิ ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดก็คือพวกเขาจะต้องไปยังชายแดน
“แม้ว่าเจ้าจะฟื้นตัวได้เกือบสมบูรณ์แล้วแต่ยังไงเจ้าก็ต้องพักผ่อนบ้าง” หลิ่วเฟยกล่าวเมื่อเห็นหลินเฟิงไม่ตอบ
หลินเฟิงหัวเราะและกล่าว “เจ้าเป็นห่วงข้าด้วย?”
การแสดงออกของหลิ่วเฟยเปลี่ยนไปและกล่าว “ใครเป็นห่วงเจ้ากันไอโรคจิต”
หลิ่วเฟยรีบเดินไปที่ประตู หลินเฟิงยิ้มออกมา ดูเหมือนว่าหลิ่วเฟยจะปากไม่ตรงกับใจเอาเสียเลย
หลินเฟิงส่ายหัวและเดินออกไป จากด้านหลัง หลินเฟิงสามารถสัมผัสได้ถึงบางคนที่เดินตามเขามา นางคือเมิ่งฉิง นางเดินตามเขามาเงียบๆ
หลินเฟิงหยุดเดินและหันกลับไปยิ้ม “เมิ่งฉิง ครั้งนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องตามข้าไปก็ได้”
เมิ่งฉิงส่ายหัวและไม่ได้กล่าวตอบ นางเพียงแค่เดินเข้าไปใกล้เขา รอยยิ้มของหลินเฟิงกว้างขึ้นแต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกไปอีก หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้น เมิ่งฉิงเป็นห่วงว่าอาจจะมีอะไรที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับหลินเฟิง
นอกจากนี้มันก็ไม่เลวนักหากเมิ่งฉิงไปข้างนอกพร้อมกับหลินเฟิง ตอนนี้เขามีศัตรูมากเกินไป
“ไม่ต้องห่วง คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นในช่วงนี้หรอก ข้าจะระวังตัว” หลินเฟิงกล่าวขึ้นอีกครั้งแต่เมิ่งฉิงก็ทำเป็นหูทวนลมไม่ว่าเขาจะพูดอะไรก็ตาม
“เมิ่งฉิง ตอนนี้คนอื่นยังไม่ค่อยรู้จักข้าแต่ถ้าเจ้าอยู่กับข้า พวกเขาจะจำได้ในทันที” หลินเฟิงกล่าวขณะหยิบหน้ากากสีเงินขึ้นมาสวม
สุดท้ายเมิ่งฉิงก็กล่าวออกมา “ก็ได้ งั้นก็ระวังตัวด้วย”
“อื้ม” หลินเฟิงยิ้ม เขาหันหลังและเดินจากไป
หลินเฟิงได้มาถึงหน้าสถานที่ที่คล้ายกับเมืองเล็กๆที่อยู่ในเมืองจักรพรรดิ เขาจ่ายเงินและเดินเข้าไป โดยไม่ลังเลเขาได้เดินเข้าไปในลานประลองเชลยแล้ว
ก็เหมือนเช่นเคยที่นี่หนาแน่นไปด้วยผู้คน หลินเฟิงมองไปยังทะเลมนุษย์จากด้านบน
หลินเฟิงค่อยๆเดินลงไปและมองเห็นลานประลองได้ชัดขึ้น
ด้านในของกรงยังคงมีทาสและสัตว์อสูรจำนวนมาก ที่แห่งนี้ยังคงเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความตาย
ทันใดนั้นก็มีบางคนมาหยุดอยู่หน้าของหลินเฟิงและขวางทางของเขาไว้
หลินเฟิงเข้าใจได้ทันที เขาหยิบหินบริสุทธิ์ระดับปานกลางออกมาและส่งให้กับชายคนนั้น จากนั้นหลินเฟิงก็สามารถเข้าไปได้โดยไม่มีปัญหา เขาเลือกที่นั่งแถวล่างๆ
หลินเฟิงนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ล่างสุดและจ้องมองไปยังลานประลองอย่างใจเย็น
ในตอนนี้ มีสัตว์อสูรประเภทงูกำลังต่อสู้กับผู้บ่มเพาะพลังอยู่ มันมีหัวที่น่าเกลียดและปล่อยควันสีดำออกจากปาก
สัตว์อสูรงูแข็งแกร่งมาก มันยังมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับตัวที่โตเต็มไว มันเป็นสัตว์อสูรขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 2 และยังต้องการเวลาที่จะเติบโต
สัตว์อสูรและมนุษย์มีความคล้ายคลึงกันในเรื่องการบ่มเพาะพลัง การต่อสู้ทำให้ทั้ง 2 แข็งแกร่งขึ้นและมีประสบการณ์มากยิ่งขึ้น ซึ่งก็เหมือนกับมนุษย์ สัตว์อสูรทั้งหมดพวกมันมีความแตกต่างกัน มนุษย์บางคนมีพรสวรรค์และศักยภาพที่สูงส่งแต่บางคนก็ไม่มี สัตว์อสูรเองก็เช่นกัน
สัตว์อสูรที่มีความพิเศษ พวกมันจะแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อเมื่อพวกมันทะลวงสู่ของเขตจิตวิญญาณและยังมีคนกล่าวว่าเมื่อพวกมันบรรลุถึงจุดสูงสุดของขอบเขตจิตวิญญาณ พวกมันสามารถเอาชนะสัตว์อสูรบางตัวที่อยู่ในขอบเขตปฐพีขั้นต้นได้ แต่เจ้างูน้อยตัวนี้ยังอยู่แค่เพียงขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 2 และยังหากไกลจากการโตเต็มวัยอย่างมาก
สิ่งที่หลินเฟิงประหลาดใจก็คือผู้บ่มเพาะพลังที่กำลังต่อสู้อยู่กับงู เขาเป็นคนที่หลินเฟิงรู้จักดี
มันคือหลินหงบุตรชายของหลินป้าเต้าและเป็นพี่ชายของหลินเชียน เขาเคยฝึกฝนอยูที่หมู่บ้านน้ำแข็งหิมะก่อนที่จะมาเข้าร่วมกับลานประลองศักดิ์สิทธิ์
ในตอนนี้หลินหงได้ทะลวงสู่ขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 2 แล้ว หลินเฟิงไม่ได้รู้สึกว่าหลินหงมีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ตระกูลหลินเกลียดชังเขาและเรียกเขาว่าขยะ พวกเขาคิดว่าหลินเฟิงอ่อนแอเกินไป แต่ตอนนี้เขาได้ทะลวงสู่ขอบเขตจิตวิญญาณขั้นที่ 5 แล้ว ไม่มีสมาชิกรุ่นเยาว์คนใดของตระกูลหลินสามารถต่อกรกับเขาได้ ในหมู่ผู้อาวุโสก็ยังมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะรับมือเขาได้เช่นกัน
หลินเฟิงเหลือบมองผ่านฝูงชนและสังเกตเห็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่นั่งอยู่บนแท่นด้านบน พวกเขาเฝ้าดูหลินหงและกำลังพูดคุยกัน
“ดูเจ้างูนั่นสิ แม้ว่ามันจะแข็งแกร่งมากแต่หลิงหงก็สามารถเอาชนะมันได้อย่างง่ายดาย ด้วยการโจมตีจากปราณน้ำแข็งของหลินหง เจ้างูนั่นจะถูกแช่แข็งได้ง่ายๆ เขาจะต้องชนะการต่อสู้ในครั้งนี้อย่างแน่นอน”
“ฮ่าๆ แน่นอน มันเป็นเรื่องที่ดีที่แม่นางหลินเชียนอนุญาตให้หลินหงต่อสู้กับเจ้างูตัวนั้น”
หลินเฟิงได้ยินทุกสิ่งที่พวกเขาคุยกันและยิ้มอย่างเย็นชา ดูเหมือนว่าหลินเชียนจะแข็งแกร่งขึ้นหลังจากที่พวกเขาพบกันครั้งล่าสุด นางนั่งอยู่กับฉู่จั่นเผิงผู้ที่กลายมาเป็นศิษย์ของลานศักดิ์สิทธิ์ ด้วยความแข็งแกร่งของเขามันเป็นเรื่องง่ายอย่างมากที่จะดูแลหลินเชียน การอยู่ใกล้ชิดกับฉู่จั่นเผิงมีแต่ทำให้สถานะของหลินเชียนสูงขึ้นและสูงขึ้นเรื่อยๆ
“ด้วยจิตวิญญาณน้ำแข็งและอัคคีจักรวาล… ข้าละสงสัยว่าระดับพลังของนางจะแข็งแกร่งเพียงใด…” จากนั้นหลินเฟิงก็ไม่ได้ให้ความสนใจ หลินเชียนไม่ได้มีความหมายอะไรต่อเขา
หลินเฟิงหันกลับไปและมองดูการต่อสู้ ในตอนนี้ ปราณของหลินหงกำลังบดขยี้ร่างกายของงู เขากำลังจะชนะการต่อสู้
ในเวลาเดียวกัน หลินเชียนที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากหลินเฟิงก็ขมวดคิ้วเมื่อนางเห็นเขา นางจ้องมองไปยังหน้ากากสีเงินของหลินเฟิง ชายที่สวมหน้ากากกำลังจ้องมองการต่อสู้อย่างใจเย็น แสงสว่างแวบผ่านตาของหลินเชียน
“หืม?” หลินเชียนครุ่นคิดเมื่อจ้องมองไปยังหน้ากากสีเงิน กลับไปตอนที่อยู่ในเมืองหยางโจวนางก็เคยเห็นหน้ากากแบบนั้น… และในตอนนี้ นางก็ได้เห็นมันอีกครั้ง
“เป็นเรื่องบังเอิญ?” หลินเชียนคิด
นางไม่เคยลืมว่าเจ้าขยะที่ถูกขับไล่ออกจากตระกูลหลินก็สวมใสหน้ากากแบบเดียวกัน
หลังจากที่นิกายหยุนไห่ถูกทำลาย ผู้รอดชีวิตส่วนใหญ่ก็กลายเป็นทาส เป็นไปไม่ได้ที่หลินเฟิงจะมานั่งอยู่ที่ลานประลองเชลยและเฝ้าดูการต่อสู้อย่างสบายใจ นอกจากนี้เขายังอยู่แถวหน้าสุด…
หลินเชียนไม่รู้ความจริงที่ว่าหลินเฟิงนั้นยังไม่ตาย นางรู้แต่เพียงว่ากองทหารม้าโลหิตได้บุกไปยังนิกายหยุนไห่และทำลายทุกอย่าง มันคงจะไร้สาระอย่างมากหากได้ยินว่ามีคนหนีรอดไปได้
ทันใดนั้น ในที่สุดหลินหงก็สามารถเอาชนะงูได้ เขาได้รับหินบริสุทธิ์ระดับปานกลาง 8 ก้อนและเดินออกมาจากกรง
หนึ่งในผู้ดูแลเอาศพของงูออกไปและแทนที่ด้วยสัตว์อสูรตัวใหม่
เมื่อฝูงชนเห็นสัตว์อสูรที่เข้ามาใหม่ พวกเขาทั้งหมดต่างประหลาดใจ
สัตว์อสูรที่ดุร้ายนั้นมีสีแดงและถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิง
มีปราณที่แหลมคมถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างกายของมัน
มันเป็นสัตว์อสูรที่ดูน่ากลัวอย่างมาก มันมีฟันที่แหลมคมเหมือนกับมีดโกน มันดูยิ่งใหญ่เกือบจะเทียบได้กับราชาแห่งสัตว์อสูร
สิ่งที่ฝูงชนประหลาดใจก็คือปีกสีแดงเพลิงทั้ง 2 ที่อยู่ด้านหลังของมัน
“เป็นสัตว์อสูรที่ดูน่ากลัวอะไรเช่นนี้” หลินเฟิงคิดเมื่อเขาเห็นมัน มันดูยิ่งใหญ่และมีปราณที่แข็งแกร่งออกมาจากร่าง เพียงแค่มองก็สามารถทำให้ผู้คนหวาดกลัว แม้แต่ผู้ดูแลก็ต้องระมัดระวังอย่างมากในการนำมันออกมา
“มันคือปีศาจสิงโตเพลิง….” มีหลายคนที่รู้จักมัน มันคือสัตว์อสูรที่น่าหวาดกลัวเป็นพิเศษ มีข่าวลือเกี่ยวกับมันและทำให้เป็นที่รู้จัก มีคนกล่าวไว้ว่าถ้ามันสามารถทะลวงสู่ขอบเขตปฐพี มันจะได้รับอำนาจพิเศษและเกือบจะอยู่ยงคงกระพัน
ชายผู้ที่นำสัตว์อสูรออกมากล่าวเสียงดัง “นี่คือปีศาจสิงโตเพลิง ผู้ที่เอาชนะมันได้จะได้รับหินบริสุทธิ์ระดับกลางจำนวน 20 ก้อน ถ้าทำให้มันเชื่องได้โดยไม่สังหารมัน ท่านสามารถนำมันกลับไปพร้อมท่านได้ในทันที”
********************************************************
ติดตามได้ที่ –