I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Spirit Vessel (灵舟) ตอนที่ 20: ตงฟางจิงเยว่

| Spirit Vessel (灵舟) | 852 | 2367 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

Spirit Vessel บทที่ 20

แปลไทยโดย : SwordGod

บทที่ 20: ตงฟางจิงเยว่

คนที่มีรากฐานสติปัญญา เป็นคนรอบรู้ มีพื้นฐานชีวิต มีชีวิตเป็นคนที่มีสติปัญญาและชีวิต จะต้องมีรากฐานอมตะเพื่อยืนอยู่บนเส้นทางการบ่มเพาะ

นี่เป็นกระบวนการที่ผู้บ่มเพาะแต่ละคนต้องประสบ พวกเขาต้องข้ามเขตแดนวิญญาณเพื่อปรับแต่งรากฐานอมตะและจากนั้นพวกเขาก็ต้องสร้างฐานเทพเจ้า

เขตแดนวิญญาณ ได้มรดกแนวทางการบ่มเพาะของอาจารย์คนหนึ่ง กับร่างกายกลายเป็นสถานที่ที่จะเก็บรักษาพลังงานจิตวิญญาณทางธรรมชาติ

ตัวอย่างเช่นมรดกของ เฟิงเฟยหยุน คือแนวทางการบ่มเพาะจากเชื้อสายวิหคเพลิงปีศาจอมตะ และ เขตแดนวิญญาณของมันยังเป็นเขตแดนวิญญาณวิหคเพลิง

ส่วนแนวทางของ เฟิงว่านเผิง กับ เฟิงสุ่ยหยู จะเป็น วายุโหม มรดกของพวกเขาเป็นของ ตระกูลเฟิง และ เขตแดนวิญญาณของพวกเขาคือเขตแดนวิญญาณวายุโหม

เหนือเขตแดนวิญญาณขึ้นไปก็จะเป็นรากฐานอมตะ

เมื่อ เขตแดนวิญญาณมัพลังวิญยาณมากพอ มันจะฝังรากฐานอมตะหยั่งรากลงไปในตันเถียรของผู้บ่มเพาะ จากนั้นก็จะดูดซับพลังงานจิตวิญญาณตามธรรมชาติของโลกและเติบโตขึ้น

เมื่อรากฐานอมตะได้สร้างเสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์แล้วมันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มันจะกลับกลายเป็นตั้งฐานเทพเจ้า

ตั้งฐานเทพเจ้าก้อนแรกได้ก่อขึ้นในโลกแห่งการบ่มเพาะ เมื่อใครคนหนึ่งก่อตั้งฐานเทพเจ้าได้แล้วการบ่มเพาะของพวกเขาจะมีคุณสมบัติกลายเป็นผู้อมตะ ตันเถียรของพวกเขาจะกลายเป็นศิลาแข็งมาก พลังวิญญาณจะกลายเป็นเก็บกดไว้และซ่อนเร้นและแม้แต่ฝ่ายตรงข้ามที่อยู่ข้างหน้าของเขาจะไม่สามารถรับรู้ว่าเขาเป็นผู้บ่มเพาะ นี่เป็นอีกประเภทหนึ่งที่น่ากลัวสุดๆ!

เขตแดนวิญาณ รากฐานอมตะ และตั้งฐานเทพเจ้า เป็นสามระดับที่ทุกคนจะต้องผ่านและแต่ละระดับมีสามขั้นคือช่วงต้น กลาง จุดสูงสุด

แน่นอนว่ายังมีระดับขั้นที่เหนือกว่า ตั้งฐานเทพเจ้า แต่ผู้บ่มเพาะที่อยู่ในกลุ่มเหล่านั้นอยู่เหนือโลกมนุษย์ แม้แต่ตระกูลที่ยิ่งใหญ่เช่นตระกูลเฟิง ที่ปกครองใน1ทิศก็ไม่ได้มีคนจำนวนมากถึงระดับดังกล่าว

เมื่อใครคนหนึ่งบรรลุระดับขั้นตั้งฐานเทพเจ้าพวกเขาจะมีอายุยืนยาวเกิน500ปีและพวกเขาจะได้รับวิชามหัศจรรย์และพวกเขาจะแข่งขันเพื่อชตากรรมสวรรค์

“ปังปัง!”

เลือดที่เดือดพล่านของซูหยุน กลายเป็นสีดำหมึกมันไม่สามารถสงบลงได้เป็นเวลานาน นาวาวิญญาณฟ้าครามทองแดงแล่นไปตามกระแสเลือดเข้าสู่หัวใจโดยไม่หยุดนิ่งไปทางตันเถียร

นาวาวิญญาณฟ้าทองแดงเฉกเช่นเรือสวรรค์โบราณโลดแล่นไปในท้องฟ้า ภายในตันเถียร ในแสงที่เปล่งสีฟ้าครามออกมามีมากมายหลากสีและแต่ละเต๋าเวทมนต์ลึกลับอักขระรูนได้ประสานกันอยู่เหนือขึ้นไป

เสาเหล็กสิบแปดต้นบนยอดนาวาวิญญาณฟ้าครามทองแดงขึ้นสนิมใบเรือที่เปิดโล่งขาดรุ่งริ่งที่ไม่รู้ว่าผ่านระยะเวลามานานเท่าไหร่แล้ว แม้แต่พลังแห่งวิญญาณเซียนศักดิ์สิทธิ์ก็เริ่มสลายไปจนหมดสิ้นลง

ถึงกระนั้นก็ตาม มันยังคงดำรงอยู่ที่อาจกระทบความกลัวเข้าสู่หัวใจของผู้คนเปล่งประกายวูบวาบชั่วนิรันดร์

นี่เป็นครั้งแรกที่ เฟิงเฟยหยุน ได้สังเกตเรือโบราณอย่างละเอียด นี่คือสิ่งที่พามันออกจากแม่น้ำเหลืองมายังสถานที่แห่งนี้ ในนั้นต้องเป็นความลึกลับพิเศษ

มันรู้สึกราวกับว่ามันถูกควบคุมโดยคนที่ไม่รู้จักในเส้นทางที่บิดเบี้ยวนี้และมันก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องใช้เส้นทางนี้

เห็นได้ชัดว่าเบื้องหลังนาวาวิญญาณมีมือลึกลับที่เปลี่ยนแปลงอักขระดวงชะตาของเฟิงเฟยหยุนให้ไปรอบๆตามกฏธรรมชาติของสวรรค์และโลกมนุษย์เพื่อให้มันกลับชาติมาเกิดและผสานกับจิตวิญญาณของนายน้อยเฟิง

ใสุดท้านแล้วความลึกลับนี้ก็ยังถูกว่อนไว้อยู่เบื้องหลังทุกๆคน ใครจะมีอำนาจเหนือธรรมชาติเช่นนี้?

นาวาวิญญาณจะต้องมีความเกี่ยวพันกันบางอย่างกับแหวนสีดำนี้

นาวาฟ้าครามทองแดงจอดนิ่งเงียบอยู่ในตันเถียร พลังงานโลกธรรมชาติที่เข้ามาหยุดบ้าคลั่ง เขตแดนวิญญาณ ที่อีกก้าวเดียวก็จะถึงรากฐานอมตะก็ได้หยุดตัวลง

“หึ ข้าก็ไม่ได้คิดว่าจะสามารถทลวงเข้าสู่รากฐานอมตะได้อยู่แล้ว”

เฟิงเฟยหยุน ลืมตาของมันขึ้น สองรัศมีฉายขึ้นแปลบปลาบอยู่ในนัยน์ตาดำของมัน รอยยิ้มผุดขึ้นมาที่มุมปากของมัน

แต่ละระดับเล็กๆคืออุปสรรคบางคนใช้เวลาหลายปีในการทลวงผ่านระดับเล็กๆ แม้แต่อัจฉริยะ เฟิงสุ่ยหยู ยังใช้เวลาหนึ่งปีในการทะลวงจากขั้นกลางเข้าสู่ระดับจุดสูงสุดเขตแดนวิญญาณ และตอนนี้เขาติดอยู่ที่ระดับสูงสุดโดยไม่ได้ก้าวขึ้นอีก

การฝึกฝนนั้นเป็นเรื่องยากและการฝึกฝนเป็นเรื่องที่ขมขื่น

ผู้ฝึกตนจะต้องอดทนต่อความโดเดี่ยวและความทรมานเพื่อที่จะบรรลุความสำเร็จกลายเป็นนักบ่มเพาะที่สามารถเหาะเหินเดินอากาศบินผ่านและออกท่องยุทธภพได้ 

เฟิงเฟยหยุนเก็บแหวนสีดำเอาไว้ในชายเสื้อด้านในแล้วคิดว่าเอาไว้มันค่อยวิเคราะห์ดูอีกทีในภายหลัง ทันใดนั้นคอของมันก็เย็นวาบลงจากรัศมีเย็นยะเยือกที่มาจากด้านบน มันทำให้ครึ่งหนึ่งของร่างกายของมันถูกแช่แข็ง

อันตราย!

ร่างกายของเขาล้มลงกับพื้นแล้วก็เดินไปอีกยี่สิบเมตร!

“ตูม!”

จากท้องฟ้าอันมืดมิดเป็นเงาสีดำทำที่ให้พื้นดินกลายเป็นหลุมอุกกาบาตลึกสองเมตรที่ เฟิงเฟยหยุน ยืนอยู่

ควันและเปลวไฟพุ่งกระเด็นออกไปในป่าที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป

“หวือ!”

เฟิงเฟยหยุน หันไปรอบ ๆ กระบี่มังแดงถุกปลดปล่อยออกมาจากฝักใบมีดที่อยู่ในมือของมันเงาวับสะท้อนเงาดำออกมา

เมื่อควันสลายไปเงาดำค่อยๆเริ่มเผยให้เห็นรูปร่างที่แท้จริง มันเป็นรถโบราณสีขาวปกคลุมไปด้วยผลึกโปร่งใส เหมือนกับว่าพวกมันเป็นเพชร

มีเก้าตะปูวิญญาณอยู่ด้านบนของรถประดับประดาด้วยอขระรูน แม้กระนั้นเพราะท้องฟ้ามืดมันยากที่จะบอกว่าเป็นคำว่าอะไร

คนบังคับเป็นชายชราสวมหมวกสีเข้ม เฟิงเฟยหยุน สามารถระบุได้ว่าเป็นชายชราเพราะบนหัวมีผมสีขาว มันแห้งและไม่เงาและมีแต่ผมของคนชราเท่านั้นที่จะมีลักษณะนี้

รถโบราณคันนี้มาจากฟากฟ้า แต่ไม่มีสัตว์อสูรที่ชักจูงบินมาพร้อมกัน นั่นหมายความว่าผู้ลงมือมีพลังมากและการบ่มเพาะของเขาก็เพียงพอที่จะใช้พลังวิญญาณอยู่บนท้องฟ้าได้

ผู้เชี่ยวชาญด้านดังกล่าวไม่ต้องพูดถึงเมืองจวงถ่ายเซิ่นจิงแม้แต่ในมณฑลไป่หลิงยังหาได้ยาก

ชายชราคนนี้แน่นอนว่าไม่มีการบ่มเพาะดังนั้นคนที่ควบคุมรถต้องเป็นคนลึกลับภายใน

เฟิงเฟยหยุน ถือกระบี่ของมันในแนวขวางแม้ว่ามันจะรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามของมันน่ากลัวแค่ไหน แต่มันไม่กลัว หัวใจของมันสงบและพร้อมที่จะโจมตีเวลาใดก็ได้

ความเงียบผ่านไปนาน!

ไม่รู้ว่าเวลาได้ผ่านไปนานแค่ไหนแล้วหูของชายชราคนบังคับรถขยับเล็กน้อย ดูเหมือนว่าคนที่อยู่ข้างในกำลังบอกอะไรกับเขา เขาพยักหน้และค่อยๆลุกออกจากรถโบราณ ด้วยมือทั้งสองข้างไพร่หลังเขา เขาจ้องเขม็งไปที่ เฟิงเฟยหยุน แม้ว่าหมวกดำของเขาจะคลุมใบหน้าของเขา แต่ เฟิงเฟยหยุน ก็รู้สึกคุ้นเคยกับชายชรา

ชายชราคนนี้ … แน่นอนว่าเขาเคยได้พบมาก่อน

นี่เป็นสัมผัสวิญญาณ ด้วยสัมผัสวิญญาณของวิหคเพลิงอมตะสัมผัสวิญญาณมันไม่เคยผิดพลาด

อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถดำเนินการวิเคราะห์ต่อไปได้ รถสีขาวโบราณบินออกจากพื้นอย่างฉับพลันและมุ่งตรงไปยังเฟิงเฟยหยุน พร้อมกับเสียงคำรามของสายลม

โดยไม่มีการบอกกล่าวมุมของม่านรถโบราณถูกยกขึ้นและภายในมีกลิ่นหวานที่เล็ทลอดออกมาเหมือนเป็นกลิ่นจากดอกไม้วิญญาณบานบางชนิด

เฟิงเฟยหยุน ยังคงให้ความสนใจกับรถโบราณนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อรถโบราณเคลื่อนย้ายกระบี่มังกรแดงก็ขยับตาม สองมือจับใบมีดแน่นและฟันผ่านอากาศ

ใบมีดทะลุอากาศสร้างเสียง หึงๆ

“ปังปัง!”

“ตูม!”

วันนี้การบ่มเพาะของ เฟยหยุน ถึงจุดสูงสุดของเขตแดนวิญญาณ และพลังมือของมันก็น่าทึ่ง นอกจากนี้ด้วยความคมของกระบี่มังกรแดงมันสามารถทำลายกำแพงเหล็กของเมืองจวงถ่ายเซิ่นจิงได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว

การโจมตีครั้งนี้ก็มาพร้อมกับแสงสีแดงเข้มเช่นเดียวกับแรงทำลายที่ได้พบกับคู่แข่งที่คล้ายกับภูเขาสวรรค์ความกดดันจากร่างของใบมีดกระจายไปยังด้ามจับและมันทำให้มือของ เฟิงเฟยหยุน ไร้ความรู้สึก

“ปังปัง!”

ใบมีดและรถโบราณชนกันและประกายไฟลอยอยู่ทุกหนทุกแห่ง!

เฟิงเฟยหยุน สะท้อนกลับไปข้างหลัง มือของมันสั่นสะท้านมันรู้กสึกปวดกระดูกจากการโจมตี

“แกเป็นใคร! ทำไมแกถึงทำร้ายข้า? “

ใบหน้าของ เฟิงเฟยหยุน เต็มไปด้วยความโกรธ มันไม่ใช่เป็นคนที่ถูกกระต้นได้ง่ายแต่อีกฝ่ายทำไม่ถุกต้องและโจมตีมันทีเผลอ ทุกคนที่เจอแบบนี้จะโกรธได้ง่ายจนถึงขั้นที่โกนคำหยาบคายต่อมารดาของบุคคลนั้น

“ไม่ได้พบกันแค่ไม่กี่วัน เจ้าก็ทลวงมาถึงจุดสูงสุดเขตแดนวิญญาณได้แล้ว เจ้าช่างเป็นคนที่มากพรสวรรค์จริงๆ “

 

“โอ้วว ที่แท้ก็เป็นท่านบรรพบุรุษ จากตึกหยินโกว นี่เอง!”

เสียงของอีกฝ่ายทำให้เฟิงเฟยหยุนยอมรับว่าเป็นยายแก่จากตึกหยินโกว

การบ่มเพาะของยายแก่คนนี้ไม่ธรรมดาเกินขอบเขตจินตนาการเพียงแค่หนึ่งเสียงพินก็สามารถส่งซานเย่ลงไปสู่นรกได้ เมื่องเทียบพลังของนางกับกระแสพลังของเฟิงเฟยหยุนนับว่าห่างชั้นกันเกิน100เท่าแต่สุดท้ายยังไงนางก็เป็นยายแก่

แน่นอนว่าเฟิงเฟยหยุนไม่เคยเห็นหน้านางมาก่อนและมันก็แค่สันนิฐานเท่านั้น บางทีนางอาจจะเป็นหญิงสาวที่มีพรสวรรค์หายากและสง่างามก็ได้

“บรรพบุรษ..แค่ก แค่ก แค่ก!”

อีกด้านหนึ่งดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยประทับใจและเสียงนางก็ดูแปลก ๆ

 

“ถ้าท่านบรรพบุรุษไม่ชอบให้เรียกแบบนี้ งั้นบางทีข้าควรเรียกท่านว่า สาวแก่?”

“สามหาว เฟิงเฟยหยุนเจ้ารู้มั้ยว่าเจ้ากำลังพูดกับใคร? “

 

 

“ข้าเรียกนางว่าสาวแก่เพื่อไว้หน้าผู้อาวุโส หากตึกหยินโกวกดดันข้า อย่าหาว่านายน้อยผู้นี้ใจแคบ “ ***

ในชีวิตที่ผ่านมา มันเป็นผู้นำสูงสุดของเผ่าพันธ์วิหคเพลิงปีศาจอมตะ มันพบเจอผู้ยิ่งใหญ่มามากมาย หากว่าสาวแก่นางนี้ไม่ได้สังหารซานเย่เพื่อมัน บางทีมันอาจจะไม่ให้ความเคารพต่อนางมากนัก

“คุณหนู โปรดอย่างทรงกริ้ว ท่านไม่จำเป็นต้องทะเลาะกับเจ้าคนกะล่อนโปรดอย่าใส่ใจกับเจ้าเสือผู้หญิงจอมลามกนั่นเลย! “

เจิ้งตงหลิว ตกใจมาก เขาคุกเข่าลงบนพื้นเขากลัวว่าหากหญิงที่อยู่ในรถโกรธผลที่ตามมานั้นจะเป็นความหายนะเกินกว่าจินตนาการ

คุณหนู?

เฟิงเฟยหยุนงงเป็นไก่ตาแตก หญิงแก่อายุ80ปีเป็น “หญิงสาว”? แม่มันสิ! นี่เจิ้งตงหลิวมันเกินไปแล้ว อึ๋ย!น่าขนลุก

เฟิงเฟยหยุน คิดว่าตัวมันหน้าด้านแล้ว แต่มันก็ยังไม่พอเรียกหยิงแก่ว่า สาวน้อยความสามารถในการสอพลอของเจิ้งตงหลิวนี่ไม่เลวเลย!

เฟิงเฟยหยุน มองไป ถ่มน้ำลายลงพื้นตอนนี้ท้องไส้มันปั่นป่วนอยากจะอ้วกเต็มทีแล้ว!

“แป๊ะ!!แป๊ะ!!”แป๊ะ!!

เสียงปรบมือดังมาจากรถโบราณ

ครู่ต่อมามือเรียวขาวดั่งดอกบัวหิมะโผล่พ้นออกมาจากม่าน

ตงฟางจิงเยว่ ปรากฏออกมาพร้อมกับผ้าคลุมหน้าสีขาวที่ปักด้วยผีเสื้อสีฟ้าขนาดเล็ก มันมีชีวิตชีวามากจนมันเหมือนกับว่ามันมีชีวิตของตัวเอง มือสลักหยกของนางถือพินสีแดงนิ้วมือเรียวยาวไล่ขึ้นและลง นัยน์ตาสีขาวแวววับยิ้มจ้องเขม็งไปที่ เฟิงเฟยหยุน เช่นเดียวกับที่นางคิดถึงบางสิ่งบางอย่าง

ที่ประจักษ์ชัดเจนแน่นอนแล้วคือนางงดงามจนน่าทึ่ง แม้ว่าผ้าคลุมหน้าจะปกปิดความงามของนางไว้ นี่เป็นสาวงามทั้งภายในและภายนอกที่มีบรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์และสง่างาม

เอกลักษณ์ของนางไม่ได้ง่ายนักและกลิ่นอายนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้หญิงจากตระกูลทั่วๆไปสามารถมีได้

ดวงตาของ เฟิงเฟยหยุน เปิดกว้างขึ้นมันจ้องมองที่ ตงฟางจิงเยว่ ขณะที่นางก้าวลงจากรถโบราณ มันเหมือนกับว่ามันกำลังเห็นผีและร่างกายของมันเริ่มสั่นไหว ช่วยไม่ได้ที่มันต้องกำหมัดแน่นเสียงลั่นของนิ้วดัง กรุบกรับ

หัวใจของมันรู้สึกราวกับว่ามันถูกบิดกระชากเสียบแทงด้วยคมมีดเลือดในร่างของมันเดือดปุดๆด้วยความตื่นเต้น!

จะมีผู้หญิงสองคนที่มีรัศมีคล้าย ๆ กันในโลกนี้ได้อย่างไร? ตงฟางจิงเยว่ ที่ปรากฏกายต่อหน้ามันช่างมีความละม้ายคล้ายคลึงกับ สุ่ยเยว่ถิง ราวกับว่าพวกนางมาจากแม่พิมพ์เดียวกัน พวกนางมีความเป็นธรรมและศักดิ์สิทธิ์เท่าเทียมกันทุกประการ

ความเกลียดที่ทับถมอยู่ภายในหัวใจของมันก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วกลายเป็นแม่น้ำใหญ่ที่ไหลบ่าจมอยู่ภายใต้ผืนฟ้าน้ำตาที่ไหลเอ่อครอบคลุมความมีเหตุผลของมันสิ้น

เฟิงเฟยหยุน กัดฟันเคี้ยวคาง หน้าอกของมันบิดเบี้ยวจากความเจ็บปวดที่สุดแสนจะพรรณนาออกมาเป็นคำพูดได้ มันคร่ำครวญกรดร้องออกมา

“สุ่ยเยว่ถิง เจ้าอย่าคิดน่ะ! ว่าถึงเจ้าจะปิดบังใบหน้าแล้วข้าจะจำเจ้าไม่ได้ ความรักและความเกลียดชังในชีวิตก่อนหน้าและหนี้ชีวิตของเราจะมีเพียงความตายสำหรับเราเท่านั้น นังเพศยา ตายไปซ่ะเถิด! ***

ตงฟางจิงเยว่ รู้สึกประหลาดใจที่เสียงกรีดร้องของ เฟิงเฟยหยุน และจิตใจของนางก็ตกใจเล็กน้อย นางรู้สึกถึงความเกลียดชังที่ไม่มีวันสิ้นสุดของ เฟิงเฟยหยุน ที่มาพร้อมกับความเสียใจและความเศร้าโศก

ใครคนหนึ่งต้องมีความเกลียดชังถึงเท่าไหร่ ที่จะฝังรากลึกลงไปในจิตใจจนเสียความเป็นตัวตนอย่างสมบูรณ์แบบนี้?

แต่ … ใครละคือ สุ่ยเยว่ถิง?

ตงฟางจิงเยว่ พร้อมด้วยกระดูกและจิตวิญญาณอมตะแห่งเต๋า ได้จดจ่ออยู่กับการจ้องมองของนางเหมือนกับเทพธิดาที่ลงมาสู่โลกมนุษย์ หัวใจนางเต็มไปด้วยความสับสน ทำไม เฟิงเฟยหยุน ถึงได้เกลียดชังนาง? ***

กระแสลมที่สร้างขึ้นจากการฟันของ เฟิงเฟยหยุน เหมือนกระที่พุ่งไปหานาง!

“ตูม!”

แพขนตาที่สวยงามของ ตงฟางจิงเยว่ ยกขึ้นนางไม่ได้ตอบสนองการโจมตีที่เสี่ยงชีวิตของ เฟิงเฟยหยุน อีกหนึ่งกำปั้นที่ตามมาจากทางด้านขวาทำให้นางล้มลงกับพื้น พินในมือของนางถูกเตะออกไปไกลโดย เฟิงเฟยหยุน

นี่เป็นครั้งแรกที่ไม่คาดฝันที่ทำให้ขากรรไกรของ เจิ้งตงหลิว ลงไปกองกับพื้น!

มันจบลงแล้ว! ภัยพิบัติครั้งใหญ่อุบัติขึ้นแล้ว!

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments