ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปณ อาณาจักรซากมังกร
อาณาจักรซากมังกร เป็นที่ที่มีขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยพลังที่ทรงพลังหลากหลายอย่าง ซึ่งประกอบไปด้วยหลายๆดินแดนต่างๆดังนี้ ดินแดนแห่งปีกศักดิ์สิทธิ์ ดินแดนบันทึกสวรรค์ ดินแดนหมื่นบุบษา ดินแดนกำเนิดสวรรค์ และ ดินแดนกระบี่สวรรค์
นอกจากดินแดนที่ถูกปกครองอย่างถูกต้องเหล่านั้นยังมีอีกสองดินแดนที่ปกครองอย่างโหดร้ายคือ ดินแดนจ้าวอสูร ดินแดนอสูรกลอนห้าแฉก ดินแดนพระจันทร์สีเลือด แต่ก็อีกนั่นแหละ ยังคงมี ชนเผ่า และดินแดนเล็กต่างๆอีกมากมาย เช่น ดินแดนแห่งบรรพบุรุษพระเจ้า หรือดินแดนแห่งบรรพบุรุษนักบุญปีศาจ เป็นต้น
ดินแดนต่างๆนั้น ดำรงอยู่มานานแสนนาน ทั้งยังรวบรวมผู้ฝึกตนผู้เยี่ยมยุทธต่างๆไว้มากมายจนทำให้อาณาจักรซากมังกรนั้นแข็งแกร่งมาก
แต่อย่างไรก็ตามดินแดนทางตะวันออกของ อาณาจักรซากมังกร ส่วนใหญ่เป็นอาณาเขตของดินแดนปีกศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีใครรู้ว่าดินแดนปีกศักดิ์สิทธิ์นั้นมีอยู่มานานเท่าไหร่แล้วเพราะมันประกอบไปด้วยเมืองหลายร้อยเมือง
ซึ่งมีประชากรหลายร้อยล้านคน แค่โดยเฉพาะเมืองรอบนอกก็ปาเข้าไปหลายล้านคนจึงไม่มีคนรู้แน่ชัดถึงจำนวนของระดับผู้เยี่ยมยุทธที่อยู่ในดินแดนปีกศักดิ์สิทธิแห่งนี้
ดินแดนปีกศักดิ์สิทธินั้นแบ่งออกเป็นสามส่วนคือส่วนรอบนอก ส่วนรอบในและส่วนกลางซึ่งเรียกว่าดินแดนสวรรค์ คนธรรมดาส่วนใหญ่นั้นจะอาศัยอยู่ในส่วนรอบนอกเท่านั้น ส่วนรอบในนั้นก็ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก ทั้งยังมีข้อมูลน้อยมาก ไม่ต้องพูดถึงดินแดนสวรรค์ส่วนนั้นถือว่าลึกลับเลยทีเดียว
นอกจากพื้นที่ที่ถูกแบ่งดังกล่าวแล้วยังมี สถาบันวิญญาณฟ้า ซึ่งตั้งอยู่ในส่วนรอบในของดินแดนปีกสวรรค์
สถาบันดังกล่าวเป็นที่ซึ่งอัจริยะจาก เมืองต่างๆ และภพเล็กๆจะเข้ามาเพื่อทำการฝึกฝนบ่มเพาะพลัง เพื่อที่จะเป็นระดับผู้เยี่ยมยุทธต่อไปสถาบันนี้มีนักเรียนอยู่หลายล้านคนจะถือว่าเป็นเขตปกครองตนเองเลยก็ว่าได้ตัวสถาบันนั้นตั้งอยู่ในหุบเขาลึก โดยตึกรามอาคารถูกปลูกสร้างอย่างสวยงามและกลมกลืนกันธรรมชาติของหุบเขาจึงจัดได้ว่าเป็นสถานที่ที่มีความสวยงามอย่างที่สุด
เซี่ยวหยู่, เนี่ยลี่, ลู่เพรียว และ ก่วนยู่ เดินผ่านป่าเพื่อจะไปยัง สถาบัน ‘ก่วนยู่’ นั้นเป็นศิษย์อีกคนที่ เจ้านครใต้ภิภพ นั้นเลือกมา ‘ก่วนยู่’ นั้นเป็นชาวนครใต้ภิภพ โดยกำเนิด มาจากเผ่าซูยู้ ซึ่งมีรูปร่างโดยรวมนั้นคล้ายกับมนุษย์
แตกต่างอย่างเดียวคือสีผิวของ’ก่วน ยู่’นั้นมีสีแดง ‘ก่วนยู่’ เป็นคนโอหังและมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง ‘ก่วนยู่’เป็นระดับ เซียน จึงทำให้เค้ามีความมั่นใจสูงและดูถูก’เนี่ยลี่’ ทำให้ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันเลยแม้จะเป็นศิษย์ของ เจ้านครใต้ภิภพ เหมือนกันก็ตามที
ในระหว่างที่กำลังเดินไปยังสถาบันก็มีนักเรียนของสถาบันแซงพวกเขาไปอย่างมากมาย นั่นก็เป็นเพราะว่าในช่วงเวลานี้เองที่สถาบันจะทำการคัดเลือกนักเรียนซึ่งสิบปีจะมีสักครั้งทำให้ได้รับความสนใจจากผู้คนเป็นจำนวนมาก
เมื่อเห็นภาพดังนั้น ระหว่างที่เดินอยู่ ‘เซี่ยวหยู่’ จึงอธิบายว่า
“พื้นที่ของ สถาบันนั้นถูกแบ่งออกเป็นห้าส่วน โดยที่ส่วนกลางนั้นจะมีไว้สำหรับผู้แข็งแกร่งที่สุด อันดับสองก็จะเป็นฝั่งตะวันออก รองลงมาคือ ฝั่งตะวันตก ฝ่ายใต้ และฝ่ายเหนือตามลำดับ ซึ่งพวกเจ้าจะได้รับการทดสอบก่อนเข้า”
‘เซี่ยวหยู่’ มองไปยัง ‘ก่วนยู่’แล้ว พูดว่า
” มีอย่างหนึ่งที่พวกเจ้าต้องเข้าใจไว้ ถึงแม้ว่าเจ้าจะอยู่ในระดับตำนาน หรือเซียน เมื่อเจ้ามาอยู่ที่ อาณาจักรซากมังกร แล้วจงทิ้งความโอหัง และความอวดดีที่เคยมีทิ้งเสีย ที่นี่เจ้าเป็นเพียงระดับล่าง ณที่แห่งนี้ได้แบ่งระดับของผู้ฝึกวิชาออกเป็นห้าขั้น ดังนี้
1. ชะตาสวรรค์
2. ดาราสวรรค์
3. แก่นแท้แห่งสวรรค์
4. เส้นทางแห่งมังกร
5. เทพสงครามโดยที่แต่ล่ะขั้นนั้นก็แบ่งออกเป็น เก้าระดับซึ่งบุคคลที่ยังไม่สามารถเข้าถึงพลังแห่งสวรรค์ได้เราจำแนกว่ายังอยู่ใน ระดับผืนพิภพเท่านั้น จนกว่าจะสามารถบ่มเพาะ ชะตาแห่งจิตได้ถึงจะได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ฝึกวิชาอย่างแท้จริง”
หลังจากได้ยินคำอธิบาย’ก่วนยู่’ก็อึ้งไปเล็กน้อยเนื่องจากที่ภพเดิม การที่อยู่ในระดับเซียนนั้นถือว่าเป็นที่สุดรองจาก วิญญาณผู้ควบคุมกฎแห่งธาตุเท่านั้น แต่ในอาณาจักรซากมังกร นี้ถือว่าอ่อนด้อยที่สุด แต่แล้วไงล่ะ ด้วยความเป็นอัจฉริยะของข้าการบ่มเพาะอะไรนั่น เดี๋ยวก็ทำได้แล้วข้าก็จะก้าวไปอยู่เหนือผู้อื่นอยู่ดี
‘ก่วนยู่’คิดในใจ ขณะนั้นเองก้วนยู่ก็มองมายัง’เนี่ยลี่’ ซึ่งเค้าไม่ถูกชาตะกับ’เนี่ยลี่’เลยที่จะต้องมาเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกันแถมไอ้นี่ยังจะสนิทกับลูกบุญธรรมของ ท่านเจ้านครใต้ภิภพ อีก
‘เนี่ยลี่’รับรู้ได้ถึงสายตาที่ไม่เป็นมิตรของ’ก่วนยู่’ ถึงแม้’เนี่ยลี่’จะระวังตัว แต่ก็ไม่ใส่ใจมากนักเพราะ ศัตรูที่แท้จริงของ’เนี่ยลี่’นอกจาก ‘จักรพรรดิ์นักปราช์’ ตอนนี้ยังมี ‘จอมมาร’เพิ่มขึ้นมาอีกคน ‘ก่วนยู่’ยังไม่มีค่าพอที่จะเป็นต่อสู้ของเขา
จากการนำของ ‘เซี่ยวหยู่’ ทั้งสามก็เดินมาถึงลานกว้างที่มีอาจารย์คอยขานชื่ออยู่โดยที่อาจารย์เหล่านั้น ใส่เสื้อคลุมยาวและมีออร่าของพลังงานหมุนรอบตัวทำให้พอดูออกได้ว่าอย่างน้อยอาจารย์เหล่านี้ก็อยู่อย่างน้อยที่สุดก็อยู่ที่ระดับชะตาสวรรค์ เป็นอย่างน้อย ด้วยพลังงานรอบตัวนั้น ทำให้อาจารย์เหล่านั้นดูน่านับถืออีกด้วย
ทันใดนั้น ‘เซี่ยวหยู่’ ก็เดินเข้าไปหาอาจารย์ท่านหนึ่ง
” นี่คือจดหมายแนะนำตัวของนักเรียนสามคนนี้”
‘เซี่ยวหยู่’ พูด
ขณะนั้นอาจารย์ผู้นั้นซึ่งกำลังยุ่งเงยหน้าขึ้นมาเจอ’เซี่ยวหยู่’ ก็แสดงความประหลาดใจ
” นี่ เซี่ยวหยู่ ใช่หรือไม่”
ทันทีที่ อาจารย์พูดจบ คนอื่นที่ได้ยินก็หันมามอง ‘เซี่ยวหยู่’ เป็นสายตาเดียวกัน จากนั้นอาจารย์ก็มองมายัง’เนี่ยลี่’ และอีกสองคนหลังจากนั้นจึงพูดว่า
” จดหมายแนะนำถูกต้อง เข้าไปด้านในได้”
‘เซี่ยวหยู่’ พยักหน้าแล้วพาทั้งสามเข้าไป
‘เซี่ยวหยู่’ พยักหน้ารับจากนั้นก็บอกให้ทั้งสามคนตามเค้าไป
ขณะนั้นเอง ‘เนี้ย ลี่’ ก็ชำเหลืองมองไปยังอาจารย์ ที่ ทำท่าประหลาด ใจเมื่อได้พบกับ ‘เซียวยู่’ แสดงให้ เห็นว่า ‘เซียวยู่’ เป็นที่รู้จักดีกันในสถาบัน แม้ว่า จะยังไม่สามารถบ่มเพาะชะตาแห่งจิต เพื่อจะก้าวเข้าสู่ระดับชะตาสวรรค์ ได้ก็ตาม
หลังจากที่เดินไปตามระเบียง ทั้งสี่ก็ได้มาถึงลานกว้างที่มีนักเรียนกว่า พันคนรวมตัวกันอยู่เพื่อเข้ารับการทดสอบ ‘เซี่ยวหยู่’ หันมาอธิบาย แก่ทั้งสามว่า
“ก่อนที่ผู้สมัครจะได้รับการคัดเลือกเข้าเป็นนักเรียนจะต้องผ่านการทดสอบระดับ รากวิญญาณ โดยจิตวิญญาณนั้นถูกแบ่งออกเป็นสามระดับ คือ ระดับ มนุษย์, ระดับดิน และ ระดับฟ้า โดยแต่ระดับแบ่งออกเป็น 9 ขั้น ดังนั้นจึงเป็นการคัดคนภายในตัว โดยที่หากมี รากวิญญาณ อยู่ในระดับสูงแล้ว จะยิ่งได้เปรียบในการฝึกวิชา เพราะจะสามารถเข้าถึงระดับสูงได้ดีกว่าคนทั่วไป”
“แล้วรากวิญญาณ ของเจ้าล่ะ”
‘ลู่เพรียว’ ถามด้วยความอยากรู้
“ของข้า รากวิญญาณฟ้า ระดับ 7 “
‘เซี่ยวหยู่’ ตอบด้วยเสียงที่แผ่วเบา
เมื่อได้ยินดังนั้น’เนี้ย ลี่’ นั้นจ้องมอง ‘เซียวยู่’อย่างไม่น่าเชื่อ เค้าไม่คิดว่า ‘เซียวยู่’จะมีพรสวรรค์ขนาดนั้นจึงทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมยังไม่สามารถบ่มเพาะชะตาสวรรค์ได้ เพราะจริงๆแล้วแค่มี พื้นฐานทางวิญญาณมากกว่า ระดับพิภพขั้นที่ห้าก็ถือว่าเป็นอัจฉริยะแล้ว
แต่นี่ระดับฟ้าขั้นที่ 7 ซึ่งระดับฟ้าก็มีน้อยอยู่แล้วแถมนี่ขั้นที่เจ็ด คนที่มีพื้นฐานจิตระดับฟ้า ในดินแดนปีกสวรรค์นี่น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย จะมีก็แค่ประมาณพันกว่าคนจากหลายร้อยล้านเอง
” ขั้นฟ้าระดับเจ็ด นี่มันดีขนาดไหนกันอ่ะ”
‘ลู่ เพรียว’หันมาถาม’เนี่ย ลี่’
ผู้คนที่ได้ยิน’ลู่เพรียว’ถามหันมองเป็นตาเดียว เพราะ แค่ระดับฟ้า ขั้นสามก็ถือว่าก็ถือว่าสุดยอดแล้วแล้วนี่ระดับเจ็ด ไอ้นี่มันโง่จริงหรือแกล้งโง่กันแน่ ‘ลู่ เพรียว’ รู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมาจึงได้แต่เกาหัวเพราะตระหนักได้ว่าได้ถามคำถามที่ไม่น่าถามเข้าให้แล้ว
แต่’เนี้ยลี่’ ก็ยังคงสงสัยว่าถ้าว่า’เซียวยู่’เป็นระดับฟ้าขั้นที่เจ็ดจริงทำไมยัง บ่มเพาะชะตาสวรรค์ ไม่ได้อีก สิ่งนี้ยังคงรบกวนจิตใจของ’เนี่ย ลี่’อยู่ไม่น้อย
อย่างไรก็ตามการทดสอบพื้นฐานวิญญาณนั้น เค้าได้เคยทำมาแล้วเมื่อชีวิตที่แล้ว โดยเค้ามีระดับดินขั้นที่ 7 แน่นอนว่า นี่เป็นเพียงระดับธรรมดา แต่เนื่องจากเขามี หนังสือจิตอสูรท่องเวลา
จึงทำให้เขาก้าวถึงสู่ระดับสูงสุดของเทพสงคราม แต่ถึงแม้ครั้งนี้เขาจะไม่มีหนังสือนั้นแต่เขามีความรู้จากชีวิตที่แล้วจึงไม่น่าจะเป็นปัญหาต่อการฝึกวิชา
“การทดสอบรากวิญญาณเนี่ย ข้าชักกลัวแล้วสิ เพราะปรกติข้าได้ที่โหล่ตลอดอ่ะ”
‘ลู่เพรียว’ กังวล
“การทดสอบรากวิญญาณนั้น ไม่เหมือนกับการทดสอบพลังวิญญาณสมัยเราอยู่ มิติเก่าหรอกน่า ถึงแม้ว่าการทดสอบรากวิญญาณเจ้าจะไม่ได้สูงแต่ถ้าทำการฝึกวิชาตามเคล็ดวิชาที่ข้าสอนเจ้าแล้วล่ะก็ ยังไงเจ้าก็สามารถจะเข้าสู่ระดับสูงได้อย่างไม่มีปัญหา
เพราะงั้นไม่ต้องเครียดหรอกน่า”‘เนี่ย ลี่’บอกลู่เพรียว พร้อมทั้งตบไหล่เบาเพื่อให้กำลังใจ ‘ก่วน ยู่’มอง’ลู่เพรียว’แล้วคิดในใจว่าไอ้นี่กลัวการทดสอบ มีแต่พวกใช้ไม่ได้เท่านั้นแหละที่จะกลัวการทดสอบ
จำนวนคนที่มารับการทดสอบค่อยเคลื่อนตัวไปเพื่อเข้ารับการทดสอบ
“ระดับมนุษย์ขั้น สาม ส่งกลับ”
“ระดับมนุษย์ขั้น สอง ส่งกลับ”
เสียงของอาจารย์ผู้ควคุมการทดสอบประกาศ ‘ลู่เพรียว’ได้ยินดังนั้นจึงอดที่จะถาม ‘เซี่ยวหยู่’ไม่ได้ว่า
” ส่งกลับ หมายความว่าไงอ่ะ เซียวยู่”
‘เซี่ยวหยู่’จึงอธิบายว่า
” เนื่องจากนักเรียนมีมากสถาบันจึงรับแต่คนที่มีรากวิญญาณตั้งแต่ะดับมนุษย์ขั้นห้าขั้นไป นอกนั้นจะถูกปฏิเสธไป”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นลู่เพรียวหดตัวด้วยความกลัวถ้าข้าโดนส่งกลับล่ะ ตายๆ กลับมิติเดิมก็ไม่ได้ ต้องอยู่ที่นี่ไปอีกห้าปี ตายๆๆ ตายแน่ๆ ‘ก่วนยู่’เห็นปฏิกิริยาดังนั้นจึง กระแอม หึ แล้วพูดว่า
” ไอ้ขยะเอ้ย”
“แกเรียกใครขยะ ห๊า”
‘เนี่ย ลี่’ กล่าวอย่างเยือกเย็น เขาจะไม่ยอมให้ใครมาดูหมิ่นเพื่อนเค้าไม่ว่ามันจะเป็นใครก็ตาม
‘ก่วนยู่’ ยักไหล่
” คิดว่าข้าพูดถึงใครกันล่ะ”
‘เซี่ยวหยู่’เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เขาเองก็ไม่ชอบ ‘ก่วน ยู่’เช่นเดียวกัน แต่ยังไงถ้า’เนี่ยลี่’จะทำอะไรเขาก็จำเป็นจะต้องห้าม ‘เซียวยู่’จึงกล่าว
” ที่สถาบันนี้จะไม่ยอมให้เกิดการต่อสู้ขึ้น ยกเว้นในการต่อสู้แบบแบบ่งสายของสถาบัน ถ้าไม่เชื่อฟังจะต้องถูกลงโทษจับขังอย่างน้อยเป็นเดือนจนถึงหลายเดือนทั้งสองฝ่าย”
หลังจากได้ยินเรื่องดังกล่าวแม้’เนี่ยลี่’ยังคงไม่พอใจ ‘ก่วนยู่’ แต่ก็ทำใจปล่อยไปก่อน
“พวกเจ้าทั้งหมดเป็น ศิษย์ ของท่านพ่อบุญธรรม ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะสามัคคีกัน แต่หากไม่ แล้วเจ้าคนใดเป็นผู้ก่อปัญญาขึ้นล่ะก็จะหาว่าข้าไม่เตือนไม่ได้นะ”
‘ก่วนยู่’ หยุดชั่วครู่ก่อนที่จะรีบพูดออกมา
” ข้าต้องขอโทษจริงๆ ข้าแต่หลุดปากไปอย่าได้ถือโทษโกรธกันเลย นายน้อย”
‘เซียวยู่’ไม่พูดอะไรนอกจากมองด้วยสายตาที่เย็นชา ‘ก่วนยู่’ มีเหงื่อตกที่หน้าผากเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่า’เซี่ยวหยู่’ จะเข้าข้าง ‘เนี่ย ลี่’ และ ‘ลู่เพรียว’ เค้าไม่ต้องการจะทำให้’เซี่ยวหยู่’ไม่พอใจเพราะมันย่อมไม่เป็นผลดีถึงแม้เขาจะยังคงไม่พอใจแต่ก็ยอมอ่อนลงแต่โดยดี
ในขณะที่พวกเขาคุยกันอยู่นั้นก็มีกลุ่มคนเดินมาโดยหัวหน้ากลุ่มนั้นเป็นหนุ่มอายุราวๆ 17-18 ย่างสามขุมเข้า พร้อมกับบรรยากาศที่ไม่ประสงค์ดี กลุ่มดังกล่าวเคลื่อนตัวมาแล้วพร้อมจะหาเรื่อง หัวหน้ากลุ่ม เดาะลิ้น แล้วพูดว่า
” อ้าวๆๆ นั่นมัน นายน้อยเซียวอัจริยะ จากส่วนตะวันตกนี่ข้าไม่คิดเคยฝันเลยว่าจะได้มีโอกาสพบท่านเซียวในสถานที่เช่นนี้มันช่างบังเอิญเสียจริงๆเลย”
“มีอะไรก็พูดมา ฮัวหลิงแต่ถ้าจะพูดอะไรไร้สาระล่ะก็ ไสหัวไปไกลๆข้าไม่มีเวลาจะมาเสวนากับคนอย่างเจ้า”
‘เซี่ยวหยู่’ พูดเสียงแข็ง
‘เนี่ยลี่’ประเมินสถานการณ์ ได้ว่าไอ้ ‘ฮัวหลิง’เนี่ย กล้าเบ่งขนาดนี้ คงจะบ่มเพาะ ถึงขั้นชะตาสวรรค์ได้แล้วอย่างแน่นอน ‘ฮัวหลิง’พยายามจะเข้ามาล็อกคอของ ‘เซี่ยวหยู่’
‘เซียวยู่’ หลบและผลัก ‘ฮั๋วลิ๋ง’ ออกอย่างรวดเร็ว
” ฮ่าฮ่า นายน้อย เซียวยังไม่มีมารยาทอย่างไรอย่างนั้นเหมือนเดิมเลยนะ”
…จบตอน
แปลโดย ป่ากาลเวลา
คลิกเพื่อไปหน้าโฆษณาสนับสนุนเพจ
ที่มา: