ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป‘เซี่ยวหยู่’ไม่ได้สนใจที่พวกเด็กนักเรียนจับกลุ่มพูดคุยกัน เขายังคงเดินนำ’เนี่ยลี่’ กับ ‘ลู่เพียว’ ไปตามเส้นทางเล็กๆ ที่มีสิ่งก่อสร้างอยู่อย่างหนาแน่น ในที่แห่งนี้มีลานกว้างอยู่หลายแห่ง และเซี่ยวหยู่เดินเข้าไปในลานกว้างแห่งหนึ่งที่เงียบสงบ
“ผู้ที่อาศัยอยู่รอบๆบริเวณนี้ล้วนเป็นเหล่าอัจฉริยะของเขตตะวันตก จะเป็นการดีกว่า ถ้าหากพวกเจ้าไม่ไปตอแยกับพวกเขา คนที่มีความสามารถที่นี่ ทุกคนล้วนมีผู้หนุนหลัง”
‘เซี่ยวหยู่’เตือน ทั้ง ๆ ที่ไม่มั่นใจว่าพวกเขาจะเชื่อฟัง
“พวกเจ้าควรจะบ่มเพาะพลังอยู่ที่นี่”
‘เนี่ยลี่’ชะโงกมองพื้นที่โดยรอบ และเห็นว่ามีอาคาร 2 หลังอยู่ในพื้นที่สวนของ’เซี่ยวหยู่’
‘เนี่ยลี่’กับ’ลู่เพียว’ จะต้องพักอยู่ในอาคารหนึ่งในนั้น ที่อยู่ถัดไปจากอาคารที่’เซี่ยวหยู่’พักอยู่
‘เซี่ยวหยู่’มองไปที่’เนี่ยลี่’แล้วพูดว่า
“ถ้าไม่ได้รับคำแนะนำจากข้า อย่าเดินไปที่ไหนโดยไม่จำเป็น และพวกเจ้าห้ามเข้ามาที่ห้องของข้าโดยเด็ดขาด”
เมื่อคิดดูแล้ว ‘เซี่ยวหยู่’ก็ยังกังวลเกี่ยวกับ’เนี่ยลี่’เป็นอย่างมาก
“ก็ได้”
‘เนี่ยลี่’ยักไหล่ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของ’เซี่ยวหยู่’เท่าไหร่นัก
‘เนี่ยลี่’กับ’ลู่เพียว’เดินไปรอบๆลานกว้าง สภาพแวดล้อมของลานกว้างก็ค่อนข้างดี เต็มไปด้วยเสียงนกร้อง และกลิ่นหอมของดอกไม้ นอกจากนี้ยังมีภูเขาจำลองเล็กๆ ที่มีน้ำตกไหลออกมาด้วย พวกเขาสองคนค่อนข้างพอใจกับที่แห่งนี้ของ’เซี่ยวหยู่’ เขาคงต้องจ่ายเงินเป็นจำนวนไม่น้อยแน่ ๆ สำหรับเรื่องนี้
“ข้ามีของขวัญจะให้กับพวกเจ้าเป็น ศิลาจิตวิญญาณ 2 ก้อน พวกเจ้าควรจะก้าวไปข้างหน้าแล้วเริ่มการบ่มเพาะพลังได้แล้ว ”
หลัง’เซี่ยวหยู่’พูดจบเขาก็ส่ง ศิลาจิตวิญญาณ ให้กับ’เนี่ยลี่’ และ’ลู่เพียว’ และพูดต่ออีกว่า
“ข้าจะออกไปข้างนอก เพื่อจัดการเกี่ยวกับการลงทะเบียนของพวกเจ้า”
หลังจากเอ่ยคำลากับ’เนี่ยลี่’และ’ลู่เพียว’ ‘เซี่ยวหยู่’ก็เดินออกไป
‘เนี่ยลี่’ถือศิลาจิตวิญญาณออกมาและนั่งขัดสมาธิ จากนั้นก็เริ่มบ่มเพาะพลังโดยใช้ศิลาจิตวิญญาณ ‘ยู่หยาน’บินออกมาจากแขนเสื้อของ’เนี่ยลี่’ พร้อมกับเสียง ฟู่ววว ถอนหายใจ
“ข้าอึดอัดแทบตายเลยรู้ไหม”
‘ยู่หยาน’พูดเสียงเศร้าๆ นับตั้งแต่ที่พวกเขามาถึงอาณาจักรซากมังกร นางต้องซ่อนตัวอยู่ในแขนเสื้อของ’เนี่ยลี่’ แม้แต่ตัวนางเองก็รู้ดีว่าไม่อาจที่จะหลบซ่อนเช่นนี้ได้ตลอดไป จริงๆแล้วนางเองก็ไม่ได้ดึงดูดความสนใจอะไรมากนัก
เนี่องจากนักเรียนหลายคนของสถาบันวิญญาณฟ้าก็นำสัตว์เลี้ยงติดตัวมาด้วย ดังนั้นคนในอาณาจักรซากมังกรอาจจะมองว่านางเป็นเพียงสัตว์เลี้ยงก็ได้
ส่วน’จินตาน’นั้น ก่อนที่จะเข้ามายังอาณาจักรซากมังกร ‘เนี่ยลี่’ได้ เอามันใส่ไว้ในกระเป๋า ภายในกระเป๋านี้เหมือนว่าเจ้าหนูน้อยนี่จะเข้าสู่ภาวะจำศีล ตัวของมันหดเล็กลงจนเหลือขนาดเท่ากำปั้น ดังนั้นตัวมันจึงไม่ค่อยเป็นที่สนใจนักเมื่อนำเข้ามาข้างในนี้
เนื่องจากมันยังตัวเล็กอยู่ ‘เนี่ยลี่’ยังคิดไม่ออกว่าจะจัดการอย่างไรกับมัน แต่ว่าตั้งแต่ที่มันนอนหลับตามธรรมชาติ ‘เนี่ยลี่’จึงคลายความกังวลไป
“มีผู้เยี่ยมยุทธมากมายจริงๆในอาณาจักรซากมังกร”
‘ยู่หยาน’ถอนหายใจ ระหว่างทางนางสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังที่แข็งแกร่ง ทำให้นางประหลาดใจเป็นอย่างมาก เกือบทุกคนที่อยู่ในอาณาจักรซากมังกรจะเป็นผู้เยี่ยมยุทธที่มีฝีมือในแต่ละด้าน
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว โลกใบเล็กของพวกเรานั้น มันเล็กมาเมื่อเทียบกับอาณาจักรซากมังกร”
‘เนี่ยลี่’ยิ้ม ตลอดชีวิตของนาง ‘ยู่หยาน’อยู่แต่ในโลกใบเล็กเท่านั้น จึงเป็นธรรมดาที่นางจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอาณาจักรซากมังกร
‘ยู่หยาน’รู้สึกกดดันมาก แต่เดิมในโลกใบเล็กนั้น แม้ว่านางจะไม่มีความแข็งแกร่งของเทพวิญญาณ แต่อย่างน้อยที่สุดนางก็ยังอยู่ในจุดสูงสุดของระดับตำนาน ดังนั้นด้วยพลังของนางจึงสามารถจัดการกับศัตรูของนางได้ แต่นับจากที่เข้ามาในอาณาจักรซากมังกร นางได้ตระหนักโดยทันทีว่า นางนั้นไม่ได้มีอะไรเลย
แม้ว่า’เนี่ยลี่’ต้องการที่จะมอบเทคนิคการบ่มเพาะพลังให้แก่’ยู่หยาน’ แต่ก็ไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้ เพราะนางไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปลักษณ์ทั่วไป เขาทำได้เพียงแค่หวังว่า ‘ยู่หยาน’จะบรรลุถึงความเข้าใจอย่างถ่องแท้รู้แจ้งในตัวของนางเอง
อย่างไรก็ตาม’เนี่ยลี่’สัมผัสได้ว่า เปลวไฟแห่งชีวิตของนางมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เป็นไปได้ว่าในร่างกายของนางอาจจะมีความลับอะไรซ่อนอยู่ ดังนั้นการบ่มเพาะพลังของนางอาจจะมีความแต่งต่างกันโดยธรรมชาติ
“เนี่ยลี่ ในตอนนี้ข้าอยากจะทำการบ่มเพาะพลัง กลิ่นอายที่ห้อมล้อมอยู่ในอาณาจักรซากมังกรแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับโลกใบเล็กของพวกเรา แต่ข้านั้นยังไม่รู้วิธีที่จะดูดซับมัน”
‘ยู่หยาน’ลอยอยู่ในอากาศขณะที่นางกำลังบ่มเพาะพลังอย่างเงียบ ๆ นางหลับตาลงและเริ่มมีเปลวไฟหมุนอยู่รอบ ๆ ตัวของนาง ตอนนี้นางยังคงสับสน รูปแบบของพลังทำให้นางมึนงงอยู่บ้าง
‘เนี่ยลี่’นำศิลาจิตวิญญาณของเขาออกมา เขาต้องการใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดในการบ่มเพาะพลัง เขามีเป้าหมายที่จะทะลวงผ่านระดับชะตาสวรรค์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
‘เนี่ยลี่’ค่อยๆเพิ่มระดับขอบเขตวิญญาณของเขา แล้วค่อยๆดูดซับพลังจากศิลาจิตวิญญาณ และค่อยๆปรับแต่งให้เข้ากับร่างกายของเขา พลังงานอันยิ่งใหญ่ค่อยๆแผ่ซ่านเข้าไปในร่างกายของเขา ก่อนหน้านี้พลังของเขาหยุดอยู่แค่ในโลกใบเล็ก แต่ในตอนนี้เขาสามารถที่จะดูดซับพลังสวรรค์ได้แล้ว
เนื่องจาก’เนี่ยลี่’บ่มเพาะพลังด้วยเทคนิค เทพวิถีฟ้า เขารู้สึกได้ว่าพลังงานสวรรค์ค่อยๆไหลผ่านไปยังจุดต่าง ๆ ของร่างกาย และทำการสร้างกล้ามเนื้อ ขึ้นอย่างช้า ๆ ทั่วทุกรูขุมขนของเขากรีดร้องด้วยความยินดี
เช่นเดียวกับพลังจากศิลาจิตวิญญาณที่ค่อย ๆ เริ่มแสดงผลออกมา เนี่ยลี่ตระหนักได้เลยว่า เขากำลังดูดซับพลังงานสวรรค์ออกมาจนเหือดแห้ง
เมื่อรับรู้ได้ว่าศิลาจิตวิญญาณนั้นว่างเปล่าแล้ว ‘เนี่ยลี่’ลิ้มอย่างขมขื่น เนี่ยงการเขาบ่มเพาะพลังด้วยเทคนิคเทพวิถีฟ้า ความจุของขอบเขตวิญญาณของเขานั้นจึงกว้างใหญ่จนน่าตกใจ ศิลาจิตวิญญาณก้อนเดียวนั้นไม่เพียงพอสำหรับเขา เขารู้สึกเหมือนกับว่าอาหารไม่พอที่จะทาน และก่อนที่จะเติมอาหารกลับถูกขัดจังหวะเสียก่อน
“ข้าจะต้องหาวิธีที่จะได้รับศิลาจิตวิญญาณมากกว่านี้”
‘เนี่ยลี่’คิดในใจ ถ้าหากเขามีศิลาจิตวิญญาณมากพอ ด้วยความสามารถของเขาที่รากวิญญาณฟ้าระดับแปด และความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในการบ่มเพาะพลัง เขาสามารถก้าวเข้าสู่ระดับชะตาสวรรค์อย่างรวดเร็ว ถ้าหากว่ามีศิลาจิตวิญญาณอย่างเพียงพอ
หลังจากที่เข้ามาอาณาจักรซากมังกร เขาจะต้องข่มจอมมารให้หางจุกตูด ด้วยการบ่มเพาะพลังของเขาให้ได้
ขณะที่เนี่ยลี่และลู่เพียว กำลังทำการบ่มเพาะพลังอยู่นั้น มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเป็นเสียงเสียงที่หวานใสและกังวาลชัดเจน
“ท่านพี่เซี่ยวหยู่ ท่านอยู่ไหม”
เสียงอันนุ่มนวลน้ำทำให้กระดูกอ่อนไหวหมดแรงเลยทีเดียว
เมื่อได้ยินเสียงข้างนอก ‘ลู่เพียว’ก็ลืมตาขึ้น พร้อมเผยร้อยยิ้มที่ชั่วร้ายที่มุมปากของเขา เขาหันไปหา’เนี่ยลี่’พร้อมกับพูดว่า
“เนี่ยลี่ นี่อาจจะเป็นคนรักของเซี่ยวหยู่ก็ได้นะ?”
“เซี่ยวหยู่ไม่ได้อยู่ที่นี่”
‘เนี่ยลี่’ตะโกนตอบไปข้างนอก เขายิ้มอย่างกระอักกระอ่วน ‘ลู่เพียว’เจ้ามันปากเสียเกินไปแล้วนะ
“หืม?”
เสียงข้างนอกรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ในขณะที่ประตูถูกเปิดออก
สาวสวยที่ยืนอยู่ตรงประตู อายุประมาณ 16 หรือ 17 ปี นางสวมชุดผ้าไหมสีเหลืองและมีผิวที่ขาวราวไข่มุก ดวงตาสว่างสไวราวกับน้ำพุ ขณะที่นางขยับตัว ผู้หญิงคนนี้งดงามราวกับไข่มุก เปร่งประกายเรืองรองราวกับหยก คิ้วของนางแสดงให้เห็นถึงความฉลาดปราดเปรื่องทำให้น่าประทับใจยิ่งนัก
หญิงสาวมอง’เนี่ยลี่’และ’ลู่เพียว’ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ท่านพี่เซี่ยวหยู่ไม่อยู่แถวนี้เหรอ แล้วพวกท่านเป็นใครกัน?”
‘เนี่ยลี่’มองไปทางหญิงสาวพร้อมกับพูดว่า
“พวกเราเป็นเพื่อนของเซี่ยวหยู่ เขาเพิ่งจะออกไปเมื่อครู่นี้เอง ข้าขอถามได้ไหม ท่านมาหาเขาด้วยเหตุใดกัน?”
‘ลู่เพียว’มองงงๆ ขณะที่เขามองไปยังหญิงสาว ช่วยไม่ได้ที่เขาจะต้องบันทึกความเจ็บปวดลงไปในใจ คนรักของ’เซี่ยวหยู่’เป็นหญิงสาวที่งดงามมาก ในหมู่สาว ๆ ที่เขาเคยพบเจอมาก่อน นางเป็นรองเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ’เอียจื้ออวิ้น’และ’เซี่ยวหนิงเอ๋อ’
“อ๋อไม่มีอะไรมากหรอก ข้าได้ข่าวว่าเขากลับมาแล้ว ข้าจึงมาเพื่อที่จะทักทายเขาเท่านั้น ข้าไม่เคยคิดเลยว่าจะมาพบพวกท่านทั้งสอง ท่านเป็นนักเรียนใหม่ของปีนี้ใช่ไหม?”
หญิงสาวถามในขณะที่นางกระพริบตา
“ใช่แล้ว”
‘ลู่เพียว’ พยักหน้าตอบทันที
“งั้นเหรอ ข้านั้นมีนามว่า หวงอิ้ง ข้ากับท่านพี่เซี่ยวหยู่ เป็น…เพื่อนกัน”
ร่องรอยสีแดงระเรื่อปรากฏบนใบหน้าของนาง จากที่ได้เห็น’เนี่ยลี่’ก็เข้าใจได้ในทันที หญิงสาวผู้นี้แอบชอบ’เซี่ยวหยู่’ อยู่
“เจ้าต้องการที่จะรอให้เขากลับมาหรือไม่ หรือว่า…”
‘เนี่ยลี่’สอบถาม ‘หวงอิ้ง’ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วตอบกลับมาว่า
“ข้าขอรออยู่ที่นี่ก็แล้วกัน”
นางนั่งรอได้ครู่หนึ่ง ก็มีชายหนุ่มในชุดคลุมยาวสีขาวเดินเข้ามาข้างใน เมื่อได้เห็น ‘หวงอิ้ง’ ก็ทำหน้าเคร่งขรึมจากนั้นก็พูดออกมาว่า
“น้องอิ้ง เจ้ามาอยู่ที่นี่เอง หลังจากที่ได้ข่าวว่าเซี่ยวหยู่กลับมาแล้ว เข้าเดาได้เลยว่า เจ้าจะต้องมาอยู่ที่นี่ ”
“เอี๋ยนห่าว ทำไมเจ้าต้องมาห่วงข้าด้วย”
‘หวงอิ้ง’บุ้ยปากด้วยความไม่พอใจ
“หวงอิ้ง เซี่ยวหยู่มีอะไรดีนัก เจ้าถึงได้คิดถึงแต่เขา”
‘เอี๋ยนห่าว’พูดด้วยความไม่พอใจ ในแง่ของชาติกำเนิดนั้น เขาก็เหนือกว่า’เซี่ยวหยู่’มากนัก ส่วนเรื่องหน้าตา…ใช่ เขายอมรับว่า’เซี่ยวหยู่’หน้าตาดีกว่าเขา แต่ก็ไม่ได้จะหล่อเหลามากกว่ากันจนห่างไกลนัก
“ความสุขของข้า ข้าพอใจที่จะทำ ทำไมเจ้าต้องสนใจด้วย?”
‘หวงอิ้ง’ พ่นลมหายใจใส่ ดูเหมือนว่านางจะไม่ชอบ ‘เอี๋ยนห่าว’
‘เอี๋ยนห่าว’กวาดสายตาจ้องมอง’เนี่ยลี่’และ’ลู่เพียว’อย่างเย็นชา แล้วพูดว่า
“เจ้าสองคนคืออัจฉริยะที่มาจากโลกใบเล็กงั้นเหรอ? ที่มีรากวิญญาณฟ้าระดับแปด กับรากวิญญาณฟ้าระดับห้า”
‘เนี่ยลี่’เหลือบมองไปที่’เอี๋ยนห่าว’ แต่ก็ไม่ได้ตอบคำถามของเขา ส่วน’ลู่เพียว’ก็เบื่อและรู้สึกรำคาญที่จะตอบคำถาม
“ข้าถามเจ้าอยู่นะ!”
‘เอี๋ยนห่าว’ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาพร้อมกับขมวดคิ้วของเขา
‘เนี่ยลี่’ตอบกลับด้วยความเย็นชาใส่’เอี๋ยนห่าว’เช่นกัน
“ดูเหมือนว่าจะไม่มีความจำเป็น ที่ข้าจะต้องตอบเจ้า”
‘เอี๋ยนห่าว’นั้นพูดจาเอาแต่ใจ ยกตนข่มท่านตั้งแต่ที่บุกเข้ามาในห้อง ทำให้’เนี่ยลี่’รู้สึกไม่ค่อยพอใจ
“เจ้าเด้กเหลือขอ เจ้ารู้ไหมว่ากำลังพูดอยู่กับใคร? อย่าคิดว่าเจ้าจะสามารถอวดดีได้ในสถาบันวิญญาณฟ้า เพียงเพราะเจ้ามีรากวิญญาณฟ้านะ อย่างแรกที่เจ้าควรจะรู้คือใครที่เป็นใหญ่ในสถานที่แห่งนี้ ข้าเคยเห็นมานักต่อนักแล้วพวกอัจฉริยะที่มีรากวิญญาณฟ้า
เพราะมีอยู่ที่นี่เต็มไปหมด แต่ก่อนที่เจ้าจะละลวงผ่านระดับชะตาสวรรค์ เรียกได้ว่าเจ้านั้นก็ไม่มีอะไรเลย”‘เอี๋ยนห่าว’ ปล่อยกลิ่นอายที่แข็งแกร่งออกมา เขาใช้กลิ่นอายนี้ข่มขู่’เนี่ยลี่’และ’ลู่เพียว’
ในตอนนี้ ‘เอี๋ยนห่าว’ นั้นไปถึงขั้นผู้เยี่ยมยุทธระดับชะตาสวรรค์แล้ว ทำให้’เนี่ยลี่’และ’ลู่เพียว’รู้สึกถึงแรงกดดัน
แต่ถึงอย่างไร ‘เอี๋ยนห่าว’ ได้ยับยั้งกลิ่นอายพลังของเขา เขาเองก็ไม่ได้กล้าที่จะกำแหงนักในสถาบันวิญญาณฟ้า ถ้าหากเขาสังหารใครสักคนในสถาบันวิญญาณฟ้า แม้แต่ตระกูลของเขาก็ไม่อาจที่จะคุ้มครองเขาได้
‘เนี่ยลี่’จ้องมอง’เอี๋ยนห่าว’ด้วยสายตาที่เย็นชา ในชีวิตที่แล้วของเขา เขาได้พบผู้เยี่ยมยุทธที่มีคนหนุนหลัง ที่แข็งแกร่งกว่า ‘เอี๋ยนห่าว’ มามากมายนัก ถึงอย่างไรเขาก็ไม่เคยหนี แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะบรรลุระดับชะตาสวรรค์แล้วก็ตาม ในใจของ’เนี่ยลี่’นั้นยังคลุมเครือ เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความกระหายเลือด เขาในตอนนี้พร้อมที่จะประลองฝีมือกับผู้เยี่ยมยุทธระดับชะตาสวรรค์แล้ว
‘หวงอิ้ง’จู่ ๆ ก็เข้ามาขวางระหว่าง’เนี่ยลี่’กับ ‘เอี๋ยนห่าว’ นางจ้องมองอย่างเย็นชาไปทาง’เอี๋ยนห่าว’
“เอี๋ยนห่าว เจ้าจะทำอะไร? ใครจะยอมให้เจ้าทำกับเพื่อนของท่านพี่เซี่ยวหยู่เช่นนี้กัน”
‘เอี๋ยนห่าว’ ค่อยลดกลิ่นอายที่แผ่ออกมาแล้วก็ดึงมันกลับมา เขาจ้องหน้าไปยัง’เนี่ยลี่’ที่ยืนอยู่ข้างหลังนาง ‘เนี่ยลี่’นั้นเห็นได้ชัดว่าเขายังอยู่ในระดับชะตาดิน ทำไมถึงได้รู้สึกถึงความตั้งใจที่จะสู้แผ่ออกมาจากเขา ? หรือว่า’เนี่ยลี่’นั้นไม่ได้สัมผัสถึงกลิ่นอายพลังของชะตาสวรรค์ที่เขาแผ่ออกมา เขาไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเลยอย่างนั้นเหรอ?
ความตั้งใจที่จะสู้ปรากฏออกมาชัดเจนจากสายตาของ’เนี่ยลี่’ เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนที่เขาจะสงบสติได้ ถ้ามีหนทางเลือกมันคงจะดีกว่า ถ้าหากเขาจะไม่เปิดฉากกับ’เอี๋ยนห่าว’ ในตอนนี้
‘เอี๋ยนห่าว’ พ่นลมหายใจออกมาอย่างเย็นชา
“เมื่อเจ้าทั้งคู่หลบอยู่หลังผู้หญิง ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปในวันนี้ แต่ข้าขอแนะนำให้เจ้าออกห่างจากเซี่ยวหยู่จะดีกว่า มันไม่มีประโยชน์อะไรกับเจ้า หากจะติดตามเศษขยะเช่นเขา แต่ถ้าหากพวกเจ้าเลือกที่จะติดตามข้า ข้าก็อาจจะลองคิดดูอีกทีก็ได้ ”
จบตอน
แปลโดย นายมะพร้าว
คลิกเพื่อไปหน้าโฆษณาสนับสนุนเพจ
ที่มา: