ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป‘เนี่ยหลี่’อยู่ในห้องตัวเอง เขาฝึกบ่มเพาะพลังมาทั้งวัน และศิลาวิญญาณที่เขามีก็หมดเกลี้ยงไปแล้วเรียบร้อย ทว่า ระดับพลังของเขากลับคืบหน้าไปน้อยมาก ตอนนี้ระดับของเขายังคงวนเวียนอยู่แถวๆ จุดสูงสุดของชั้นชะตาดิน การจะทะลวงขีดจำกัดไปยังชั้นชะตาฟ้ายังถือเป็นเรื่องยากสำหรับเขา
ยังมีเวลาเหลืออีกเกือบเดือน ก่อนจะถึงเวลาแจกรางวัลจากการจัดอันดับจิตวิญญาณแห่งแสง แต่เมื่อปราศจากศิลาวิญญาณในมือ ย่อมจะแข็งแกร่งขึ้นได้ยากกว่าเดิม
เขาต้องหาวิธีรวบรวมศิลาวิญญาณจำนวนมากมาให้ได้
ในอาณาจักรซากมังกร หากไม่มีศิลาวิญญาณคอยช่วย ย่อมจะก้าวหน้าได้ช้ามาก ต่อให้มีพรสวรรค์สูงส่ง แต่ไร้ทรัพยากรเพียงพอก็ไร้ประโยชน์ พลังฟ้าที่บรรจุอยู่ในศิลาวิญญาณก้อนหนึ่ง สามารถเทียบได้กับการนั่งฝึกเองถึงครึ่งเดือน หรือมากกว่านั้น จินตานที่นั่งอยู่ข้าง’เนี่ยหลี่’มองตาละห้อย
เมื่อผนึกวิญญาณเชื่อมทั้งสองเข้าด้วยกัน จินตานก็เป็นเสมือนวิญญาณของ’เนี่ยหลี่’ นั่นหมายความว่าเขาต้องการศิลาวิญญาณมากกว่านี้ ส่วน’ยู่หยาน’ที่ฝึกบ่มเพาะพลังอยู่ในห้องเมื่อไม่กี่วันมานี้ กลับก้าวหน้าไปมากทีเดียว ทว่านางก็ประสบปัญหาเดียวกันกับ’เนี่ยหลี่’ นั่นคือมีศิลาวิญญาณไม่พอ
ก็อก ๆ ๆ เสียงเคาะประตูจากภายนอก
“เข้ามา”
‘เนี่ยหลี่’พูด ผู้มาคือ’เซี่ยวหยู่’
เขามอง’เนี่ยหลี่’ด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่า
“ไม่เจอกันไม่กี่วัน แต่เจ้าก็ยังไปหาปัญหามาสุมตัวเองเพิ่มอีก”
‘เนี่ยหลี่’อดยักไหล่ไม่ได้ก่อนกล่าวว่า
“ข้าไม่ได้เป็นคนสร้างปัญหา แต่ปัญหามันเข้ามาหาข้าเองต่างหาก นางหลงยู่อินนั่นน่ารำคาญเป็นบ้าเลย”
สีหน้าของ’เซี่ยวหยู่’ครึ่งยิ้มครึ่งบึ้งกล่าวว่า
“เจ้าแน่ใจนะว่านางไม่ได้สนใจเจ้า ไม่อย่างนั้นเหตุใดนางจึงสร้างปัญหากับเจ้าคนเดียว?”
‘เนี่ยหลี่’พูดย่างใจเย็นว่า
“เจ้าคิดมากไปแล้ว ผู้หญิงคนนั้นเป็นจอมเสแสร้งที่ไม่อาจเห็นผู้อื่นแข็งแกร่งกว่าตัวเอง เพราะอย่างนั้นนางจึงกล้ามาสร้างความรำคาญให้ข้า สิ่งเดียวที่ข้าทำได้คือตอบโต้กลับไป ไม่อย่างนั้นนางคงจะเริ่มคิดว่าไม่มีใครที่หยุดนางได้”
‘เนี่ยหลี่’พูดอย่างไม่มีแง่บวกให้’หลงยู่อิน’แม้แต่น้อย
‘เซี่ยวหยู่’เตือนว่า
“แต่เจ้ายังคงต้องระวังตัวเอาไว้บ้าง เจ้าสร้างปัญหากับผู้อื่นมากเกินไป ตอนนี้แม้แต่อัจฉริยะในเขตตะวันออกก็รู้จักชื่อเจ้ากันหมดแล้ว ก่อนหน้านี้พวกนั้นเพ่งเล็งหลงยู่อิน แต่เพราะนางเป็นคนของตระกูลผนึกมังกร พวกนั้นเลยทำอะไรไม่ได้ แต่ตอนนี้เจ้าถือว่าอยู่ในสายตาของทุกคน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่มาของเจ้าที่ไม่ได้มีอิทธิพลอะไรเลย…..”
‘เนี่ยหลี่’พยักหน้า
“ข้าเข้าใจ”
เขาได้เตรียมการเอาไว้แล้ว เขานับว่าปลอดภัยหายห่วง หากอยู่ในสถาบันวิญญาณฟ้า ต่อให้ตกเป็นเป้าหมายของผู้อื่น แต่เขาก็ยังอยู่ได้ตราบเท่าที่ไม่ได้กลายเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ในชาติก่อนมีความยากลำบากใดบ้างที่เขาไม่เคยพบ เขาเคยหนีตายมานับครั้งไม่ถ้วน กับแค่ความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ ในสถาบันวิญญาณฟ้าจะนับเป็นปัญหาได้อย่างไร
‘เซี่ยวหยู่’มองไปยัง’เนี่ยหลี่’ แล้วถามว่า
“ถ้าอย่างนั้น เจ้ายังต้องการจะไปสนามทดสอบอีก?”
‘เนี่ยหลี่’ตอบอย่างหนักแน่น
“ดูเจ้าจะคิดไว้แล้วนี่ ข้าะทำให้เจ้าผิดหวังได้ยังไง? ข้าจะไป”
ที่สนามทดสอบอื่นๆ ยังมีรางวัลการจัดอันดับอยู่ พวกศิลาวิญญาณและของวิเศษอื่นๆ ‘เนี่ยหลี่’ต้องการของพวกนั้นทั้งหมด
ขณะนี้ ศิลาวิญญาณทุกก้อนถือเป็นแหล่งทรัพยากรที่มีคุณค่ามหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิลาแก่นแท้แห่งวิญญาณที่อาจทำให้เขาสามารถทะลวงขีดจำกัดได้
‘เนี่ยหลี่’ทิ้ง’ยู่หยาน’ให้ฝึกเองในห้อง ส่วนจินตานก็ฝากนางไว้ จากนั้นเขาจึงเรียก’ลู่เพียว’ออกมา ทั้งสองเดินทางไปยังสนามทดสอบพร้อมกันกับ’เซี่ยวหยู่’
ทั้งสามมุ่งหน้าไปยังสนามทดสอบแห่งที่สอง รู้จักกันในนามซากโบราณแห่งความสะพรึง ซึ่งถูกสร้างโดยหนึ่งในบรรพชนแห่งสำนักปีกศักดิ์สิทธิ์ ซากโบราณแห่งนี้เต็มไปด้วยผีร้ายซึ่งเมื่อถูกฆ่าจะตกเกล็ดวิญญาณให้เก็บได้ ศิษย์แต่ละคนสามารถอยู่ในซากโบราณได้นานสุดสองวันเท่านั้น ยิ่งสามารถก็บสะสมเกล็ดวิญญาณได้มากเท่าใด ก็ยิ่งสามารถเอาไปใช้แลกสิ่งของที่ล้ำค่ามากเท่านั้น
ทว่า เกล็ดวิญญาณจะสลายไปทันทีที่ถูกเก็บเข้าแหวนมิติหรือนำออกมานอกซากโบราณ จึงสามารถทำได้เพียงใช้ถุงผ้าห่อเขาเอาไว้รวมๆ กัน และใช้แลกของได้ในแต่ละครั้งที่เข้าไปเท่านั้น
ศิษย์ทุกคนสามารถเข้าไปในซากโบราณได้เพียงเดือนละครั้ง
และที่ด้านหน้าก็มีป้ายจัดลำดับเช่นเดียวกันกับด่านจิตวิญญาณแห่งแสง ซึ่งที่หน้าซากโบราณแห่งความสะพรึงนี้จะจัดลำดับผู้ที่สามารถเก็บสะสมเกล็ดวิญญาณได้มากที่สุดในช่วงสองวัน ‘หลงยู่อิน’อยู่ที่อันดับสิบด้วยจำนวนเกล็ดวิญญาณสามหมื่นชิ้น อันดับหนึ่งคือ ‘มู่หลงหยี่’ กับสถิติเก้าหมื่นชิ้นในสองวัน
ทว่า ‘มู่หลงหยี่’ เป็นอัจฉริยะจากปีก่อนในขณะที่’หลงยู่อิน’เป็นอัจฉริยะของปีนี้
‘เนี่ยหลี่’ตรวจสอบอัตราแลกเปลี่ยนอย่างรอบคอบ พบว่าสามารถแลกศิลาวิญญาณสามสิบก้อนต่อเกล็ดวิญญาณพันชิ้น หมายความว่าในระยะเวลาสองวัน ‘หลงยู่อิน’สามารถแลกศิลาวิญญาณได้เก้าร้อยก้อน นอกจากนี้ เกล็ดวิญญาณยังสามารถเอาไปใช้แลกสิ่งของอื่นๆ ได้อีกเช่น วิญญาณอสูร ศิลาแก่นแท้แห่งวิญญาณ ของวิเศษ และสิ่งของล้ำค่าอื่นๆ
‘ลู่เพียว’ถึงกับตื่นเต้น
“เนี่ยหลี่ ผู้หญิงคนนั้น หลงยู่อิน สามารถเก็บได้สามหมื่นชิ้น แล้วเจ้าก็ไม่เป็นรองนางจริงมั้ย? ข้าว่าเราจะรวยกันก็คราวนี้แหละ!!”
‘เซี่ยวหยู่’ที่ได้ยินรู้สึกว่าต้องเตือนเพื่อนสักหน่อย
“พวกเจ้ายังควรจะระวังเอาไว้บ้าง ซากโบราณห่งความสะพรึงเต็มไปด้วยอันตรายรอบด้าน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับด่านจิตวิญญาณแห่งแสง ตามสภานการณ์แล้ว อาจมีบางคนคอยขัดขวางพวกเราก็ได้ โดยเฉพาะเมื่อพวกเราจะถูกเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่แตกต่างกัน หมายความว่าพวกเราไม่อาจช่วยเหลือกันได้ ดังนั้น ต้องระวังให้มาก”
“เข้าใจแล้ว”
‘เนี่ยหลี่’และ’ลู่เพียว’พยักหน้า ขณะที่ได้รับการคลายข้อสงสัยเรื่องซากโบราณ ทางเข้าของซากโบราณเป็นวังวนแปลกๆ ที่มียอดฝีมือยืนคุ้มกันอยู่สองคน
ขวับๆ ๆ
‘เนี่ยหลี่’และพวกก็ผ่านเข้าประตูทางซากโบราณและหายไปในวังวนนั้น
ไม่นานหลังจากที่เนี่ยหลี่หายเข้าไปในประตู ก็ปรากฎเงาร่างสามคนที่หน้าประตู
‘หูหย่ง’มองกลุ่มของตนอย่างเคร่งขรึมกล่าวว่า
“พวกเจ้าจดจำที่ข้าพูดหมดแล้วใช่หรือไม่? จำได้ใช่หรือไม่ว่าพวกเขาหน้าตาเป็นอย่างไร”
“ไม่ต้องห่วง นายน้อยหู ต่อให้พวกเขากลายเป็นเถ้าถ่านพวกข้าก็จำได้ พวกเราก้าวมาถึงชั้นชะตาสวรรค์แล้ว จัดการเด็กสักคนไม่ใช่เรื่องยากอะไร”
“ดี ไปเถอะ”
แล้วกลุ่มคนทั้งสามก็เข้าไปในซากโบราณ
‘ฮัวหลิง’มองไปยังที่ห่างไกลแล้วยิ้มเย้ย
“น่าสนุกจริงๆ เซี่ยวหยู่ปกป้องตัวเองยังถือว่ายาก คราวนี้เพื่อนของเขากลับตอแยเรื่องใส่ตัว ไม่ต่างกับช่วยลดแรงให้ข้าเลย”
ทว่า ‘ฮัวหลิง’ยังคงไม่อาจแน่ใจได้ หลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขายังส่งคนของตัวเองเข้าไปในซากโบราณอีกสิบกว่าคน
นอกจากคนที่ว่าแล้ว ยังมีคนอื่นๆ ที่เข้าไปในซากโบราณแห่งความสะพรึงอีก ทว่าไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาเข้าไปเพราะ’เนี่ยหลี่’หรือเข้าไปด้วยความต้องการของตัวเอง
ยามนั้น ‘หนานเหมียนเทียนไห่’ และ’หวงอวี้’ มองไปยังกลุ่มของ’เนี่ยหลี่’ด้วยรอยยิ้มที่อึดอัดใจ
“ทั้งสามนี่ช่างชอบหาเรื่องใส่ตัวเสียจริง แค่เห็นคนจำนวนมากตามพวกเขาเจ้าไปในซากโบราณก็น่าจะทราบได้”
“พวกเราควรยื่นมือเข้าช่วยหรือไม่?”
‘หวงอวี้’ถาม
‘หนานเหมียนเทียนไห่’ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า
“ไม่จำเป็น ให้พวกเขารับความลำบากเองบ้าง ตราบเท่าที่ไม่มีเหตุการณ์เกินเลยไป ก็ไม่ต้อง”
หากพวกเขาต้องยื่นมือเข้าช่วยทุกครั้งที่ศิษย์ในสำนักมีปัญหา พวกเราก็ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี
ในซากโบราณแห่งความสะพรึง
‘เนี่ยหลี่’สำรวจซากโบราณในพื้นที่ที่เขามาถึงคร่าวๆ ในระยะพันลี้ ที่นี่เต็มไปด้วยเศษซากกำแพงและเสา ซึ่งเกิดจากอารยะธรรมโบราณที่ล่มสลายไปแล้ว อาจเคยมีอาคารอันน่าตื่นตาตื่นใจตั้งอยู่แถวนี้ แต่ตอนนี้พวกเขากลายเป็นเพียงแค่เศษซากบนพื้นเท่านั้น
ท้องฟ้าที่นี่เป็นสีเทาอากาศก็เต็มไปด้วยฝุ่นควัน แต่ยังสามารถได้ยินเสียงวิญญาณเคลื่อนตัวผ่าน ส่งคลื่นสั่นสะเทือนผ่านอากาศมาได้นั่นคงจะเป็นผีร้ายแน่ กลุ่มผีร้ายจำนวนนับพัน ต่อให้เป็นกลุ่มยอดฝีมือชั้นชะตาดิน ก็ยังต้องรับมือจำนวนขนาดนี้ด้วยความยากลำบาก
เมื่อใดพวกเขาสามารถจับสัมผัสของมนุษย์ได้ พวกเขาจะกรีดร้องเสียงแหลมแล้วกรูกันเข้ามา เรายังสามารถเก็บเกล็ดวิญญาณได้จากผีร้ายพวกนี้ด้วย
มุมปากของ’เนี่ยหลี่’ยกขึ้นยิ้มขณะที่ร่างกายเปลี่ยนไป เขาหลอมรวมร่างกับแพนด้าเขี้ยวอสูร จากนั้นก็อ้าปากกว้างแล้วพ่นระเบิดหยินหยางขึ้นไปบนฟ้า
ตูมๆ ๆ ๆ
ระเบิดหยินหยางระเบิดขึ้นกลางอากาศ กลืนพวกผีร้ายที่กรูกันเข้ามาทีละกลุ่มๆ เกล็ดวิญญาณก็ร่วงลงมาราวกับห่าฝน เกล็ดวิญญาณพวกนี้คือชิ้นส่วนที่แข็งที่สุดของผีร้ายพวกนี้ และเป็นพื้นฐานร่างกายของพวกเขา แม้ว่าจะถูกระเบิดหยินหยางระเบิดใส่ แต่เกล็ดวิญญาณกลับไม่มีแม้้แต่รอยขีดข่วน
ผีร้ายที่เหลือหนีตายกันจ้าละหวั่นด้วยความหวาดกลัวระเบิดหยินหยาง
‘เนี่ยหลี่’กระโดดขึ้นสูงพลางเก็บรวบรวมเกล็ดวิญญาณก่อนที่จะย้ายที่ไปยังส่วนอื่นของซากโบราณ พ่นระเบิดกยินหยาง และเก็บรวบรวมเกล็ดต่อไป
ดูเหมือนว่าผีร้ายพวกนี้จะรับมือได้ง่ายกว่าที่คิด หากเขาสามารถรักษาความเร็วระดับนี้ไว้ได้ เขาจะสามารถเก็บรวบรวมเกล็ดวิญญาณได้ตั้งเท่าไหร่กัน? ทำไมพวกที่มีชื่ออยู่ในกระดานจัดลำดับถึงเก็บรวบรวมเกล็ดวิญญาณในช่วงเวลาสองวันของพวกเขาได้น้อยนัก?
ที่’เนี่ยหลี่’ไม่รู้ก็คือ ผีร้ายทั้งหมดนี้อยู่มีคามสารถถึงขั้นชะตาดินระดับสูงสุดแล้ว ห่างจากชั้นชะตาฟ้าเพียงก้าวเดียว ตามปกติแล้วจะฆ่าพวกเขาสักตนนับว่าเป็นเรื่องยุ่งยากทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้น ส่วนใหญ่จะใช้วิธีรวมตัวกันล่าเป็นกลุ่ม ซึ่งทำให้เก็บรวมรวมได้ยากกว่าเดิม
ทว่า’เนี่ยหลี่’ที่ได้มาอาณาจักรซากมังกรกลับมีพลังสูงกว่าคนอื่นลิบลับ นอกจากตัวเขาเองก็ใกล้จะก้าวไปถึงชั้นชะตาฟ้าแล้ว แพนด้าเขี้ยวอสูรเองก็ยังแข็งแกร่งกว่าเนี่ยหลี่ เมื่อเขาก้าวไปถึงชั้นชะตาฟ้า ระเบิดหยินหยางก็จะรุนแรงขึ้นอีกหลายเท่าตัว
ดังนั้น ระเบิดหยินหยางของ’เนี่ยหลี่’จึงสามารถกวาดล้างผีร้ายไปได้ง่ายขนาดนี้
‘เนี่ยหลี่’ไม่รู้ว่า’เซี่ยวหยู่’และ’ลู่เพียว’เป็นอย่างไรบ้าง ทว่า ด้วยความแข็งแกร่งของเซี่ยวหยู่ที่ใกล้จะก้าวไปถึงระดับยอดฝีมือชั้นชะตาสวรรค์ 4 ชะตา การล่าเกล็ดวิญญาณย่อมไม่ใช่ปัญหา ส่วน’ลู่เพียว’ ‘เนี่ยหลี่’คิดว่าคงจะเจอปัญหาบ้าง แต่ถึงเจ้านั่นจะขาดพลังไปบ้างแต่ก็ไม่ใช่คนโง่ ‘เนี่ยหลี่’จึงไม่ค่อยเป็นห่วงนัก
‘เนี่ยหลี่’ดำเนินการล่าผีร้ายอย่างต่อเนื่อง เกล็ดวิญญาณพันชิ้นต่อศิลาวิญญาณสามสิบก้อน นับว่าเป็นอัตราแลกเปลี่ยนที่ไม่เลวเลยทีเดียว
ราวสองชั่วยามครึ่งต่อมา ‘เนี่ยหลี่’สามารถเก็บรวบรวมเกล็ดวิญญาณได้มากกว่าสองหมื่นชิ้นแล้ว ด้วยความเร็วอันน่าตืนตะลึงนี้ จะแซงหน้า’หลงยู่อิน’ก็นับว่าง่ายนิดเดียว เผลอๆ อาจขึ้นไปติดห้าอันดับแรกเลยก็ได้ เกล็ดวิญญาณพวกนี้นับว่าเป็นรูปแบบสสารของวิญญาณโดยแท้ แม้ว่าระเบิดหยินหยางจะไม่สามารถทำลายมันได้ มันกลับจะละลายหายไปหากถูกเก็บไว้ในแหวนมิติ
โชคดีที่เมื่อเกล็ดวิญญาณมารวมกันครบหนึ่งพันชิ้น มันก็รวมตัวกันเป็นเกล็ดวิญญาณขนาดใหญ่หนึ่งชิ้น ดังนั้น ‘เนี่ยหลี่’จึงมีที่ว่างพอจะสามารรวบรวมเกล็ดวิญญาณใส่ไว้ในกระเป๋าผ้าได้
เกล็ดวิญญาณพวกนี้จะกลายเป็นวัตถุดิบสำคัญในการหลอมตีอาวุธวิญญาณ น่าเสียดายที่ไม่อาจนำออกนอกสนามฝึกได้ ทำได้เพียงเอาไปแลกของรางวัลเท่านั้น
ขณะที่’เนี่ยหลี่’กำลังล่าผีร้ายอย่างต่อเนี่องอยู่นั้น ออร่าอันทรงพลังก็ปรากฎขึ้นกลางอากาศ ชายคนหนึ่งยืนอยู่บนฟ้า มองไปที่’เนี่ยหลี่’ ชายหนุ่มคนนี้อายุราวยี่สิบปี สวมชุดสีดำ และมอง’เนี่ยหลี่’ด้วยสายตาคมปลาบ บนใบหน้าประดับไปด้วยความเย่อหยิ่ง และเหน็บกระบี่ใหญ่ไว้บนหลัง สัมผัสของชายผู้นี้แหลมคมราวกับดาบที่หลุดออกจากฝัก
‘เนี่ยหลี่’แอบตกใจออร่านี้ คนผู้นี้จะต้องแข็งแกร่งกว่า’เซี่ยวหยู่’แน่ คาดว่าคงเป็นยอดฝีมือชั้นชะตาสวรรค์ ระดับ 5 ชะตาหรือสูงกว่า
แปลโดย
คลิกเพื่อไปหน้าโฆษณาสนับสนุนเพจ
ที่มา: