I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Spirit Vessel (灵舟) ตอนที่ 12: ก้าวผ่านอุปสรรคอีกครั้ง

| Spirit Vessel (灵舟) | 651 | 2337 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป
Spirit Vessel บทที่ 12
แปลไทยโดย : SwordGod
บทที่ 12: ก้าวผ่านอุปสรรคอีกครั้ง
เลือดในร่างกายของมันจุดประกายโดย เมล็ดพันธ์วิญญาณโลหิต กลายเป็นม้าหนีพยศวิ่งหนี มันหลบหนีการควบคุมของ เฟยหยุน และมุ่งหน้าไปทางฝ่ามือขวาของมันในรูปแบบสลักอย่างบ้าคลั่ง
เรือวิญญาณที่หลอมละลายกับเนื้อของมันทำให้เกิดเสียงดังขึ้นอีกมาอีกครั้ง
“ปัง!”
แก้วหู เฟยหยุน สั่นสะเทือนราวกับว่ามีระฆังตีซ้ำ ๆ กระแทกกระทั่นอยู่ภายในหัวของมัน
ภาพแปลก ๆ ปรากฏขึ้นภายในจิตใจของมัน มันเป็นเรือวิญญาณทองแดงดึกดำบรรพ์!
เหนือเรือทองแดงมียอดเสาสิบแปดต้นสูงตระหง่านเหมือนยอดเขาที่งดงาม เสาทองสัมฤทธิ์สิบแปดต้นได้เกิดสนิมขึ้นเรื่อย ๆ แขวนอยู่ด้านบนของพวกมันเป็นสีดำ ใบเรือขาดรุ่งริ่ง ดูเหมือนภาพวาดของชั้นฟ้าและธรณีที่ดำมืด
เรือบรรพกาลมีขนาดกว้างใหญ่และดูเหมือนจะสามารถครองโลกได้ทั้งหมด
“ปัง!”
เฟิงเฟยหยุน กระวนกระวายใจ ภาพเรือบรรพกาลภายในใจของมันแตกเป็นเมฆหมอกมากมาย ความเร็วของการไหลเวียนกระแสเลือดของมันยิ่งทำให้เกิดความน่ากลัวมากขึ้น พวกมันทั้งหมดมุ่งหน้าเข้าสู่มือขวาของมันทั้งหมดและเข้าไปในเรือวิญญาณ
“โอ้แม่เจ้า พลังของ เมล็ดพันธ์วิญญาณโลหิต อยู่นอกเหนือการคาดหมายของข้าแล้วเรือวิญญาณที่หลับไหลอยู่ก็ตื่นขึ้นอีกด้วย แล้วร่างกายของข้าจะต้านทานความเสียหายที่เกิดขึ้นได้หรือเนี่ยะ แล้วเรือวิญญาณมันจะหลบหนีข้าไปหรือเปล่า แล้วข้าจะตายมั้ย ? “
เฟิงเฟยหยุน ไม่เต็มใจที่จะพินาศ มันกักฟัน แล้วใช้ กายวิหคเพลิงอมตะ อีกครั้ง
“ซึ่ม ซึ่ม!”
เลือดในร่างกายของมันไหลวนดั่งแม่น้ำเหลืองไหลเชี่ยว
ฝ่ามือของมันเปรียบดั่งมหาสมุทรโลหิตและมีเรือวิญญาณลอยอยู่ด้านบน ทั้งสามสร้างภาพแปลก ๆ : “มหาสมุทรคลื่นโลหิต” ซึ่งมี “เรือบรรพกาลล่องลอย” และ “แม่น้ำแดงแห่งพระเจ้า” 1
ทันใดนั้นเอง จิตวิญญาณบรรพกาลภายในเรือลุกโชนขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยความหวาดหวั่นอันน่ากลัวส่งผลให้เลือดเดือดพล่านแล้วมันก็กลับเข้าไปในเส้นเลือดเข้าไปในร่างกาย
เลือดของมันกำลังเดือด!
“ปัง!”
“ปัง!”
ร่างทั้งร่างของ เฟิงเฟยหยุน สั่นสะท้าน ผมเผ้าของมันที่อยู่ในน้ำก็ลุกเป็นแนวตั้งและผิวหนังของมันแผ่รังสีสีแดงราวกับว่ามันกำลังถูกไฟเผา
มันเงยหน้าขึ้นโก่งคอแผดเสียงคำรามลั่น!
“ย้ากกกกกก!”
การระเบิดของกำลัง หลบหนีออกจากร่างกายของมัน!
ใต้ทะเลสาบที่เย็นยะเยือกที่หยุดนิ่งไม่ไหวติงเหมือนแม่น้ำที่ตายแล้ว บัดนั้น ผิวน้ำทั้งหมดก็หมุนวนขึ้นไปดั่งพายุอย่างบ้าคลั่งสร้างอ่างน้ำวนขนาดใหญ่ “ปัง!” เสียงดังสนั่นหวั่นไหวราวกับว่าหม้อขนาดมหึมาเพิ่งระเบิดขึ้นอย่างเต็มพิกัด
น้ำในทะเลสาบกระโจนขึ้นสูงกว่าสิบเมตร
คฤหาสน์ทั้งหลังได้รับการแจ้งเตือนและกลุ่มผู้คุ้มกันที่หุ้มเกราะพุ่งไปสู่ทิศทางของบ่อ
ร่างที่ทรงพลังพุ่งออกมาจากสระน้ำก่อนที่หน่วยรักษาความปลอดภัยจะมาถึงและหายตัวไปอย่างลึกลับยามค่ำคืน
“เอะอะอะไรกัน มีอะไรเกิดขึ้นที่นี่?”
“มีใครบางคนกล้าท้าทายบุกคฤหาสน์ของท่านผู้ว่า?”
“มันช่างรนหาที่ตาย!”
“พวกเราระดมคนตามหา เราต้องจับคนร้ายให้ได้!”
หัวหน้าผู้คุ้มกันถือหอกยาวยืนอยู่ริมฝั่งบ่อและสังเกตเห็นเศษซากที่เหลือจากภูเขาลอมที่ถูกทำลายจนไม่เหลือซาก จิตใจของสั่นระริกด้วยความกลัว นี่มันอำนาจพลังที่น่ากลัวเกินไปแล้ว พลังนี้มันน่ากลัวเกินไปแล้ว มันสามรถบดขยี้ทุกอย่างเป็นผุยผง
เจ้าหน้าที่คุ้มกันหุ้มเกราะราว 50 คน ค้นหารอบๆสระราวกับหมาป่า แต่ก็ไร้ประโยชน์ ผลที่ได้คือพวกมันตื่นตระหนกกับสาวใช้และคนรับใช้ภายในคฤหาสน์
วายร้ายที่สร้างความวุ่นวายนี้ เฟิงเฟยหยุน ได้เปลี่ยนชุดที่ขาดรุ่งริ่งของมันเป็นชุดนอน หนังสุนัขจิ้งจอก มันสวมรองเท้าไม้ขนาดใหญ่ สลึมสลือออกมาราวกับว่ามันหลับสนิท
เหมือนกับว่ามันเพิ่งตื่นขึ้นมา
“เสียงดังเอะอะโวยวายอะไรกันห่ะ เจ้าพวกสุนัขรับใช้ ดึกๆดื่นๆพวกเจ้าตามหาอะไรกัน? พวกเจ้ารู้มั้ยว่าพวกเจ้ารบกวนเวลาหลับเวลานอนของ นายน้อยผู้นี่น่ะ? “
เฟิงเฟยหยุน บิดเอวไปมาพูด
ผู้คุ้มกันห้าสิบคนก้าวมาข้างหน้าพร้อมกับคุกเข่าลงข้างหนึ่งบนพื้นพูด
“พวกเราผู้ใต้บังคับบัญชาคาราวะ นายน้อยเฟิง”
หัวหน้าผู้คุ้มกับยังคกเข่าข้างหนึ่มือถือหอกกล่าวออกมาเป็นการสมควร
“ตอนนี้มียอดฝีมือที่แข็งแกร่งมากได้บุกเข้าไปในคฤหาสน์ นายน้อยโปรดวางใจพวกเราจะถุ้มกันให้ท่านเอง “
ผุ้คุ้มกันชุดเกราะ รู้ดีว่านายน้อยของมันค่อนข้าง ขี้ขลาดตาขาว
เฟิงเฟยหยุน แกล้งทำเป็นตกใจกลัวสั่นงึกๆเหมือนลูกแมวตกน้ำรำพึงรำพันออกมา
“ยอดฝีมือหรอ พวกเจ้าอย่ามาล้อข้าให้ตกใจเล่นน่ะ … “
“ยอดฝีมือที่บุกเข้ามานั้นไม่ธรรมดา แค่หนึ่งฝ่ามือก็สามารถบดขยี้ภูเขาจำลองเป็นผุยผงได้ มันเป็นพลังที่น่าหวาดกลัวมาก ข้าน้อย เชื่อว่าในเมืองจวงถ่ายเซิ่นจิงทั้งหมด มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำแบบนี้ได้ “
ใบหน้าของหัวหน้าผู้คุ้มกันกระอักกระอ่วน ไม่ว่ายังไงก็ตามหลังจากที่ยอดฝีมือได้ป่นภูเขาจำลองเป็นชิ้นๆแล้วมันก็ไปทางคฤหาสน์และพวกเขาก็ลืมไปเลยว่า พวกเขาได้ละทิ้งหน้าที่
เฟิงเฟยหยุนก้มมองมือของมันอย่างสุขล้น มันเองถูกมองว่าเป็นยอดฝีมือในเมืองจวงถ่ายเซิ่นจิงที่นับได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว
“เกิดอะไรขึ้นหรอ? ผู้คุ้มกันหลิน สรุปแล้วมันเกิดอะไรขึ้นที่นี่? “
เฟิงสุ่ยหยู ท่าทางองอาจเดินเข้ามาพร้อมกับผู้ติดตามสองคน พวกเขาก้าวเข้ามาสงบนิ่งแต่หนักหน่วงท่าทางสง่าและห้าวหาญ
เสื้อผ้าที่จัดเรียบร้อยนุ่มเหมือนกำมะหยี่ เส้นผมที่รวบมัดเรียบร้อย สายตาคมกล้าดั่งมีดโกนยามมองในที่มืด
เมื่อเขามาถึงแล้วสถานที่นั้นก็เงียบลง!
ผู้คุ้มกันเห็น เฟิงสุ่ยหยู แล้วกลายเป็นยำเกรงมากขึ้น แต่ละคนจงรักภักดี ทัศนคติของพวกเขากลายเป็นเจียมตัวมากขึ้น
เหมือนข้ารับใช้ได้พบกับเจ้านายของพวกเขาแล้ว!
แม้ว่า เฟิงสุ่ยหยู จะเป็ลูกบุญธรรมของผู้ว่าการเท่านั้น แต่ว่าเขาแข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ ถือได้ว่าเขาคือทายาทของตำแหน่งนี้ ทุกคนเคารพต่อเขา
สำหรับทัศติที่พวกเขามีให้ เฟิงเฟยหยุน นั้นมันตรงกันข้ามทั้งหมด !
คนหนึ่งอนาคตคือผู้ว่าการเมือง อีกหนึ่งคือผู้ชายขี้ขาดตาขาวเที่ยวผู้หญิงไปวันๆ แล้วแบบนี้มันจะมีเปรียบเทียบกับเขาได้ยังไง?
หัวหน้าผู้คุ้มกันป้องมือก้มหน้าแล้วพุดว่า
“ข้าน้อยสมควรตาย ที่ปล่อยให้ยอดฝีมือบุกเข้ามาในคฤหาสน์ได้ นายน้อยโปรดลงโทษ “
เฟิงสุ่ยหยู เิดนเอามือไพล่หลังไปยังสระน้ำ เมื่อเห็นเศษหินก้อนนั้นดวงตาของเขาก็เบิกโพรงตาแทบหลุดออกจากเบ้า
“พลังแข็งแกร่งมาก ไม่ใช่อะไรที่พวกเจ้าจะจัดการได้ ทุกคนลุกขึ้น! ฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ฝึกฝนพวกเจ้าไม่ต้องละอายใจ ข้าจะรายงานเรื่องนี้แก่พ่อบุญธรรม ให้ท่านเป็นคนตัดสิน “
หัวหน้าผู้คุ้มกันพร้อมด้วยกองกำลังติดอาวุธห้าสิบคนก็โล่งใจ ในหัวใจของพวกเขา ชื่นชมเขาสำหรับความคิดที่ฉลาดนี้ เขาเป็นคนที่น่ายกย่องที่สุดของคนรุ่นไหม่
พวกเขาแอบเปรียบเทียบเฟิงเฟยหยุนกับเฟิงสุ่ยหยูภายในใจของพวกเขา พวกเขาได้แต่ตะขิดตะขวงใจ คนหนึ่งเป็นวีรบุรุษไร้ที่ติขณะที่อีกคนหนึ่งโง่เขลาเบาปัญญาเท่านั้นและรอคอยการตายของตัวเอง
มันไใ่ใีอะไรที่จะเปรียบเทียบได้!
ผู้คุ้มกันหุ้มเกราะทั้งห้าสิบคนกลับลงมาจากที่เกิดเหตุ
เฟิงเฟยหยุน ถอนหายใจต่อความเป็นเลศของ เฟิงสุ่ยหยู คนผู้นี้ละเอียดรอบคอบและมีพรสวรรค์ในการกระทำและความคิดของเขา เขาสามารถเอาชนะใจผู้คนด้วยประโยคง่ายๆเพียงสองสามประโยค ช่างน่ากลัวจริงๆ!
“เฟยหยุน ข้าได้ยินมาว่าเจ้ากำลังศึกษายุทธศาสตร์ทางทหารกับ นักวางแผนยุทธศาตร์เก่อ เจ้าได้เรียนรู้อะไรบ้างหรือยัง?”
เฟิงเฟยหยุน ที่กำลังจะหันหลังกลับเข้าบ้าน แตะถุกหยุดไว้โดยเฟิงสุ่ยหยู
มันหยุดลงหันข้อเท้ากลับมาแล้วฉีกยิ้ม
“กลยุทธ์ที่วุ่นวายของ นักวางแผนยุทธศาตร์เก่อ บางครั้งก็เกี่ยวกับการล้อมปราสาทบางครั้งก็เกี่ยวกับการจัดระเบียบแบบแผน พวกมันทั้งหมดเหมือนการเล่นของเด็ก ข้าไม่ได้สนใจมันน่าเบื่อน่าเบื่อ! หากท่านพี่สนใจท่านพี่ไม่มากับข้าเพื่อฟังตาแก่นั่นบ่นจู้จี้จุกจิก?
เฟิงสุ่ยหยู ได้ทราบข่าวความแข็งแกร่งของ เฟิงเฟยหยุน นั้นน่ากลัวมาก มันตัดแขนของหัวหน้าอู๋ขาด ตัวตนที่แท้จริงของมันไม่ใช่อย่างที่มองเห็นภายนอกนี้
หลายปีมานี้มันหลอกข้ามาโยตลอดหรือเปล่า?
เจ้าเด็กนี่มันเก็บตัวอุบเงียบไว้!
มีหลายพันความคิดในหัวของเฟิงสุ่ยหยู แต่มันต้องตีสองหน้าออกมาว่า
“สิบแปดประเภทสงคราม สามสิบหกวิถีโอบล้อม เจ็ดสิบสองวิธีป้องกัน ข้าเข้าใจมันทั้งหมดตั้งแต่เจ้ดปีก่อน และท่องมันจนขึ้นใจ การชี้แจงเหตุผลง่ายๆบนกระดาษกับข้าแล้ว มันไม่สำคัญอีกต่อไป เฟยหยุน ตอนนี้เจ้าอยู่ระดับเบื้องต้นของยุทธศาตร์สงคราม หลังจากนี้แปดหรือเก้าปีเจ้าอาจจะเข้าถึงระดับสูงของข้า เจ้าต้องพยายามให้มากนะ! “
คนผู้นี้ ช่างหยิ่งจริงๆเลย!
“ท่านพี่ช่างมีพรสวรรค์มากจริงๆข้าอดไม่ได้ที่ได้แต่ต้องชื่นชม!”
เฟิงเฟยหยุน หาวแล้วยิ้ม
“ข้าทนไม่ไหวแล้ว ข้าต้องขอตัวไปนอนก่อน!”
ด้วยเหตุนี้ เฟยหยุน หมุนกายแล้วจากไป
รอยยิ้มบนใบหน้าของ เฟิงสุ่ยหยู หายไปอย่างช้าๆ เขามองย้อนกลับไปที่หลังของ เฟิงเฟยหยุน ขณะที่เขากำลังออกไปและการแสดงออกของเขาก็เย็นชาและไกลห่างออกไป
“นายน้อย เจ้าเด็กนี่มันเป็นขยะไม่ใช่หรอหรือว่ามันแกล้งทำตัวไร้ประโยชน์?”
ผู้ติดตามที่อยู่เบื้องหลังเขาถาม
เฟิงสุ่ยหยู ูดว่า
“ต่อหน้าข้ามันก็แค่นั้น ศาตร์แห่สงคราม ต่อให้มันเรียนเป็นสิบปีมันก็ไม่มีทางไล่ตามข้าทันหรอก มันอยู่ขั้นต้นเขตแดนวิญญาณ ขณะที่ข้าอยู่จุดสูงสุดเขตแดนวิญญาณ ต่อให้มันก้าวหน้ากว่านี้อีกสิบเท่า มันก็ยังไม่ใช่คู่มือของข้าอยู่ดี “
ความแตกต่างระหว่าง เขตแดนขั้นต้น กับจุดสูงสุดนั้นห่างกันนับสิบเท่าพวกเขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันของการดำรงอยู่ดังนั้นแม้ว่า เฟิงสุ่ยหยู รู้ว่า เฟิงเฟยหยุน ปลูกฝังเขาก็ไม่สนใจ
การบรรลุเขตแดนระดับต้นจนถึงจุดสูงสุด ไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้ในชั่วข้ามคืน แม้จะมีพรสวรรค์ที่ที่พระเจ้าประทานมามากแค่ไหนมันจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามปี มันไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาๆจะทำได้แม้ต้องใช้เวลา สิบปี
เขาไม่เชื่อว่าความสามารถของ เฟิงเฟยหยุน นั้นสูงกว่าเขา!
“งี่เง่าต้องการที่จะลุกขึ้นอีกครั้งหรอ แน่นอนว่าข้าจะเหยียบแกให้จมดินจนโงหัวไม่ขึ้น “
รอยยิ้มที่จาง ๆ บนใบหน้าของเฟิงสุ่ยหยูเป็นธรรมชาติราวกับว่าเขากำลังวางแผนอะไรบางอย่าง
เขาไม่ใช่แค่อัจฉริยะด้านการบ่มเพาะเท่านั้น แต่ยังเป็นคนหัวหมออีกด้วย
“นายน้อย ท่านผู้ว่าการ เรียกหาท่าน ท่านต้องการคุยกับนายน้อย “
แม่บ้านคำนับหัวของนาง
เฟืงสุ่ยหยู ขมวดคิ้วสงสัยว่าทำไมพ่อบุญธรรมเรียกหาเขาเอาป่านนี้ บางทีอาจจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น?
***
“แอดดด!”
เฟิงเฟยหยุน ปิดประตูและกางฝ่ามือขวาออก ภาพที่จาง ๆ ของเรือบรรพกาลได้กลายเป็นสีซีดราวกับว่ามันถูกรวมเข้าไปในเนื้อ
“เรือวิญญาณนี้ ระงับพลังของ เม้ดยาเมล็ดพันธ์วิญญาณโลหิต ไว้ในช่วงเวลาที่วิกฤติ หากไม่ได้มัน เกรงว่าตัวข้าควระเบิดม่องเท่งไปแล้ว แต่ตอนนี้ ข้าได้บรรลุ ระดับกลางเขตแดนวิญญาณ แล้ว มันคงไม่ใช่ ความสามารถของ เมล็ดพันธ์วิญญาณโลหิต แน่ผลพวงความก้าวหน้าของข้ามันต้องเป็นผลมาจาก นาวาวิญญาณ สมบัติเซียนศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจคาดเดาได้โดยใช้สามัญสำนึก “
ด้วยพลังความสามารถของ เมล็ดพันธ์วิญญาณโลหิต เอง เฟิงเฟยหยุน จะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนในทลวงผ่านเข้าสู่ขั้นกลาง แต่เนื่องจา นาวาวิญาณ เพิ่มผลกระทบของ เมล็ดพันธ์วิญญาณโลหิต ทำให้สามารถทลวงผ่านเข้ามาได้เพียงคืนเดียว
หาก เฟิงสุ่ยหยู รู้เรื่องนี้มันจะต้องคลั่งตายแน่ๆ
ระดับ ความแตกต่างระหว่างมทั้งสองเป็นเหมือนชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน
ความแตกต่างของความเข้มข้นของพลังวิญญาณหลายเท่ากว่ามาก
พลังวิญญาณในเส้นชีพจรของ เฟิงเฟยหยุน นั้นมีกำลังมาก ความเร็วในการหมุนของ ตัณเถียร ทั่วร่างกายของมันดีมากราวกับว่ามันเป็นแม่น้ำวิญญาณไหลโดยไม่หยุดพัก
ตอนนี้ถ้า เฟยหยุน และ หัวหน้าอู๋ สู้กันอีกครั้งมันจะไม่จำเป็นต้องใช้กระบี่ของมัน แค่มันตบ หัวหน้าอู๋ ก็กระดูกแหลกป่นปี้แล้ว
“ถึงแม้ว่าข้าจะทลวงเข้าสู่ระดับกลาง แต่กระบวนการชำระโลหิต ของข้ายังไม่เข้าสู่ขั้นที่สอง”
ระดับที่สองของการ ชำระโลหิต ทำให้เลือดทั่วทั้งร่างกายกลายเป็นสีเข้ม – ชอนไชเข้าไปใน นาวา ของมัน แต่เลือดในร่างกายของ เฟยหยุน เป็นสีแดงเข้มเท่านั้น มันยังอีกยาวไกลที่จะบรรลุเป็นสีดำเหมือนหมึกเต็มที่
“ถึงแม้จะทลวงเข้าสู่จุดสุดยอดของเขตแดนวิญญาณข้ากรงว่าเลือดของข้าจะยังไม่เป็นสีดำเหมือนหมึก กายวิหคเพลิงอมตะ ไม่ใช่อุปสรรคทั่วๆไป “
เฟิงเฟยหยุน ชี้นิ้วของมัน มีแสงกระพริบปริบๆพุ่งออกไปดับเทียนที่อยู่ห่างออกไปห้าก้าว
ห้องทั้งห้องมืดสนิท
หลังจากวันที่วุ่นวายทั้งหมดผ่านไปมันต้องการพักผ่อนจิตใจและร่างกาย มันต้องการนอนพักผ่อนบนเตียงหนึ่งคืนเพราะวันพรุ่งนี้มันต้องเรียนรู้ยุทธศาสตร์ทางทหารกับ นักวางแผนยุทธศาตร์เก่อ
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก!”
ประตูถูเปิดออก
แม่บ้านข้างนอกตะโกนดังขึ้น
“นายน้อยเฟิง เจ้าค่ะ ท่านผู้ว่าการ เรียกท่าน บอกว่ามีเรื่องสำคัญคุยด้วยค่ะ”
เตียงของมันยังไม่ทันอุ่นเลย แต่มันต้องดิ้นเพื่อลุกขึ้น ร่องรอยแห่งความสงสัยโผล่เข้ามาในหัวใจของมัน เกิดอะไรขึ้นในยามวิกาลนี้กัน?
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าจะเกิดเรื่องใหญ่แค่ไหน เขาก็จะเรียกหาแต่ เฟิงสุ่ยหยู นี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่เขาเรียก เฟิงเฟยหยุน
ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments