ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปเหล่าผู้เยี่ยมยุทธระดับเซียน นั้นคิดว่า’เนี่ยลี่’มีความแข็งแกร่งมากกว่ากว่าพวกเขา
แต่ในความเป็นจริง’เนี่ยลี่’นั้นอ่อนแอกว่าพวกเขานักแต่เป็นเพราะพวกเขายังอยู่ในบริเวณสุสานนั่นเอง ทำให้พลังสัจธรรมของพวกเขาถูกปิดกั้นเอาไว้ ทำให้ไม่อาจแสดงพลังที่แท้จริงออกมาได้
นอกจากนั้น ‘เนี่ยลี่’ไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากพลังสัจธรรมแห่งความตายเลยแม้แต่น้อย
‘เซี่ยวหยู่’ชำเเลืองมองเนี่ยลี่แล้วกระซิบบอกว่า
“เหล่าผู้เยี่ยมยุทธระดับเซียนกลุ่มนี้ล้วนมาจากตระกูลที่มีอิทธิพลมากในดินแดนใต้พิภพนี้!”
หลังจากได้ยินคำพูดของ’เซี่ยวหยู่’ ‘เนี่ยลี่’ถึงกับเบิกตาโพลง พร้อมกับหัวเราะ
“พวกท่านไม่ต้องสุภาพกับข้าขนาดนั้นหรอก ตอนนั้นข้าเห็นพวกท่านอยู่ในอันตราย ข้าจะไม่ยื่นมือช่วยได้อย่างไร?”
“นายท่านต้องการให้เราช่วยอะไรหรือไม่? ไม่ว่าสิ่งใดเราก็ยินดีให้ความช่วยเหลือ”
“อันที่จริงข้าเองก็มีปัญหาในเรื่องบางเรื่อง ข้าได้มีปัญหากับตระกูลหวู่กุ้ยและสมาคมทมิฬในเมืองศิลาดำ แต่ด้วยกำลังของข้ายังไม่อาจที่จะจัดการเรื่องนี้….”
ผู้เยี่ยมยุทธระดับเซียนจากตระกูลเอลฟ์คะนองศึกกล่าวขึ้นมาว่า
“เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ปล่อยให้พวกข้าจัดการให้เองได้หรือไม่?”
“ใช่แล้ว เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ท่านสามารถปล่อยให้พวกข้าจัดการดีกว่า”
ผู้เยี่ยมยุทธระดับเซียนคนอื่นกล่าวสนับสนุน
เดิมทีพวกเขาคิดว่า’เนี่ยลี่’จะขอให้ช่วยในเรื่องที่ใหญ่กว่านี้ แต่กลับว่าเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น!
“ถ้าเช่นนั้นก็เยี่ยมไปเลย….คงต้องรบกวนให้เป็นปัญหาของพวกท่านแล้ว คงต้องขอขอบคุณล่วงหน้าแล้ว”
‘เนี่ยลี่’พูดพร้อมกับหัวเราะ
“นายท่านให้เกียรติพวกเรามากเกินไปแล้ว”
“ถูกต้องแล้ว ท่านได้ช่วยชีวิตพวกเราเอาไว้ จะมิให้เราตอบแทนท่านได้เช่นไร?”
ผู้เยี่ยมยุทธคนหนึ่งพูดออกมา
ตอนที่เขามองดูการกระทำของ’เนี่ยลี่’ ‘เซี่ยวหยู่’รู้สึกขบขันยิ่งนัก ตระกูลหวู่กุ้ยและสมาคมทมิฬ คงจะต้องพบกับปัญหาใหญ่ในตอนนี้แน่ๆ
เมื่อเขาต้องพบกับตระกูลที่มีอิทธิพลเหล่านี้ ตระกูลหวู่กุเยและสมาคมทมิฬจะรับมืออย่างไรกัน?
ในตอนที่พวกเขากำลังสนทนากัน สุสานก็ยุบตัวลงอย่างรวดเร็ว ภายนอกสุสานนั้น เหล่าผู้เยี่ยมยุทธระดับเซียนกำลังตัดสินกับโครงกระดูกยักษ์
หนึ่งในผู้เยี่ยมยุทธระดับเซียน ได้ใช้ความพยายามอย่างมากในการรับมือโครงกระดูกยักษ์ที่มีชิ้นส่วนของเทพวิญญาณ หลังจากที่มันล้มลง
ครึ่งหนึ่งของกายเทพแตกออกเป็นชิ้นๆ และสลายเป็นฝุ่นผง
“หนอย จงสลายไปซะ”
ผู้เยี่ยมยุทธระดับเซียนถึงกับสาปแช่งพวกเขาหันไปมองสุสานที่กำลังสลายไปพร้อมกับสายลม
ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับเป็นเพียงภาพลวงตา
“หนอย พวกแกเป็นผีกันหรือไง”
ความพยายามทั้งหมดกลับสูญเปล่า ผู้เยี่ยมยุทธระดับเซียนต่างก็รู้สึกไม่พอใจ
“นายท่าน ถ้าหากมีเวลาว่าง โปรดมาเยี่ยมชม ตระกูลบทสวดมังกรของเราด้วย”
“ตระกูลเอลฟ์คะนองศึกของพวกเราก็เช่นกัน”
“ดูเหมือนว่าเรื่องทุกอย่างจะจบลงแล้ว พวกเราคงต้องขอลาแล้ว”
ผู้เยี่ยมยุทธระดับเซียนที่ถูกเนี่ยลี่ช่วยไว้ทั้งหมดป้องมือแสดงความเคารพและขอบคุณ พร้อมกับจากไป
‘เซี่ยวหยู่’ ยืนคิดอยู่เล็กน้อย ก่อนที่จะมองไปยัง’เนี่ยลี่’แล้วพูดว่า
“น้องชายเนี่ยลี่ เราเองก็คงจะต้องจากลากันแล้วหล่ะ”
‘เนี่ยลี่’พูดอย่างขบขันว่า
“โอ้? ถ้าเช่นนั้น เดินทางอย่างปลอดภัยนะ”
หลังจากได้ยินคำพูดของ’เนี่ยลี่’ ‘เซี่ยวหยู่’รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมานิดหน่อย
หลังจากที่’เซี่ยวหยู่’กับ’เนี่ยลี่’เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายร่วมกันมาแต่ตอนนี้ ‘เนี่ยลี่’ แทบจะรอไม่ไหวที่จะให้’เซี่ยวหยู่’จากเขาไปในความเป็นจริง ‘เนี่ยลี่’นั้นไม่ได้ต้องการให้’เซี่ยวหยู่’จากไป ในใจของเขา คิดว่าถ้าหาก’เซี่ยวหยู่’อยู่ใกล้ๆ ก็เหมือนกับว่ามีคนคอยคุ้มครอง ‘เซี่ยวหยู่’นั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
และยังมีเบื้องหลังที่เขายังไม่รู้อีกมาก ถ้าหากดึง’เซี่ยวหยู่’เข้ามาในกลุ่ม อาจจะเป็นการนำสู่ความหายนะก็เป็นได้
แม้ว่าเขาจะช่วย’เซี่ยวหยู่’ไว้ แต่ยังไม่มีใครรู้วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของ’เซี่ยวหยู่’
ในชีวิตก่อนหน้าของเขา ‘เนี่ยลี่’มีประสบการณ์ ถูกหักหลังจากคนที่เขาเชื่อใจอยู่หลายครั้ง
“น้องชายเนี่ยลี่ เจ้าจะเข้าร่วมการคัดเลือกศิษย์ของเจ้านครใต้พิภพ ถูกต้องไหม?”
‘เซี่ยวหยู่’ยิ้มเล็กน้อย
“ใช่แล้ว”
‘เนี่ยลี่’พยักหน้า
“ถ้าเช่นนั้น ข้าเชื่อว่าเราคงจะได้พบกันอีก อย่าลืมนำม้วนจารึกทองคำ ที่ข้าได้มอบให้พวกเจ้าไป มันสามารถทำให้พวกเจ้าเข้าไปถึงการทดสอบขั้นสุดท้าย แล้วข้าจะรอฟังข่าวดี”
‘เซี่ยวหยู่’ หัวเราะและกล่าวต่อ
“ข้ายังมิได้กล่าวลากับหนิงเอ๋อและจื้ออวิ้นเลย ดังนั้นข้าจะรอพวกเจ้าอยู่ที่นั่น “
จากนั้น’เซี่ยวหยู่’ ก็กระโดดหายไปอย่างรวดเร็ว
‘เนี่ยลี่’ก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย
ชายหนุ่มที่ถูกเทพแห่งความตายทุบตีแต่ยังคงรักสวยรักงามอาจเป็นเพราะแผลยังอยู่บนใบหน้าของเขา เขาถึงได้ไม่กล้าจะไปโผล่หน้าออกไปให้ใครผู้ใดพบเห็น ถึงได้รีบร้อนจากไปเช่นนี้
‘เนี่ยลี่’สยายปีกของเขาออกมา และสังเกตุเห็นว่ามันเต็มไปด้วยพลังงานที่ไร้ที่สิ้นสุด จากนั้นเขาก็หดปีกและเก็บเกราะแขนของเขา
เมื่อใดก็ตามที่เขาต้องการใช้มัน ปีกและเกราะแขนก็สามารถเรียกออกมาอีกครั้งได้ตลอดเวลา
‘เนี่ยลี่’นำไข่ลึกลับออกมา ในการต่อสู้ครั้งนี้ ดูเหมือนว่าไข่ใบนี้จะดูดซับพลังสัจธรรมแห่งความตายไปไม่น้อย จึงมีรอยแยกบนเปลือกไข่มากขึ้นอย่างชัดเจน
ราวกับเป็นลายใยแมงมุมอยู่บนเปลือกไข่ เขารับรู้ได้ถึงพลังงานอันคลุมเครือที่อยู่ภายในมันปั่นป่วนราวกับน้ำวน และดูดซับพลังสัจธรรมบริเวณรอบๆอย่างต่อเนื่อง
เจ้าสิ่งมีชีวิตที่อยู่ภายในไข่ลึกลับนี้ อาจจะกระเทาะเปลือกออกมาได้ทุกเวลา อย่างไรก็ตามต้องคอยเฝ้าดูการฟักออกมาอย่างใกล้ชิดแถมยังต้องใช้พลังสัจธรรมอีกเป็นจำนวนมากมันยังต้องการพลังงานอีกมหาศาล
แต่’เนี่ยลี่’ยังไม่กล้าที่จะอัดฉีดพลังสัจธรรมให้กับมัน เพราะเขาเกรงว่าไข่ลึกลับจะดูดพลังของเขาไปจนเหือดแห้ง
‘เซี่ยวหยิงเอ๋อ’และ’เอียจื้ออวิ้น’ รอคอยอยู่เงียบๆ แต่หลังจากที่เห็นสุสานหายไปอย่างไร้ร่องรอยต่อหน้าต่อตา พวกเขาไม่อาจที่จะคลายกังวลได้ จะเกิดอะไรขึ้น หาก’เนี่ยลี่’พบกับอันตราย
ในตอนนั้นเอง พวกเขามองเห็นร่างคนกำลังเดินมาหาพวกเขาอย่างช้าๆ แต่ถ้าหากไม่ใช่’เนี่ยลี่’หล่ะ จะเป็นใครไปได้อีก
“เนี่ยลี่ เจ้ากลับมาแล้วใช่ไหม?”
‘เอียจื้ออวิ้น’และ’เซี่ยวหนิงเอ๋อ’เรียกเขาอย่างมีความสุข
“ใช่แล้ว”
‘เนี่ยลี่’พยักหน้า
‘เอียจื้ออวิ้น’มองไปรอบๆตัว’เนี่ยลี่’แล้วถามว่า
“เซี่ยวหยู่ อยู่ที่ไหนหล่ะ?”
“ชายคนนั้นคงจะอายที่จะพบกับพวกเจ้า เขาได้แยกตัวไปแล้ว”
‘เนี่ยลี่’พูดพร้อมกับหัวเราะ
จากคำพูดของ’เนี่ยลี่’ ‘เอียจื้ออวิ้น’และ’เซี่ยวหนิงเอ๋อ’ ต่างก็งุนงง ทำไม’เซี่ยวหยู่’จะต้องอายที่จะต้องพบหน้าพวกเขาด้วย?
“เนี่ยลี่ ตอนนี้พวกเรารู้สึกว่ามีพลังงานอันแข็งแกร่ง อยู่ๆมันก็พุ่งเข้ามาในขอบเขตวิญญาณของเจ้า เจ้าเลื่อนระดับพลังแล้วงั้นรึ”
‘เอียจื้ออวิ้น’ถามหลังจากที่สัมผัสได้ถึงบางอย่าง
‘เนี่ยลี่’ยิ้มแล้วตอบว่า
“ข้าได้เข้าถึงพลังสัจธรรมอื่นอีกอย่างแล้ว”
‘เนี่ยลี่’รีบตรวจสอบการบ่มเพาะพลังของตัวเอง ระหว่างนั้นเองเขาพบว่าการบ่มเพาะพลังของเขามีประสิทธิภาพมากขึ้น
ตอนนี้ขอบเขตวิญญาณของเขานั้น มีพลังสัจธรรมแห่งความตายเพิ่มขึ้นมา ถ้าหากตอนนี้ต้องเจอกับผู้เยี่ยมยุทธระดับตำนาน เขาก็เชื่อมั่นว่าสามารถต่อสู้ได้โดยที่ไม่พ่ายแพ้แน่นอน
อย่างไรก็ตาม ระดับตำนานนั้นก็เป้นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของการบ่มเพาะพลังเท่านั้น ‘เนี่ยลี่’ได้ตระหนักถึงความจริงข้อนี้ดีในอณาจักรซากมังกรนั้น มีผู้เยี่ยมยุทธระดับตำนานและระดับเซียนอยุ่เต็มท้องถนน
ถึงอย่างนั้น เมื่อพวกเขาเริ่มการบ่มเพาะพลังสวรรค์ พวกเขาสามารถเลื่อนระดับไปยังขอบเขตวิญญาณอันลึกลับต่อไปได้
สถานที่ดังกล่าวระดับตำนานลงมาเรียกขานกันว่า ขอบเขตชะตาแห่งสวรรค์ เมื่อมีคนก้าวเข้าไปในขอบเขตชะตาแห่งสวรรค์ พวกเขาจะไม่ถูกจำกัดในชีวิตเดียว
หนึ่งชีวิต สองชีวิต สามชีวิต ทุกๆครั้ง ที่มีการเลื่อนระดับ พวกเขาจะสร้างอีกวิญญาณหนึ่งไว้ในขอบเขตวิญญาณของพวกเขา
เมื่อใดที่เขาตาย เขาจะสูญเสียแค่เพียงชีวิตของวิญญาณนั้นแทนการเผชิญหน้ากับความตายจริงๆ
ในจุดนั้นอาจจะเรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของการบ่มเพาะพลัง!
ตั้งแต่ชีวิตก่อนหน้าของเขา เขาก็รู้วิธีที่จะเข้าสู่อณาจักรซากมังกรแล้ว ทุกอย่างที่ควรทำในตอนนี้คือจะต้องมุ่งเน้นไปถึงขอบเขตชะตาสวรรค์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
‘เนี่ยลี่’ควบคุมพลังสัจธรรมทั้งสามอยู่ตอดเวลา ภายในร่างกายของเขาแม้แต่ในขณะที่พวกเขาเดิน การบ่มเพาะพลังของเขาก็ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
‘เนี่ยลี่’ ‘เอียจื้ออวิ้น’ และ’เซี่ยวหนิงเอ่อ’ ยังคงตามหาพวก’ต้วนเจี้ยน’ ‘ลู่เพียว’ และคนอื่นๆ ต่อไป ในชั้นแรกของแดนมรณะเก้าชั้น
ในขณะเดียวกัน ที่ด้านนอกของแดนมรณะเก้าชั้น
ตรงที่พักของตระกูลหวู่กุ้ย ทันใดนั้นได้มีผู้เยี่ยมยุทธระดับเซียนกว่ายี่คนปรากฏตัวอยู่บนท้องฟ้า พวกเขาได้แผ่คลื่นพลังอันน่าเกรงขามกดทับลงมา
ส่งผลให้คนในตระกูลหวู่กุ้ยเกิดความวุ่นวายขึ้นทันที
คลื่นพลังระดับนี้ผู้เยี่ยมยุทธระดับทั่วไปของตระกูลหวุ่กุ้ยไม่อาจที่จะรับมือได้
ผู้เยี่ยมยุทธทั้งสามของตระกูลหวู่กุ้ยได้ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า เมื่อผู้นำตระกูลหวู่กุ้ยได้เห็นผู้เยี่ยมยุทธระดับเซียนทั้งยี่สิบคน เปลือกตาของเขากระตุกทันทีและใบหน้าของเขาก็ซีดขาวด้วยความหวาดกลัว ในกลุ่มผู้เยี่ยมยุทธเหล่านี้ มีหลายคนที่มาจากตระกูลที่ทรงอิทธิพลมากในเดินแดนใต้พิภพ
ตระกูลที่มีอิทธิพลขนาดนี้ไม่ใช่คนที่ตระกูลหวู่กุ้ยจะรับมือได้เลย
‘หวู่ฮุ่น’รู้สึกหดหู่ยิ่งนักในใจของเขา ใครกันที่สร้างปัญหาใหญ่ให้กับตระกูลหวู่กุ้ย?
เมื่อเผชิญหน้ากับตระกูลเหล่านี้ ‘หวู่ฮุ่น’ไม่กล้าที่จะอวดดี เขาพูดด้วยน้ำเสียงอันนอบน้อมว่า
“ข้าคือผู้นำของตระกูลหวู่กุ้ย หวู่ฮุ่น ข้าสงสัยว่ามีสิ่งใดให้พวกข้ารับใช้เช่นนั้นหรือ ถ้าหากว่าพวกข้าได้ทำอะไรที่ผิดกฏ ข้าขออภัยอย่างสุดซึ้งหากคนในตระกูลของข้าได้สร้างความขุ่นเคืองต่อท่าน ข้าจะลากคอคนผู้นั้นออกมาโดยไม่ปราณีแม้แต่น้อย พวกข้าเป็น ผู้รับใช้ของเจ้านครแดนเหนือ ดังนั้นข้าจึงขอให้ท่านผ่อนปรนให้เราสักเล็กน้อยจะได้หรือไม่”
หลังจากได้ยินคำพูดของ’หวู่ฮุ่น’
ผู้เยี่ยมยุทธระดับเซียนแสดงใบหน้าอันเด็ดเดี่ยว พวกเขาจ้องมองมาอย่างเย็นชา
“เจ้าคิดว่าการที่ยกชื่อของเจ้านครแดนเหนือมาพูด จะทำให้พวกเจ้าปลอดภัยเช่นนั้นหรือ? แม้แต่เจ้านครแดนเหนือก็ไม่อาจหยุดพวกข้าได้ หากพวกข้าต้องการจะกวาดล้างตระกูลหวู่กุ้ย”
“หืม! ถ้าหากพวกตระกูลแดนเหนือมาที่นี่ เจ้าคิดเหรอว่าจะต่อกรกับเหล่าตระกูลที่อยู่ตรงนี้ได้”
หลังจากได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น ใจของ’หวู่ฮุ่น’ก็สั่นสะท้าน เหล่าผู้เยี่ยมยุทธระดับเซียน คิดจะกวาดล้างตระกูลหวู่กุ้ยเลยอย่างนั้นเหรอ
“ได้โปรดระงับความโกรธของท่านก่อนเถิด มีบางอย่างที่ข้านั้นไม่เข้าใจ ตระกูลหวู่กุ้ยไปทำอะไรให้ท่านไม่พอใจ หากมีสิ่งใดที่พวกเราไม่ได้จัดการอย่างถูกต้องพวกเราทันทีจะแก้ไขมันให้ทันที!”
‘หวู่ฮุ่น’ พูดด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อมยิ่งขึ้น
เขาเป็นถึงผู้นำตระกูลหวู่กุ้ย เขามียศและตำแหน่งอันสูงส่ง แต่ตอนนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้เยี่ยมยุทธระดับตำนาน เขาไม่มีทางเลือกทำได้เพียงก้มหัวของเขาเท่านั้น
“หึหึ ลองคิดดูให้ดีสิ ว่าเร็วๆนี้ ตระกูลหวู่กุ้ยได้ไปทำให้ผู้ใดขุ่นเคือง”
หนึ่งในผู้เยี่ยมยุทธระดับเซียนให้คำชี้แนะ
‘หวู่ฮุ่น’คิดตรึกตรองอย่างถี่ถ้วน แต่ก็คิดไม่ออกว่า ตระกูลหวู่กุ้ยไปทำให้ผู้ใดแค้นเคือง แม้ว่าตระกูลหวู่กุ้ยจะไปทำให้ผู้ใดแค้นเคืองแต่ก็คงไม่ถึงกับระดมผู้เยี่ยมยุทธได้มากมายจากหลายตระกูลเช่นนี้ ใช่หรือไม่? หรือว่าพวกเขาจะไปทำให้ผู้ใดขุ่นแค้นโดยที่ไม่รู้ตัวเช่นนั้นรึ?
ทันใดนั้นก็มีความเป็นไปได้อย่างหนึ่งปรากฏขึ้นมาในใจ’หวู่ฮุ่น’ ถ้าหากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเมืองกลอรี่หล่ะ?
ถ้าหากเมืองกลอรี่เป็นสมบัติของผู้เยี่ยมยุทธบางคนหล่ะ?
เมื่อ’หวู่ฮู่น’ยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดกลัวมากขึ้น กับเหล่าตระกูลที่ทรงอิทธิพลที่อยู่ตรงหน้านี้ ถ้าหากพวกเขาคิดจะกวาดล้างตระกูลหวู่กุ้ย ตระกูลหวู่กุ้ยคงจะถูกลบออกจากแผนที่แน่ๆ
หลังจากที่’หวู่ฮุ่น’คิดได้
จึงรีบกล่าวออกมาว่า
“พวกข้าได้ตระหนักถึงความผิดพลาดของพวกข้าแล้ว โปรดระงับความโกรธของพวกท่าน พวกข้าตระกูลหวู่กุ้ย จะทำทุกอย่างเพื่อขออภัยต่อพวกท่าน “
‘หวู่ฮุ่น’แสดงท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตน ที่เขาไม่ทำได้ตอนนี้มีเพียงคุกเข่าลงขออภัยเท่านั้น ยังบินกันอยู่
เพราะฝ่ายตรงข้ามเต็มไปด้วยผู้เยี่ยมยุทธระดับเซียนกว่ายี่สิบคน แถมยังเป้นตัวแทนของตระกูลที่ทรงอิทธิพลในนครใต้พิภพ
เหล่าผู้เยี่ยมยุทธต่างก็นิ่งเงียบไปชั่วครู่
“นายท่าน เพียงแค่ต้องการให้พวกเราให้บทเรียนสั่งสอนตระกูลหวู่กุ้ย เขาไม่ได้บอกให้พวกเรากวาดล้างตระกูลหวู่กุ้ยใช่ไหม?”
“ก็คงจะเป็นเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม ยังเหลือสมาคมทมิฬอีกแห่ง!”
“ในเมื่อพวกตระกูลหวู่กุ้ยก็รับรู้ถึงความผิดของพวกมันแล้ว เราจะปล่อยไว้ให้นายท่านจัดการเอง เราจะจัดการในคราวหน้าเมื่อได้พบกับพวกเขา “
ในตอนนั้น พวกเขาไม่ได้รับคำสั่งที่ชัดเจนจาก’เนี่ยลี่’
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าที่จะตัดสินใจเอง การคุมตัวตระกูลหวู่กุ้ยเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดที่จะทำในตอนนี้
‘เนี่ยลี่’เพียงแค่ต้องการจะให้บทเรียนกับตระกูลหวู่กุ้ยและสมาคมทมิฬโดยการยืมมือของเหล่าผู้เยี่ยมยุทธระดับเซียนเขาไม่เคยคิดเลยว่าเหล่าผู้เยี่ยมยุทธจะตีความเพียงถ้อยคำเดียวของเขา ไปจนถึงการกวาดล้างตระกูลเลยทีเดียวเพราะว่า’เนี่ยลี่’ไม่ได้พูดออกไปอย่างชัดเจน เหล่าผู้เยี่ยมยุทธจึงปล่อยทิ้งไว้เช่นนี้
ถ้าหากว่า’เนี่ยลี่’ ต้องการที่จะกวาดล้างตระกูลหวู่กุ้ย แน่นอนว่าพวกเขาจะจัดการให้โดยที่ไม่มีความลังเล
แต่ในตอนนี้พวกเขาไม่กล้าที่จะตัดสินใจเอง
แปลโดย นายมะพร้าว
ที่มา: