ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปศิลปะ 4 แขนงของจีน ประกอบด้วย พิณ หมากล้อม การเขียน และ การวาดรูป
“สองแสนสองหมื่นศิลาจิตวิญญาณ!”
‘เหยียนหยาง’ ยังคงให้ราคาสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
“สองแสนสามหมื่นศิลาจิตวิญญาณ!”
‘กู้เบ่ย’ประมูลอย่างใจเย็น
ใจของทุกคนนั้นตื่นตะลึงยิ่งนัก ‘กู้เบ่ย’มีเงินอยู่จำนวนเท่าใดกันแน่? แม้แต่ผู้อาวุโสที่รู้จักเก็บออมหลายปียังมีศิลาจิตวิญญาณเพียงแค่แสนก้อน หรือว่า’กู้เบ่ย’จะพบขุมทรัพย์อะไรบางอย่าง?
‘เหยียนหยาง’ถึงกับนิ่งเงียบไป หลังจากการบ่มเพาะพลังมาหลายปี เขามีศิลาจิตวิญญาณเพียงแค่ สองแสนห้าหมื่นก้อนเท่านั้น ทั้งๆที่ราคานั้นก็สูงอยู่แล้ว แต่’กู้เบ่ย’ก็ยังเสนอราคาสูงขึ้นไปอีก
‘เหยียนหยาง’เคยได้ยินชื่อของ’กู้เบ่ย’มาบ้าง เขาควรจะเป็นแค่ลูกหลานธรรมดาในตระกูลกู้ แต่ทำไมถึงได้มั่งคั่งจนน่ากลัวถึงเพียงนี้? เขาได้มาด้วยวิธีใดกันแน่ ดูแล้วไม่มีวี่แววเลยว่าเหยียนหยางจะสามารถเอาชนะ’กู้เบ่ย’ในการประมูลครั้งนี้ได้ แม้ว่าเขาจะเสนอราคาขึ้นไปอีกก็ตาม
หลังจากที่นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ‘เหยียนหยาง’ก็เปิดปากพูดขึ้นมา
“ข้าขอถอนตัวจากการแข่งขันครั้งนี้ ศิษย์น้องกู้ เจ้ารับจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำไปเถิด!”
แม้ว่า’เหยียนหยาง’จะรู้สึกเสียใจอยู่บ้างเล็กน้อย แต่เขาก็สามารถที่จะสงบอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว
ทุกคนต่างรู้สึกตกใจเป็นอันมากที่ ‘เหยียนหยาง’ไม่อาจเอาชนะ’กู้เบ่ย’ได้ เขาเอ่ยปากยอมแพ้นี่มันอะไรกัน?
พวกเขาอดไม่ได้ที่จะชำเรืองมองไปที่’กู้เบ่ย’ ชายคนนี้มั่งคั่งจนน่ากลัวมากเกินไปแล้ว
“ถ้าเช่นนั้นก็ขอบคุณท่านมาก ศิษย์พี่เหยียนหยาง”
‘กู้เบ่ย’ยิ้มเล็กน้อยขณะที่เขาประสานมือเคารพ’เหยียนหยาง’
หลังจากทีได้ภาพวาดมา เมื่อรวมกับสิ่งของอื่นๆ ก็นับว่าจ่ายไปเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ‘เนี่ยลี่’ทำการคำนวนทุกอย่างทั้งหมดแล้ว
พวกเขาขายจิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีระดับการเติบโตระดับมหัศจรรย์ไปทั้งหมด 20 ตน และซื้อ จิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำ น้ำค้างจารึกสวรรค์ 30 ขวด แก่นแท้วิญญาณอสูร และรายการอื่น ๆ อีกมากมายแต่เขายังคงมีกำไร 130,000 ศิลาจิตวิญญาณ
รวมกับศิลาจิตวิญญาณอีกแสนก้อนที่อยู่ในแหวนห้วงมิติของเขา เขายังคงเหลือศิลาจิตวิญญาณอยู่อีก 230,000 ก้อน ดูเหมือนว่าการขายจิตอสูรสายเลือดมังกรเป็นการหาเงินที่ง่ายดายยิ่งนัก!
โชคดีเหลือเกินที่เขาได้พบกับการประมูลเช่นนี้ ทำให้เขาสามารถขายจิตอสูรได้โดยง่าย โดยปกติแล้ว เป็นเรื่องที่ยากที่จะหาผู้ซื้อที่เหมาะสมได้
การประมูลยังคงดำเนินต่อไปและมีสินค้าจำนวนมากที่ถูกขายออกไป แต่ของส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าตาเขาเลยแม้แต่น้อย ‘เนี่ยลี่’จึงไม่ได้เข้าร่วมประมูลด้วย
ในตอนนี้เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก หลังจากที่เขาแอบได้รับจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ำ เมื่อกลับถึงที่พัก เขาจักต้องหาหนทางเปิดมันออกเป็นแน่
เจ้าของชิ้นนี้ที่มีการบันทึกไว้ มีวิธีการใช้งานหนือคณานับ
แม้แต่คนระดับสูงก็ไม่อาจที่จะเปิดจิตกรรมหมื่นขุนเขาและแม่น้ำได้ ‘เนี่ยลี่’ มีความคิดว่าเขาจะต้องทำอะไรบางอย่าง
เขาเองก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถที่จะปลดผนึกมันได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจในจารึกในรูปแบบต่าง ๆ แต่ก็ยังคงมีความเป็นไปได้สูง
แม้ว่าเขาจะสามารถปลดผนึกการใช้งานได้เพียงแค่ สิบเปอร์เซนต์ เพียงแค่นั้นก็คุ้มค่าที่จ่ายไปแล้วสิ่งของยังถูกขายออกไปต่อเนื่องนับสิบชิ้น ก่อนที่การประมูลจะจบลง ในบางครั้งก็มีเสียงหัวเราะดังมาแต่ไกล
‘ฉินเยี่ย’ ที่ยืนอยู่ด้านหน้าได้ส่งยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยว่า
“เรามาถึงจุดสิ้นสุดการประมูลแล้ว จากนี้ไปจะเป็นส่วนของการแสดงที่น่าสนใจคือ ศิลปะ 4 แขนง โดยผู้ที่รู้ซึ้งถึงวิถีของศิลปะทั้ง 4 แขนง ทุกท่านจะได้ประเมินมันด้วยสายตาของทุกท่านที่นี่เอง”
เหล่าคนงานได้ย้าย พิณ กระดานหมากล้อม พู่กัน กระดาษ หินฝนหมึก และ ของอื่น ๆ อีกหลายอย่างขึ้นไปบนเวทีด้านหน้า
เหล่าลูกศิษย์จ้องมองไปด้านหน้าด้วยความสนใจ จนใจของพวกเขาสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก ถ้าหากพวกเขาสามารถเป็นพยานของบุคคลที่จะทำการแสดงศิลปะ 4 แขนง ได้แก่ ‘เหยียนหยาง’ ‘หมิงเยี่ย’ ‘วู่ซวง’ เพื่อที่จะรับรู้วิถีของพวกเขานั้น ใครจะรู้ว่ามันอาจจะช่วยหนุ่นส่งให้ก้าวไปสู่วิถีแห่งเจตจำนงค์ของจอมยุทธก็เป็นได้
‘ฉินเยี่ย’เดินไปที่พิณที่ตั้งอยู่ตรงหน้า และเผยรอยยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยว่า
“ข้านั้นจะเป็นผู้เริ่มการแสดงก่อน ข้าจะขอแสดงทักษะอันอ่อนด้อยของข้าเป็นอันดับแรก ขอให้ทุกท่านโปรดชี้แนะด้วย”
เมื่อ’ฉินเยี่ย’ประกาศว่านางจะเป็นผู้เริ่มการแสดง ผู้คนต่างปรบมือเสียงดัง
‘ฉินเยี่ย’ นั่งลงอย่างสง่างามอยู่ด้านหลังพิณ นางค่อย ๆยื่นมือที่งดงามของนาง และเริ่มดีดเบา ๆ ด้วยนิ้วมือที่เรียวยาวของนาง
บทเพลงที่กลมกล่อมและเต็มไปด้วยอารมณ์ก้องกังวาลไปทั่วบริเวณ เสียงประหนึ่งหยาดฝนร่วงหล่นบนใบกล้วย ถ้าหากนั่งฟังอยู่ไกลๆ อาจจะไม่ได้ยินเสียงสิ่งใด แต่ถ้าตั้งใจฟังอย่างเงียบๆ จะราวกับว่าเสียงที่ได้รับฟังผ่านใบหู จะมีร่องรอยของความห่วงใย และความเห็นอกเห็นใจ มันทั้งอ่อนโยน โศกเศร้า และงดงาม
ทันใดนั้น เสียงพิณก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างกระทันหัน ราวกับสาดสุราสีเงิน เสียงตัวโน๊ตเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แต่แทนที่จะรับรู้ได้ถึงจิตสังหาร แต่มันกลับถูกกลบไปด้วยความสง่างาม
เหล่าฝูงชนถึงกับช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกเคลิบเคลิ้มด้วยเสียงบทเพลงอันงดงาม ราวกับว่าขอบเขตวิญญาณของพวกเขากำลังโผบินไปด้วยท่วงทำนอง ราวกับว่าพวกเขาโผล่ไปยังดินแดนแห่งความฝัน อาบน้ำท่ามกลางแสงแดดอันอบอุ่น
ที่โต๊ะของ’เนี่ยลี่’ ‘เยี่ยเชียน’ มีการแสดงออกถึงความเมามายบนใบหน้าของเขา ในขณะที่เขาเคาะเบา ๆ บนโต๊ะ ช่างเป็นบทเพลงที่ผ่อนคลายอารมณ์ยิ่งนัก ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
“นางเล่นเพลงได้ราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์ มันช่างรื่นรมย์ และผ่อนคลายใจเป็นอย่างยิ่ง สำหรับทุกคนที่ได้รับฟังบทเพลงของนาง วิถีแห่งเจตจำนงค์ของนางที่แฝงอยู่ในบทเพลงยิ่งทำให้นางน่าหลงไหลยิ่งขึ้นไปอีก”
หลังการบรรเลงของนางจบลง นางได้รับเสียงยกย่องสรรเสริญจากผู้คนที่อยู่ในที่แห่งนี้
“แม่นางฉินเยี่ย เสียงพิณของท่านราบรื่นราวกับสายน้ำ ถ่ายทอดวิถีแห่งเจตจำนงค์ในของตนเองผ่านทางห้วงอารมณ์ ช่างยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง!”
“แม่นางฉินเยี่ย พิณของท่านทั้งงดงาม และ กังวาลใสชวนให้หลงใหลอย่างแท้จริง! ”
เสียงชื่นชมยังคงดังกึกก้อง แต่ถึงอย่างไร ‘หลงเทียนหมิง’ ‘หมิงเยี่ย’ ‘วู่ซวง’ และ ‘เหยียนหยาง’ ยังคงนั่งสงบนิ่ง และแสดงออกมาอย่างสงบเงียบ
แม้ว่า’ฉินเยี่ย’ จะสามารถเข้าถึงแห่งวิถี แต่ก็ยังนับว่านี่เป็นเพียงแค่พื้นฐานเท่านั้น และยังด้อยกว่าเมื่อเทียบกับพวกเขา
หลังจากที่ได้ฟังเสียงเพลงจากพิณ
‘เนี่ยลี่’ถึงกับยิ้มเล็กน้อย อารมณ์และความรู้สึกภายในเพลงช่างคล้ายคลึงกับอาจารย์ของเขา ที่ราวกับตัวโน๊ตนั้นไร้ตัวตน แต่ถึงอย่างไรความห่างชั้นก็ยังคงมีมากเกินไป แม้ว่า’เนี่ยลี่’นั้นจะไม่เชี่ยวชาญในเรื่องพิณ แต่เขาก็สามารถประเมินได้เป็นอย่างดี
‘ฉินเยี่ย’ลุกยืนขึ้นพร้อมกับโค้งคำนับเล็กน้อย
“ข้าฉินเยี่ย ดูเหมือนว่าจะแสดงความโง่เขลาของตัวเองออกไป แม้ว่าอาจจะดูเป็นเรื่องตลก ฉินเยี่ยได้แสดงฝีมืออันน่าเวทนาออกไปแล้ว ต่อไปข้าขอส่งต่อเวทีให้กับผู้ที่นั่งอยู่ด้านล่าง! ”
หลังจากสิ้นคำพูดของ’ฉินเยี่ย’หลายคนอดไม่ได้ที่จะหน้าแดงเพราะความอับอาย ฝีมือพิณของ’ฉินเยี่ย’นั้นเรียกได้ว่าถึงขั้นที่บรรลุแล้ว การที่จะขึ้นไปในตอนนี้ก็เหมือนแสดงความโง่ของตนเองออกมา
ในตอนนี้ จะเป็นการดีกว่าที่จะให้ ยอดฝีมือตัวจริงได้แสดงฝีมือของพวกเขา ซึ่งแบบนั้นเหล่าฝูงชนจะได้ประโยชน์มากกว่าเป็นแน่
ทันใดนั้น ‘เยี่ยเชียน’ ก็เหลือมองไปทาง’เซี่ยวหนิงเอ๋อ’
จากนั้นก็ลุกขึ้นและเดินไปด้านหน้า
“แม่นางฉินเยี่ยได้แสดงฝีมือพิณของท่านแล้ว ข้าเองก็ต้องการที่จะแสดงฝีมือของข้าเช่นกัน ”
มุมปากของ’กู้เบ่ย’ถึงกับกระตุก ทันทีที่เขาเห็นเขาก็รู้สึกดูถูก เขาไม่ได้มีความคาดหวังใดๆจาก ‘เยี่ยเชียน’เลยสักนิด
“ศิษย์พี่เยี่ยเชียน ขอความกรุณาด้วย”
‘ฉินเยี่ย’ยิ้มอย่างสุภาพและพูดต่ออีกว่า
“ข้าสงสัยว่าในศิลปะทั้ง 4 แขนง ศิษย์พี่เยี่ยเชียนจะแสดงอะไรให้เราดู?”
“การเขียน”
‘เยี่ยเชียน’ยิ้มเล็กน้อย
“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะช่วยศิษย์พี่เยี่ยเชียนฝนหมึกเอง!”
‘ฉินเยี่ย’ยิ้มและนางก็เดินไปที่อีกด้านของโต๊ะแล้วทำการฝนหมึก
“ช่างเป็นผู้ช่วยที่งดงามยิ่งนัก ให้เกียรติข้าเกินไปแล้ว!”
‘เยี่ยเชียน’ หัวเราะขณะที่หยิบพู่กันที่อยู่บนโต๊ะ จากนั้นก็จุ่มลงไปในหมึก
และจ้องมองไปยังกระดาษ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นเขาก็โน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อยจากนั้นก็เริ่มตวัดพู่กัน และลงมือเขียน เขาตวัดพู่กันราวกับงูและมังกร หลังจากนั้นครู่เดียว ตัวหนังสือหนึ่งตัว ก็ปรากฏบนกระดาษด้วยความแข็งแกร่ง : 情 ชิง : รัก
แต่ละจังหวะของการสะบัดพู่กัน เพื่อขีดเขียนคำนั้นนับว่าอยู่ในขอบเขตที่เรียกได้ว่ายอดเยี่ยเลยทีเดียว
ดวงตาของ’ฉินเยี่ย’อดไม่ได้ที่จะเป็นประกายขณะที่นางเงยหน้าขึ้น ผู้ชมด้านล่างต่างปรบมือเสียงดังกึกก้อง
“ศิษย์พี่เยี่ยเชียนได้มีความเข้าใจในวิถีแห่งความรักเสียยิ่งกว่าข้า แม่นางฉินเยี่ย เสียอีก! ”
“เป็นข้อความที่ยอดเยี่ยมมาก ศิษย์พี่เยี่ยเชียน!”
หญิงสาวหลายคนในสำนักบัญญัติสวรรค์ อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วเบิกตาเพื่อแสดงความงดงามในสายตาของพวกนาง ภายในหนึ่งคำนี้มันลึกซึ้ง กินใจ สำหรับวิถีแห่งความรัก หากอยู่เพียงลำพังก็เพียงพอที่จะทำเรื่องที่น่าอายได้เลยทีเดียว
‘เยี่ยเชียน’ไม่สนใจที่จะมองผู้ใด เขามองไปยัง’เซี่ยวหนิงเอ๋อ’
‘เนี่ยลี่’อดไม่ได้ที่จะกระซิบบอก’หนิงเอ๋อ’ด้วยน้ำเสียงที่นิ่มนวลว่า
“หนิงเอ๋อ ดูเหมือนว่าเยี่ยเชียนจะมีความรู้สึกอันลึกซึ้งนี้กับเจ้านะ!”
“เนี่ยลี่ เจ้าพูดเช่นนี้ข้าไม่สนุกด้วยนะ!”
‘เซี่ยวหนิงเอ๋อ’ อายจนก้มหน้าหลบ
‘เนี่ยลี่’อดที่จะหัวเราะไม่ได้ เมื่อเห็นท่าทางของ’เซี่ยวหนิงเอ๋อ’
“ตั้งแต่ที่เยี่ยเชียนขึ้นไปบนนั้น ข้าเองก็คงต้องแสดงความสามารถอะไรสักอย่างสองอย่าง ถ้าไม่เช่นนั้นข้าคงจะดูขี้ขลาดและอ่อนแอเป็นแน่”
‘หลี่ชิงอวิ๋น’มองดู’เนี่ยลี่’ด้วยความตกใจ ‘เนี่ยลี่’นั้นมีความมั่นใจยิ่งนัก นั่นหมายความว่าเขามั่นใจว่าจะไม่ด้อยกว่า’เยี่ยเชียน’
‘หลี่ชิงอวิ๋น’อดไม่ได้ที่จะคาดหวังในใจ ในขณะที่เขาสงสัยว่า’เนี่ยลี่’จะแสดงอะไรออกมา หลังจากที่ ‘เนี่ยลี่’ก้าวเข้าสู่ขอบเขตชะตาสวรรค์ และทำไมเขาถึงได้มั่นใจนักว่าจะแสดงฝีมือที่ไม่ด้อยกว่า’เยี่ยเชียน’ได้?
‘เซี่ยวหนิงเอ๋อ’ ยุ่งอยู่กับการพูดคุยและหัวเราะเบาๆกับ’เนี่ยลี่’ นางไม่แม้แต่จะสนใจที่จะมอง ‘เยี่ยเชียน’ อดไม่ได้ที่จะสลดใจ ในขณะที่เขาเดินลงจากเวที และกลับไปยังที่นั่งของเขา
หลังจากที่’เยี่ยเชียน’ได้ เขียนพู่กันเสร็จแล้ว ทุกคนก็สงบกันอย่างรวดเร็ว
มีเสียงของคนบางคนตะโกนออกมาจากฝูงชน
“ในบรรดาเหล่าศิษย์ที่อยู่ในห้องโถงด้านข้างนี้ ผู้นำของเราก็คือ ศิษย์พี่ เหยียนหยาง ศิษย์พี่ หมิงเยี่ย และ ศิษย์พี่ หลงเทียนหมิง ได้โปรดขึ้นไปชี้แนะพวกเราด้วย”
คนที่เหลือต่างกู่ร้องหลังจากที่สิ้นเสียงคนผู้นั้น
‘เหยียนหยาง’ ‘หมิงเยี่ย วู่ซวง’ และ ‘หลงเทียนหมิง’ มีความรู้ซึ้งเป็นอย่างยิ่งในวิถีแห่งจอมยุทธจนถึงระดับที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่งแล้ว
หากพวกเขาจะแสดงฝีมือเพียงเล็กน้อย คนที่เหลือก็จะได้ประโยชน์เป็นแน่‘หลงเทียนหมิง’ เหลือบมองไปยัง ‘เหยียนหยาง’ และ ‘หมิงเยี่ย วู่ซวง’ พร้อมกับหัวเราะ
“ในหมู่พวกเราสามคน ข้านั้นอ่อนด้อยที่สุด ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าขอเป็นคนแรกที่จะแสดงความโง่เขลาเป็นคนแรก ข้าหวังว่าศิษย์พี่หมิงเยี่ย และศิษย์พี่เหยียนหยาง จะขึ้นไปบนเวทีเพื่อแสดงความสามารถของพวกท่านด้วยเช่นกัน! ”
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะยกย่องถ้อยคำของ’หลงเทียนหมิง’ พวกเขาทั้งสามคนเป็นที่รู้จักดีในสามสำนักหลัก การแข่งขันของพวกเขาเป็นสิ่งที่ไม่อาจเลี่ยงได้ ความสัมพันธ์ของพวกเขาเองก็ไม่ได้ดีนัก
แต่ถึงอย่างไร ‘หลงเทียนหมิง’ จึงชิงลงมือก่อนโดยการพูดไปว่าเขานั้นอ่อนด้อยที่สุดในสามคน เพื่อที่ให้ทุกคนคิดเช่นนั้นเขาจะได้ทำตามที่วางแผนไว้ได้
จากระยะไกล เนี่ยลี่ มองเห็นรอยยิ้มอันเย็นชาของ ‘หลงเทียนหมิง’ ‘หลงเทียนหมิง’นั้นเป็นคนที่เต็มไปด้วยอุบาย ตั้งแต่ที่พวกเขาถูกเรียกร้องให้ขึ้นไปแสดงฝีมือ หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าพวกเขาจะต้องถูกเปรียบเทียบกับการแสดงของอีกสองคน แทนที่จะเรียกว่าการแสดงฝีมือ คงต้องเรียกว่าการแข่งขันเสียมากกว่า
เขาได้บอกไปโดยการยอมรับว่าเขานั้นความสามารถอ่อนด้อยที่สุด ถ้าหากเขาทำได้ไม่ดีเท่ากับคนอื่น ผู้คนก็จะไม่เห็นว่าเป็นเรื่องที่น่าอับอาย แต่ถ้าหากว่าเขาทำได้ดีกว่าอีกสองคนที่เหลือ เขาก็จะได้รับคำชื่นชมเป็นอย่างมาก
ในตอนนี้ถือว่า’หลงเทียนหมิง’นั้นยืนอยู่ในจุดที่ปลอดภัยที่สุด
ปากของ’เหยียนหยาง’กระตุกด้วยความเหยียดหยาม ในขณะที่เขามองไปยังด้านหลังของ’หลงเทียนหมิง’ ทำไมเขาถึงจะไม่เข้าใจว่า’หลงเทียนหมิง’ตั้งใจจะทำอะไร? แต่จริง ๆ แล้ว เขาก็ไม่ได้ใส่ใจกับกลยุทธ์เล็กน้อยนี้หรอก
ขณะที่’หมิงเยี่ย วู่ซวง’ ที่อยู่อีกด้าน นางยังคงสงบนิ่งดั่งเช่นเคย ชนะหรือพ่ายแพ้ ไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับนาง
ภายใต้สายตาของผู้คน ‘หลงเทียนหมิง’ เดินออกไปด้านหน้า
แปลโดย นายมะพร้าว
คลิกเพื่อไปหน้าโฆษณาสนับสนุนเพจ
ที่มา: